ReadyPlanet.com
dot dot
bulletHorasaadRevision.com
dot
ห้องโหรแว่นทิพย์
dot
bulletWelcome to foreigners
bulletกำเนิดจักรราศี*
bulletประวัติของวิชาโหราศาสตร์*
bulletวิชาโหราศาสตร์ไทยเบื้องต้น*
bulletกฎเกณฑ์วิชาโหราศาสตร์ไทย*
bulletอันโตนาที*
bulletอายนางศ์*
bulletวิธีคำนวนสมผุสลัคนา*
bulletนัยยะแห่งเรือนราศี*
bulletนัยยะแห่งเรือนชะตา*
bulletนัยยะแห่งดวงดาว*
bulletนัยยะแห่งตำแหน่งดาว*
bulletทิศาพยากรณ์*
bulletโรคาพยากรณ์*
bulletทักษาพยากรณ์*
bullet๑๐๘นวางค์รอบจักรวาล*
bulletวรโคตรนวางค์*
bulletตรียางค์พิษ*
bulletโหรปัตนิและดาวพระศุกร์*
bulletนานาปกรณ์เกี่ยวกับฤกษ์*
bulletเกร็ดโหราศาสตร์*
bulletเคล็ดวิชาต่างๆ*
bulletการทำนายฝันและเคล็ดลับการแก้ฝัน*
bulletพระพุทธรูปบูชาประจำวันเกิด พร้อมคาถาบูชา*
bulletพระคาถาชินบัญชร*
dot
โหราศาสตร์ไทย ฉบับหอมรดกไทย
dot
bulletตำนานดาวพระเคราะห์
bulletการแบ่งจักรราศี
bulletตำรามหาทักษา
bulletคัมภีร์กาลโยค
bulletลัคนากับดวงชะตา
bulletมาตรฐานดาวเคราะห์
dot
หน้าแบบฟอร์มต่างๆของเว็บไซด์
dot
bulletแบบฟอร์มตั้งชื่อ-นามสกุล
bulletแบบฟอร์มฤกษ์พิธีมงคลต่างๆ
bulletแบบฟอร์มฤกษ์คลอดบุตร
bulletแบบฟอร์มฤกษ์มงคลสมรส
bulletแบบฟอร์มฤกษ์เปลี่ยนชื่อ
bulletแบบฟอร์มห้องเรียนโหร
bulletสมุดเยี่ยม
dot
เกร็ดพยากรณ์..เพื่อความบันเทิง
dot
bulletนิสัยสาว 12 ราศี
bulletทายนิสัยจากเดือนเกิด
bulletจุดร้อนตามราศี
bulletความรักตามวันเกิด
bulletทายนิสัยจากการใส่แหวน
bulletผลไม้ทายนิสัย
bulletความรักตามกรุ๊ปเลือด
bulletอ่านใจหนุ่ม 12 ราศี
bulletผู้ชายเพอร์เฟค
bulletน้ำหอมกับราศี
bulletวิธีมัดใจหนุ่ม-สาวราศีต่างๆ
bulletพยากรณ์ ช-ญ ตามวันเกิด
bulletวันเกิดบอกนิสัยเนื้อคู่ ช-ญ
bulletทำนายเซ็กส์กับราศี
bulletความลับบนเตียง 12 ราศี
bulletเคล็ดลับดูไฝบนกายสาว
bulletทำนายผู้เกิดใน 12 นักษัตร
bulletคู่แต่ง คู่รัก คู่ขา?
bulletทายนิสัยคนใกล้ตัว 17 เรื่อง
bulletดวงของผู้หญิงตามวันเกิด
bulletดู ตัวตน,ชอบ,ยี้ หนุ่มสาว
bulletต้นไม้มงคลกับราศีเกิด
dot
เว็บวาไรตี้ยอดนิยม
dot
bulletwww.sanook.com
bulletwww.kapook.com
bulletwww.mthai.com
bulletwww.ragnarog.in.th
bulletwww.hunsa.com
bulletwww.teenee.com
bulletwww.365jukebox.com
bulletwww.dek-d.com
bulletwww.zuzaa.com
bulletwww.wanjai.com
bulletwww.narak.com
bulletwww.jorjae.com
bulletwww.aromdee.com
bulletwww.deedeejang.com
bulletwww.funwhan.com
bulletwww.saranair.com
bulletwww.madoo.com
dot
หนังสือพิมพ์ไทย-เทศ
dot
bulletกรุงเทพธุรกิจ
bulletข่าวสด
bulletคม ชัด ลึก
bulletฐานเศรษฐกิจ
bulletเดลินิวส์
bulletไทยรัฐ
bulletไทยโพสท์
bulletแนวหน้า
bulletประชาชาติธุรกิจ
bulletผู้จัดการ
bulletมติชน
bulletโพสท์ทูเดย์
bulletสยามธุรกิจ
bulletสยามกีฬา
bulletสยามรัฐ
bulletBangkok Post
bulletThe Nation
bulletVoice of America
bulletBBC Thai
dot
Foreign newspaper
dot
bulletNew Straits Time MY
bulletThe Straits Time SG
bulletVientiane Times LAOS
bulletNew Light of Myanmar
bulletThe Daily Tribune PH
bulletThe Manila Times PH
bulletThe Jakarta Post
bulletS. China Morning Post
bulletChina Daily CN
bulletTaipei Times TW
bulletYomiuri Shimbun JP
bulletThe Asahi Shimbun JP
bulletThe times of India
bulletAl Jazeera
bulletThe Guardian UK
bulletThe Times UK
bulletBBC News UK
bulletLe Monde FR
bulletDie Welt DE
bulletLa Nacion Line AR
bulletThe New York Time
bullet USA today
bulletThe Washington Post
bulletThe wall street Journal
bulletOnline Newspaper Di.tory
dot
ธนาคารต่างๆ
dot
bulletธ.กรุงเทพ
bulletธ.กรุงไทย
bulletธ.กรุงไทย ชาริอะฮ์
bulletธ.กรุงศรีอยุธยา
bulletธ.กสิกรไทย
bulletธ.ซิติ้แบงค์
bulletธ.ดีบีเอส ไทยทนุ
bulletธ.ทหารไทย
bulletธ.ธนชาต
bulletธ.นครหลวงไทย
bulletธ.ยูโอบี รัตนสิน
bulletธ.สแตนดาร์ด ช. นครธน
bulletธ.อิสลามแห่งประเทศไทย
bulletธ.เอเซีย
bulletธ.ไทยธนาคาร
bulletธ.ไทยพาณิชย์
bulletพระคาถาชินบัญชร*
bulletพระพุทธรูปบูชาประจำวันเกิด พร้อมคาถาบูชา*


เชิญค่ะ


 ดูหนังสือ สอบถาม
 สั่งซื้อ

eXTReMe Tracker

 ชาติ                                           

นานาทรรศนะ 
เสนอร่างรัฐธรรมนูญ
ปกิณกะ
เหตุการณ์ในอดีต 
เรื่องของไทยในอดีต 
เรื่องของชนชาติไทย
ภูมิศาสตร์ของไทย 
ก่อนสมัยสุโขทัย 
กรุงสุโขทัย
กรุงศรีอยุธยา
กรุงเทพมหานคร
นพบุรีศรีนครพิงค์เชียงใหม่
อุทยานประวัติศาสตร์
เมืองเก่าของไทย
ทำเนียบหัวเมือง
การทหารของไทย
ธงชัยเฉลิมพล
ทหารรักษาพระองค์
ทหารอาสาต่างชาติ 
รู้เรื่องเมืองสยาม 
ประเทศเพื่อนบ้านของไทย()
ความสัมพันธ์ไทย-อเมริกัน 
เหตุการณ์ปี ร.ศ.๑๑๒
เหตุการณ์ปี ๒๔๗๕
กรณีพิพาทอินโดจีน
การรบที่กาะช้าง
สงครามมหาเอเซียบูรพา
สงครามเกาหลี 
สงครามเวียตนาม 
กรณีปราสาทพระวิหาร
กรณีโรฮิงยา
ความไม่สงบชายแดนภาคใต้
อนุสาวรีย์วีรชน 
สารานุกรมฉบับย่อ()
ตัวหนังสือไทย
เรียนหนังสือไทยสมัยก่อน 
รามเกียรติ์ 
ขุนช้าง ขุนแผน
พระอภัยมณี
นิราศ
กาพย์เห่เรือ
สุภาษิตไทย
ธรรมเนียมประเพณีไทย 
โหราศาสตร์ไทย 
เพลงไทยให้สาระ
เงินตราไทย
เครื่องดนตรีไทย
หมากรุกไทย
มวยไทย
สมุนไพรไทย
พันธุ์ไม้ดอกไทย
นกในประเทศไทย
อุทยานแห่งชาติ
 
ทางบก
 ทางทะเล
เที่ยวทั่วไทย 
เที่ยวไปชมไป

 ศาสนา                                     

การบริหารคณะสงฆ์
การศึกษาพระปริยัติธรรม
กฎหมายพระสงฆ์ของไทย
สมเด็จพระสังฆราช
ทำเนียบสมณศักดิ์
พัดยศสมณศักดิ์
คณะสงฆ์จีนนิกาย
คณะสงฆ์อนัมนิกาย
พระพุทธรูปสมัยต่างๆ
พระพุทธรูปสำคัญ
พระพุทธรูปปางต่างๆ
พระพุทธรูปประจำวัน
พระธาตุเจดีย์
พระพุทธบาท
พระแท่น
พระไตรปิฎก
การแสดงธรรมของพระพุทธเจ้า
การบัญญัติพระวินัย
โสพัสปัญหา
พุทธประวัติ
พระอสีติมหาสาวก
พุทธศาสนสุภาษิต
พุทธานุวัตร
วันสำคัญในพระพุทธศาสนา
พุทธศาสนพิธี
พระป่าและวัดป่า
พุทธศาสนาในปัจจุบัน
ภัยแห่งพุทธศาสนา
ศาสนาต่างๆในไทย)

  พระมหากษัตริย์                      

พระมหากษัตริย์สมัยสุโขทัย
พระมหากษัตริย์กรุงศรีอยุธยา
พระมหากษัตริย์สมัยธนบุรี
พระบรมราชจักรีวงศ์
พระชัยวัฒน์ประจำรัชกาล
พระราชลัญจกร
เครื่องราชกกุธภัณฑ์
ธงในองค์พระมหากษัตริย์
พระราชพิธีบรมราชาภิเษก
น้ำอภิเษก
พระราชพิธีสิบสองเดือน
พระราชานุกิจ
จอมทัพไทย
เครื่องราชอิสริยาภรณ์
เหรียญอันเนื่องจากการรบ
พระบรมมหาราชวัง
ประชุมพงศาวดาร
ราชการสงครามฯ
งานกู้ชาติฯ
ประชุมพระราชปุจฉา
พระราชหัตถเลขา ใน ร.๔
พระบรมราโชบายฯ ร.๕
พระราชดำรัส ใน ร.๕
พระราชนิพนธ์ ใน ร.๖
ร.๖ กับการป้องกันประเทศ
พระราชดำริใน ร.๗
พระบรมราโชวาท

 มุมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี 

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทย์และเทคโน
ศูนย์เทคโนอีเลคทรอนิกส์และคอมแห่งชาติ
เว็บการเรียนรู้วิทย์และเทคโนร.ร.ในชนบท
ดาราศาสตร์สำหรับคนไทย
ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีแห่งชาติ
แหล่งความรู้วิศวโยธา,เครื่องกลและขนส่ง
โครงการเรียนรู้วิทยาศาสตร์โลกและอวกาศ[lesa]
สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนแห่งไทย
องค์การพิพธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ
ดูดาวดอทคอม
รวมบทความด้านวิทยาศาสตร์
วิทยาศาสตร์เพื่อการศึกษา
นิยายวิทยาศาสตร์
วิทยาศาสตร์น่ารู้

 

 มุมศาสนาต่างๆ                      

สำนักข่าวชาวพุทธ
มุสลิมไทยไซเบอร์เน็ต
หนังสือธรรมะออนไลน์
ธรรมะไทย
มุสลิมแคมปัสดอทคอม
โบสถ์คริสเตียนไทยอเมริกา
กัลยาณมิตร
เสขิยธรรม
มหาวิทยาลัยสงฆ์ไทย
อัครสังฆมณฑลกรุงเทพฯ
หลวงตามหาบัว
พุทธทาสศึกษา
พระรัตนตรัย
เครือข่ายสาระธรรมอิสลาม
มูลนิธิศุภนิมิตไทย
พระคริสตธรรมไทย

 10 อันดับเว็บข้อมูล อ้างอิง        

 www.google.co.th สุดยอดเว็บในการหาข้อมูล
 
www.glo.or.th สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล
 
www.siamguru.com บริการค้นหาข้อมูลต่างๆ
 
www.truehits.net เว็บแสดงสถิติการเยี่ยมชม
 
lexitron.nectec.or.th ดิกชันนารีออนไลน์
 
www.yellowpages.co.th สมุดหน้าเหลืองออนไลน์
 
www.police.go.th สำนักงานตำรวจแห่งชาติ
 
phonebook.tot.or.th ค้นหาหมายเลขโทรศัพท์
 
www.trainingthai.com ข่าว,ข้อมูลการฝึกอบรมสัมมนาต่างๆ
 
www.khonthai.com แหล่งข้อมูลด้านทะเบียนราษฎร์ต่างๆ



หมอดูริมสนาม อนาคตอยู่ในดวงดาวหรือมือเรา โดย วินทร์ เลียววาริณ article

ที่มาของบทความ จากบอร์ดพยากรณ์ดอทคอม โพสโดย คุณอ้วนแว่น

(เรียนท่านผู้รู้โหราศาตร์ในเชิงวิทยาศาสตร์ทุกท่านครับ) ได้อ่านบทความนี้ ของวินทร์ เลียววาริน ในมติชนสุดสัปดาห์ เห็นว่าน่าสนใจดี ช่วงกลางๆที่มีคำถาม และข้อถกเกี่ยวกับ ข้อขัดแย้งของความเชื่อทางโหราศาตร์กับวิทยาศาสตร์ เห็นว่าบางเรื่องก็ไม่เคยนึกถึงมาก่อน เลยนำมาให้ท่านทั้งหลายอ่านนะครับ/อ้วนแว่น


คุณวินทร์ เลียววาริณ 

เป็นความจริงที่ปฏิเสธไม่ได้ว่า โหราศาสตร์และความเชื่อในอำนาจเหนือธรรมชาติขับเคลื่อนโลกมานานตั้งแต่เริ่มต้นอารยธรรมของมนุษย์

นิยายเรื่องนี้มีตัวละครสามกลุ่ม กลุ่มแรก คือคนที่เชื่อในอำนาจเหนือธรรมชาติอย่างแน่นแฟ้น พวกนี้เชื่อว่ามนุษย์ตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของดวงดาว กลุ่มที่สอง คือคนที่ไม่เชื่ออำนาจเหนือธรรมชาติเลย พวกนี้เชื่อว่าอำนาจเหนือธรรมชาติก็คือธรรมชาตินั่นเอง และกลุ่มที่สาม คนที่ไม่เชื่อแต่ไม่ลบหลู่

เดาซิว่าบ้านเรามีคนกลุ่มไหนมากที่สุด !

ผู้ที่เชื่อในศาสตร์นี้บอกว่า หากโหราศาสตร์เป็นเรื่องไร้สาระ ทำไมมีคนเชื่อมากมายทั่วโลก และที่สำคัญที่สุดคือมันคงอยู่ในโลกนี้มานานหลายพันปีได้อย่างไร

เหตุผลนี้ไม่ใช่เหตุผลทีเดียวนัก เหมือนการบอกว่า หากเหล้า บุหรี่ ยาบ้าไม่ดี ทำไมจึงยังมีผู้เสพผู้ผลิตมานานแสนนาน


ความจริงที่น่าขันขื่นคือจากตัวอย่างนับไม่ถ้วนในอดีต สิ่งไร้สาระมักมีชีวิตยืนยาวกว่าสิ่งมีสาระเสมอ


ไม่ว่าแต่ละฝ่ายจะมีความเห็นต่อเรื่องการใช้ความเชื่อเป็นตัวนำทางชีวิตอย่างไร ปัญหาของการถกเถียงกันคือ มักไม่ค่อยมีใครมองเรื่องนี้อย่างเป็นวิทยาศาสตร์มากนัก

บทความนี้มิได้ต้องการล้มล้างเสรีภาพในการเชื่อของใคร หากตั้งคำถามเชิงทดสอบว่า โหราศาสตร์และความเชื่อต่างๆ นั้นเป็นศาสตร์ที่มีพื้นฐานวิทยาศาสตร์หรือไม่

เรามาลองดูความเชื่อต่างๆ ทีละข้อ

โหราศาสตร์

หากคิดว่าความเฟื่องฟูของโหราศาสตร์บ้านเราเป็นเรื่องแปลก คุณอาจแปลกใจขึ้นอีกที่พบว่าประเทศทางตะวันตกที่เจริญแล้วก็ยังนิยมโหราศาสตร์ ตั้งแต่ชาวบ้านระดับล่างถึงประธานาธิบดี

โหราศาสตร์แบ่งออกหลายชนิด เช่น โหราศาสตร์แบบราศี โหราศาสตร์แบบผูกดวง การดูลายมือ ไพ่ ดูใบชาบนถ้วยที่ดื่มทิ้งไว้ ไปจนถึงการดูดวงจากอัญมณีและกลุ่มเลือด

โหราศาสตร์แบบราศี (sun signs) แบ่งกำเนิดชีวิตออกเป็น 12 ราศี หรือ 12 กลุ่มดาว วางราศีตามวันเกิดว่าช่วงเวลาที่เกิดนั้น ดวงอาทิตย์สถิต ณ กลุ่มดาวฤกษ์ใดก็เป็นคนราศีนั้น ดวงอาทิตย์โคจรย้ายเข้ากลุ่มดาวฤกษ์ต่างๆ บนท้องฟ้า ราววันที่ 21 หรือ 22 ของเดือน

ส่วนโหราศาสตร์ไทยจะดูลัคนาเกิดแทน ลัคนาเกิดในโหราศาสตร์สากลถือว่าเป็นสภาพแวดล้อม ความเป็นอยู่ของคน

โหราศาสตร์ยูเรเนียนซึ่งเป็นที่นิยมในเยอรมนี (กำเนิดโดยนักโหราศาสตร์ชาวเยอรมัน อัลเฟรด วิตเตอ กลางศตวรรษที่ 20) มีความแตกต่างจากโหราศาสตร์อื่นตรงที่ใช้ดวงดาวในการพยากรณ์ถึง 22 ดวง ราวครึ่งหนึ่งเป็นดาวสมมุติ ซึ่งไม่มีตัวตนจริงในจักรวาล ให้ความแม่นยำกว่าโหราศาสตร์ธรรมดา เพราะใช้ฐานดาวมากกว่า

ส่วนโหราศาสตร์ลายมือนั้นมีการแบ่งพื้นที่บนฝ่ามือออกเป็นเนิน แต่ละเนินได้รับอิทธิพลจากดาวต่างๆ เช่น เนินศุกร์เป็นบริเวณแห่งความรัก ความใคร่ ครอบครัว เนินจันทร์เป็นพื้นที่แห่งความฝัน การเดินทาง จินตนาการ เป็นต้น ดังนั้นเส้นสายต่างๆ (ไม่ว่าเส้นดีหรือไม่ดี) ที่ปรากฏในแต่ละเนินจึงแสดงความหมายของเนินนั้นๆ

การดูลายมือกำเนิดมาหลายพันปี แต่ได้รับการศึกษาอย่างเป็นเรื่องเป็นราวในช่วงศตวรรษที่ 12 หนังสือเล่มแรกในศตวรรษที่ 15 ในสมัยกลางใช้การดูลายมือในการล่าแม่มด เพราะเชื่อว่าลายมือบางประเภทเป็นของแม่มด

นักพยากรณ์ลายมือที่มีชื่อเสียงที่สุดคือ ไคไร (ภาษากรีกแปลว่า มือ) ในศตวรรษที่ 19 ร่ำลือกันว่าเขาสามารถดูดวงเก่งในระดับบอกรายละเอียดทุกเรื่องอย่างแม่นยำ

โหราศาสตร์มีอายุนานหลายพันปีก่อนกำเนิดของวิทยาศาสตร์ในโลก มีรากฐานมาจากอารยธรรมบาบิโลเนียน ซึ่งรู้เรื่องดาราศาสตร์ดี พัฒนาต่อมาในยุคกรีก โดยปโตเลมี ซึ่งรวมเอาโหราศาสตร์สายอียิปต์เข้ามาด้วย (สายอียิปต์พัฒนาต่อมาเป็นโหราศาสตร์สายอินเดีย) และพัฒนาต่อมาเป็นสายโรมัน ไบเซนไทน์ อิสลาม ยุโรป จนมาเป็นโหราศาสตร์สมัยปัจจุบัน ซึ่งรวมบางส่วนของอินเดียด้วย

โหราศาสตร์โบราณเป็นงานของพวกนักบวชและปราชญ์ กรีกและโรมันใช้ตำนานเทพต่างๆ เชื่อมกับดวงดาวที่มองเห็นในสมัยนั้น ต่อมาโหราศาสตร์ใหม่ปรับปรุงโดยใช้ดาวที่พบใหม่ภายหลังอีกสี่ดวงคือ ยูเรนัส เนปจูน พลูโต และอุกกาบาตพลังหยินอีกสี่ดวง นักโหราศาสตร์เชื่อว่าดาวสามดวงนี้มีผลอย่างมากต่อชีวิตส่วนรวมมากกว่าต่อส่วนบุคคล

แม้โหราศาสตร์จะไม่ใช่วิทยาศาสตร์ แต่กลับใช้หลักการทางวิทยาศาสตร์ไม่น้อย เช่น การเก็บสถิติ การคำนวณ และอิงกับดวงดาว จึงจัดว่าเป็นวิทยาศาสตร์เทียมชนิดหนึ่ง

ก่อนอื่นเราต้องทำความเข้าใจความหมายของคำว่า โหราศาสตร์ (Astrology) กับดาราศาสตร์ (Astronomy) ศาสตร์ทั้งคู่เกี่ยวข้องกับดวงดาวเช่นกัน

แต่วิธีการและจุดประสงค์ไม่เหมือนกัน

หลักการของโหราศาสตร์เกี่ยวกับแรงระหว่างดวงอาทิตย์กับดาวเคราะห์ในระบบสุริยะ (รวมทั้งดวงจันทร์ของโลกเรา) และราศี ซึ่งนำโดยราศีเมษแทนตัวตนของเรา จบที่ราศีมีนซึ่งแทนสมองส่วนลึกของมนุษยชาติ ส่วนราศีอื่นๆ ที่อยู่ระหว่างราศีเมษกับมีนนี้ แทนพลังงานแต่ละระดับขั้นของการวิวัฒนาการของมนุษย์ในจักรวาล หลักการทำงานของราศีนั้นตั้งบนพื้นฐานที่ว่า แต่ละราศีเป็นผลรวมของหนึ่งในสี่ธาตุ (ดิน น้ำ ลม ไฟ) และหนึ่งในสามคุณสมบัติ

โหราศาสตร์อ้างหลักการของวิทยาศาสตร์ว่า แรงโน้มถ่วงหรือแรงดึงดูดดาวเคราะห์ทั้งหลายรวมเข้าด้วยกันส่งผลต่อคนที่อยู่บนโลก แรงดึงดูดจากดวงอาทิตย์มีพลังสูงสุด จึงมีผลมากที่สุด ตามด้วยดวงจันทร์ และดาวเคราะห์อื่นๆ บางครั้งก็มากกว่าแรงจากดวงอาทิตย์ บางตำราว่าเพราะองค์ประกอบของมนุษย์มีน้ำเป็นหลัก จึงถูกแรงจากต่างดาวดึงดูดในลักษณะเดียวกับเรื่องน้ำขึ้นน้ำลง

แต่นักโหราศาสตร์บางคนมองว่า โหราศาสตร์เป็นปรัชญาที่อธิบายชีวิตมากกว่าการทำนายอนาคต เพื่อที่เราสามารถเรียนรู้ศักยภาพของเราเอง แม้แต่ คาร์ล ยุงก์ นักจิตวิทยาและจิตแพทย์ที่มีชื่อเสียงยังใช้โหราศาสตร์ในงานจิตศาสตร์ของเขา

จากหลักการของโหราศาสตร์ที่ว่ามานี้ดูน่าจะเป็นวิทยาศาสตร์ยิ่ง แต่เหตุที่โหราศาสตร์ยังไม่สามารถเลื่อนชั้นเป็นวิทยาศาสตร์ เพราะไม่มีความแน่นอนในวิธีการและคำพยากรณ์ เนื่องจากหลักการของโหราศาสตร์ตั้งบนพื้นฐานของการตีความ

ความแม่นยำทางโหราศาสตร์เป็นไปในเชิงสถิติศาสตร์ ซึ่งอธิบายว่าทำไมผลการทำนายในเรื่องเดียวกันจากนักทำนายต่างคนต่างสำนัก จึงไม่เหมือนกันหนึ่งร้อยเปอร์เซ็นต์เหมือนการทดลองทางวิทยาศาสตร์

มีหลายคำถามเกี่ยวกับโหราศาสตร์ เช่น

1.
ขอบเขตอำนาจของโหราศาสตร์

อำนาจของดวงดาวในเชิงโหราศาสตร์มีผลต่อเฉพาะคนหรือไม่ ? รวมสิ่งมีชีวิตอื่น (เช่นสัตว์ พืช) และสรรพสิ่ง (เช่น ก้อนหิน คลื่น ลม) หรือไม่ ? ถ้าไม่เพราะอะไร ในเมื่อธรรมชาติไม่เคยมีข้อยกเว้น

2.
ความขัดแย้งกันระหว่างความคงอยู่ของโหราศาสตร์

ความคงอยู่ของโหราศาสตร์นั้นเกี่ยวข้องกับแนวคิดเรื่องผู้สร้าง (พระเจ้า) ในนัยที่ว่า หากชะตาชีวิตมนุษย์ถูกกำหนดมาก่อนแล้ว แปลว่าทุกอย่างมีความคงอยู่อยู่แล้ว ก็หมายถึงประวัติศาสตร์ของจักรวาลนั้นคงอยู่อยู่แล้ว

หากไม่ได้กำหนดมา ก็หมายถึงว่า อาจไม่มีผู้สร้าง สรรพสิ่งดำเนินชีวิตไปตามวิถีอิสระของมัน

นั่นหมายถึงความไม่คงอยู่ของโหราศาสตร์

ส่วนดาราศาสตร์นั้นเป็นวิทยาศาสตร์แท้ เพราะทุกอย่างพิสูจน์ได้ผลเดียวกันทุกครั้ง มีกฎตายตัวแน่นอน เรารู้ว่าดวงดาวเกิดมาอย่างไร รู้ว่าจุดจบของดวงดาวมีกี่ประเภท เราสามารถคำนวณวันเวลาที่จะเกิดสุริยุปราคาล่วงหน้านับพันปี สามารถบอกเวลาที่ดาวหางมาเยือน ตำแหน่งที่จะเห็นดาวแบบเจาะจง เราสามารถส่งยานไปลงดวงจันทร์ในวันเวลา ตำแหน่งที่ต้องการพอดี ตัวอย่างเช่นการคำนวณเวลาที่ดาวหางชูเมกเกอร์-เลวี 9 ชนดาวพฤหัสละเอียดเป็นนาที ในเดือนกรกฎาคม 1994

ในทางตรงข้าม การพิสูจน์ว่าความน่าเชื่อถือของโหราศาสตร์ในเชิงวิทยาศาสตร์นั้นทำไม่ได้ เพราะวัดค่าไม่ได้ สิ่งเดียวที่เป็น "วิทยาศาสตร์" ที่สุดที่ทำได้คือการวิเคราะห์เชิงสถิติในความแม่นยำของมันเท่านั้น

ข้อขัดแย้งระหว่างวิทยาศาสตร์กับความเชื่อนี้

1.
ทำไมคำนวณชีวิตจากวันเวลาเกิด ไม่ใช่จากจุดเวลาปฏิสนธิ ซึ่งเป็นจุดที่รหัสชีวิตทางพันธุกรรมถูกกำหนด

ทารกที่คลอดก่อนกำหนดที่มีอายุตั้งแต่เจ็ดเดือนสามารถมีชีวิตรอดเช่นเดียวกับทารกที่คลอดตามเวลาปกติ หมายความว่าทารกนั้นมีวิถีชีวิตของตนเองอยู่แล้ว แม้ขณะที่อยู่ในท้องของแม่ เวลาเกิดนั้นแปรเปลี่ยนได้เสมอ (พ่อแม่หลายคู่สามารถเลือกวันเวลาเกิดของบุตรโดยการผ่าตัด) ขณะที่เวลาปฏิสนธิเจาะจงตายตัว

2.
ทำไมเลือกใช้เฉพาะบางแรงในการคำนวณ

หากแรงดึงดูดระหว่างดาวเป็นแรงที่กำหนดชีวิตมนุษย์ตามที่หลักโหราศาสตร์อ้าง ทำไมไม่ใช้แรงดึงดูดระหว่างระบบดาวและดาราจักรในการคำนวณ ในเมื่อแรงทุกอย่างในจักรวาลสัมพันธ์กัน

ดวงจันทร์หมุนรอบโลก (หนึ่งเดือน) โลกหมุนรอบดวงอาทิตย์ (365 วัน) ดวงอาทิตย์หมุนรอบดาราจักรทางช้างเผือก (266 ล้านปี) และทางช้างเผือกก็เคลื่อนออกไปจากจุดเดิมตลอดเวลา

แรงดึงดูดระหว่างดาวเป็นเพียงหนึ่งในสี่ชนิดของแรงในจักรวาล แรงทั้งหมดนี้รับผิดชอบต่อการคงอยู่ของสิ่งต่างๆ ในจักรวาล หากไม่มีแรงเหล่านี้ก็ไม่มีจักรวาล ไม่มีดวงอาทิตย์ ไม่มีพืช ไม่มีมนุษย์ ไม่มีชีวิต

การคำนวณโดยเลือกใช้เฉพาะแรงบางชนิดเท่านั้น จึงไม่มีที่มาที่ไป

3.
ไม่ชัดเจนในการตั้งกฎเกณฑ์ในการเลือกดาวที่ใช้ในการคำนวณ

ดาวที่ใช้ในการคำนวณส่วนใหญ่ใช้ดาวที่มองเห็นด้วยตาเปล่าในสมัยปโตเลมีในศตวรรษที่สองเท่านั้น ละเลยดวงดาวสำคัญมากมายที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า และที่ค้นพบในเวลาต่อมา

จวบจนมีการค้นพบดาวยูเรนัส เนปจูน พลูโต อุกกาบาต และดาวหางด้วยกล้องโทรทรรศน์ จึงค่อยนำดาวที่พบใหม่มาคำนวณ ยกเว้นในศาสตร์ดูลายมือที่กำหนดเนินทั้งหมดตามความหมายดาวทั้งหมดแล้วจนไม่มีพื้นที่เหลือสำหรับดาวที่ค้นพบใหม่อีก

หากใช้ดวงอาทิตย์ (ซึ่งเป็นดาวฤกษ์ดวงเดียวในตำราโหราศาสตร์) ในการคำนวณ ทำไมไม่ใช้ดาวฤกษ์อื่นๆ ในทางช้างเผือกด้วย ในเมื่อดาวฤกษ์ทุกดวงในดาราจักรส่งแรงกระทำกันและกัน

4.
ทำไมจำนวนดาวที่ใช้คำนวณไม่เหมือนกันเลยในแต่ละตำรา

การคำนวณในโหราศาสตร์ทั่วไปใช้ดาวฤกษ์ผสมดาวเคราะห์ 8 ดวงในระบบสุริยะของเรา บางตำราใช้ดวงจันทร์ด้วย ตำราโหราศาสตร์ใหม่ๆ เช่น ยูเรเนียนใช้ดาว 22 ดวง (ราวครึ่งหนึ่งเป็นดาวสมมุติที่สร้างขึ้นมา)

ส่วนโหราศาสตร์แบบราศี ใช้เฉพาะดาวฤกษ์ แต่เลือกใช้เฉพาะบางกลุ่มเท่านั้น ดวงดาวเฉพาะแค่ในทางช้างเผือกของเราแห่งเดียวก็มีหลายแสนล้านดวง การกำหนดให้เฉพาะบางดวงบางกลุ่มผสมดาวสมมุติที่มีผลกระทบต่อชีวิตมนุษย์นั้นไม่ชัดเจน

5.
ทำไมไม่ใช้ equinoxes (สองวันในหนึ่งปีที่กลางวันยาวเท่ากลางคืน) ในการคำนวณในทุกกรณี

6.
ทำไมไม่นำเรื่องการเหวี่ยงของแกนโลกมาคำนวณ ซึ่งเป็นผลให้ราศีเคลื่อนไปจากจุดเดิมหนึ่งถึงสองราศี

7.
ทำไมไม่ใช้ปัจจัยการหักเหของแสงจากชั้นบรรยากาศ (atmospheric refraction) ในการคำนวณ

คนโบราณไม่เคยมีความรู้มาก่อนว่า แสงจากดวงดาวที่ส่งมายังโลกบิดเบี้ยวเปลี่ยนทิศทางเพราะชั้นบรรยากาศ ฉะนั้น ตำแหน่งดาวที่สายตาคนมองเห็นจึงไม่ได้ตรงกับความจริง

8.
ทำไมไม่ใช้การเคลื่อนห่างจากกันของดวงดาวในการคำนวณ

หมู่ดาวที่เราเห็นบนฟ้านั้นไม่คงที่ กลุ่มดาวที่คนโบราณเห็นไม่ตรงกับที่เรายุคปัจจุบันเห็น เพราะดาราจักรเคลื่อนที่ออกจากกันตลอดเวลา

ยกตัวอย่างเช่น ดาวไถเมื่อหนึ่งแสนปีก่อนกับปัจจุบันและในอนาคตอีกสักหนึ่งแสนปีต่างกันแทบเป็นคนละเรื่อง

9.
ทำไมคำทำนายที่ใช้กับกลุ่มดาวตรงกับตำนานที่สร้าง "อย่างบังเอิญ" ทั้งสิ้น

กลุ่มดาวที่โหราศาสตร์ใช้ทั้งหมดสมมุติเป็นรูปต่างๆ เองทั้งสิ้น เช่น ปู แกะ แมงป่อง ตาชั่ง ปลา ฯลฯ และไม่เห็นตรงกันในแต่ละวัฒนธรรม เช่น กลุ่มดาวราศีธนู บางวัฒนธรรมเห็นเป็นกาน้ำ บางที่เห็นเป็นนกกระจอกเทศ และบางแห่งเห็นเป็นมนุษย์ม้ายิงธนู

กลุ่มดาวที่ชาวกรีกโบราณตั้งตำนานนั้นมีมากมายหลายร้อยกลุ่ม แต่ละกลุ่มมีตำนานผูกมาด้วย การแต่งตำนานมา "เสียบ" กับภาพเป็นเรื่องธรรมดา

ขอยกตัวอย่างเพียงสองกลุ่มดาว :

นักวิทยาศาสตร์ที่ใช้โหราศาสตร์

คาร์ล ยุงก์ อาจเป็นหนึ่งในนักจิตวิทยาและจิตแพทย์น้อยคนและอาจเป็นคนแรกๆ ที่ใช้โหราศาสตร์ในงานจิตศาสตร์ เขาทำการศึกษาโหราศาสตร์อย่างละเอียด เขาเชื่อว่าโหราศาสตร์สามารถนำมาศึกษาเรื่องจิตสำนึกของมนุษย์ และในภาคปฏิบัติด้วย

นักโหราศาสตร์จำนวนมากศึกษาทฤษฎีของยุงก์ในเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างจิตศาสตร์กับโหราศาสตร์ แต่ยังไม่สามารถสรุปเป็นมาตรฐานอย่างเป็นวิทยาศาสตร์ได้ เช่นการโยงศัพท์ทางจิตศาสตร์ เช่น extrovert-introvert (แสดงออก-เก็บกด) เข้ากับพลังบวก (หยาง) กับพลังลบ (หยิน) หรือโยงหลักพื้นฐานสี่ประการของยุงก์ (ความสังหรณ์ ความรู้สึก ความคิด อารมณ์) เข้ากับสี่องค์ประกอบพื้นฐานของโลก (ดิน น้ำ ลม ไฟ)

ยุงก์ยังรักษาคนไข้ด้วยการใช้โหราศาสตร์ประกอบ นั่นคือการใช้จักรราศีดูมุมมองอีกด้านของคนไข้และปัญหาของพวกเขา

ว่าด้วย THE FORCE

แรงในจักรวาลที่นักฟิสิกส์ค้นพบทั้งหมดมีสี่ชนิดคือ

-
แรงโน้มถ่วง

เป็นแรงที่อ่อนที่สุด มีผลต่อทุกสิ่งที่มีมวล แม้เป็นแรงที่อ่อนมาก แต่ก็มีผลต่อทั้งจักรวาล

-
แรงแม่เหล็กไฟฟ้า

เกิดระหว่างสองขั้วไฟฟ้า เป็นแรงที่ยึดอะตอมเข้าหากัน

-
แรงนิวเคลียร์แบบเข้ม

เป็นแรงช่วงสั้น ยึดโปรตอนกับนิวตรอนเข้าด้วยกัน

-
แรงนิวเคลียร์แบบอ่อน

เป็นแรงที่ทำให้เกิดความเสื่อมของอนุภาคนิวเคลียร์

ปโตเลมีชมจันทร์

ดาวไถที่บรรพบุรุษเราเมื่อหนึ่งแสนปีก่อนมองเห็น

กลุ่มดาว Pisces (ราศีมีน)

เป็นกลุ่มดาวที่เป็นสองเส้นชนปลายกันทำมุมกันราวหกสิบองศา หลายพันปีที่ผ่านมา คนโบราณเห็นกลุ่มดาวนี้เป็นทั้งปลาตัวเดียวและสองตัว ตามตำนานกรีก-โรมัน เทพธิดาอโฟรไดต์และบุตรชายถูกอสูรไทฟอนไล่ล่า เพื่อให้หนีรอด พวกเขาแปลงร่างเป็นปลา ผูกหางติดกันและว่ายหนีไป การที่ผูกหางติดกันก็เพื่อให้แน่ใจว่า ทั้งสองจะไม่พรากจากกัน

ในกรณีนี้เห็นชัดว่าเป็นการแต่งเรื่องจากภาพที่เห็นบนท้องฟ้า ไม่ใช่มีตำนานมาก่อนแล้วค่อยหาภาพมาเสียบ

ข้อขัดแย้งคือคำทำนาย

หนังสือเกี่ยวกับ sun signs เล่มหนึ่งอธิบายชาวราศีมีนว่าเป็นคนที่มีสองบุคลิกในคนเดียวกัน ส่วนใหญ่ชอบว่ายตามน้ำเพราะง่ายดี แต่บางครั้งก็ว่ายทวนน้ำฝ่าอุปสรรคไปสู่ความสำเร็จ ชาวราศีมีนไม่ชอบสังสรรค์ในสังคม มีนิสัยหลบมุม ชอบอยู่เงียบๆ เหมือนปลาในน้ำ

ทำไมคำทำนายของชาวราศีมีนจึงบังเอิญตรงกับคุณลักษณะของปลาในตำนานที่แต่งพอดิบพอดี ?

กลุ่มดาว Sagittarius (ราศีธนู)

เป็นกลุ่มดาวค่อนไปทางศูนย์กลางของทางช้างเผือก ดูเหมือนกาน้ำชาที่มีก้านจับ ชาวอาหรับโบราณเห็นมันเป็นรูปกลุ่มนกกระจอกเทศ ชาวกรีกเห็นมันเป็นรูปมนุษย์ม้า (เรียกว่าตัวเซนทอร์) โก่งคันศร มนุษย์ม้านี้ชื่อ ชิรอน (ซึ่งในตำนานจริงๆ ไม่ได้ถือธนู) ชีรอนเป็นผู้นำทางให้เจสันกับพวกอาร์โกนอทเดินเรือไปหาขนแกะทองคำ

เช่นกัน คำทำนายสำหรับชาวราศีธนูก็บังเอิญตรงกับคุณลักษณะในตำนานที่แต่งพอดิบพอดี นั่นคือชาวราศีนี้เป็นคนที่เชื่อมั่นในตนเองสูง "มั่นคง เหมือนคันธนูที่ง้างแล้ว ไม่เปลี่ยนใจ"

จะพบว่าตำนานที่ผูกกับกลุ่มดาวที่สร้างขึ้นทั้งหมดเกี่ยวข้องกับตำนานกรีก และคำทำนายชะตาคนที่ผูกกับแต่ละราศีตรงกันกับตำนานนั้นๆ อย่างบังเอิญทุกราศี

นั่นแปลได้อย่างเดียวว่า คำทำนายทั้งหมดเขียนมาเสียบตำนานที่สร้างขึ้น

ดังนั้น การทำนายชะตาชีวิตของคนที่เกิดราศีต่างๆ โดยใช้ลักษณะของรูปราศีนั้นมาทำนายจึงไม่มีเหตุผลทางวิทยาศาสตร์ใดๆ รองรับโดยสิ้นเชิง

10.
ทำไมคำทำนายจึงกำกวมและเป็นกลางเสมอ

ยกตัวอย่างคำทำนายจากหนังสือพิมพ์ภาษาอังกฤษในเมืองไทยฉบับหนึ่ง

ราศีพฤษภ : "ท่านสามารถเรียนรู้มากมายในวันนี้ ถ้าท่านสนทนากับคนที่รู้ข่าวภายใน ท่านยังสามารถให้อะไรกับชุมชนของท่าน สร้างมิตรภาพและโอกาสใหม่ๆ"

ราศีสิงห์ : "ข้อจำกัดจะเกิดขึ้นถ้าท่านใช้จ่ายเกินตัว ลองหาทางดูว่ามีทางไหนที่ช่วยอุดรูรั่ว ท่านมีข้อได้เปรียบเพราะท่านมีข่าวสารภายใน"

ราศีกันย์ : "ท่านจะเกิดความเชื่อมั่นในตนเองเมื่อมีผู้อื่นมาขอคำแนะนำจากท่าน ข้อมูลจากคนที่มาหาท่านจะเป็นประโยชน์ต่อท่าน"

จะพบว่าคำทำนายทั้งหมดนอกจากจะกว้างแบบ "เหวี่ยงแห" แล้ว ยังใช้สลับกันได้ เพราะเป็นคำทำนายที่ใช้ได้กับทุกคน

ลองอ่านคำทำนายแบบอ่านระหว่างบรรทัด จะพบว่าคำทำนายทั้งหมดตั้งบนพื้นฐานของ "ตรรกะแบบเหวี่ยงแห" ไม่มีทางผิด เพราะไม่ใช่คำทำนายแบบขาวกับดำหรือเจาะจง

คำทำนายคุณลักษณะของแต่ละราศีเช่น "มั่นคง เหมือนคันธนูที่ง้างแล้ว ไม่เปลี่ยนใจ" หรือ "อุปนิสัยไม่แน่นอน บางครั้งก็ตามน้ำ บางครั้งก็ทวนน้ำ" ล้วนเกิดขึ้นกับทุกคนได้ทั้งนั้นตามแต่ละช่วงเวลาและสถานการณ์ของชีวิต

มีใครบ้างในโลกที่ไม่มีคุณลักษณะทั้งหมดที่ว่ามานี้ ?

นักจิตวิทยาพิสูจน์ว่า อุปนิสัยของคนไม่ได้เกิดมาจากยีนอย่างเดียว หากมาจากสภาพแวดล้อมด้วย พิสูจน์ได้อย่างไรว่า "การไม่ชอบเข้าสังคม" ของชาวราศีมีนเกิดมาจากดวงดาวหรือการเลี้ยงดู อย่าว่าแต่ไม่ทุกคนที่เป็นเช่นนั้น

ส่วนการอ้างลัคนาเป็นข้อยกเว้นนั้นเป็นเรื่องบังเอิญเกินไป

11.
ทำไมใช้ตำนานสมมุติของเทพเจ้าประจำดาว

การทำนายโดยใช้ลักษณะของเทพประจำดาว ทั้งในการทายวันเกิดและลายฝ่ามือ ตั้งบนตำนานสมมุติ

ชาวกรีกตั้งชื่อดาวเคราะห์ต่างๆ ตามตำนานเทพที่ตรงกับลักษณะทางกายภาพที่มองด้วยตาเปล่า เช่น ดาวพุธ ใช้ชื่อเทพเมอร์คิวรี ซึ่งเป็นเทพที่มีปีกที่เท้า เดินทางจากโลกไปสวรรค์ได้รวดเร็ว เพราะดาวพุธโคจรรอบดวงอาทิตย์เร็วกว่าดาวอื่นๆ เนื่องจากอยู่ใกล้ดวงอาทิตย์ที่สุด (เมอร์คิวรี-Mercury หรือปรอท ยังใช้เป็นชื่อของธาตุที่เคลื่อนไหวเร็ว ไทยยังใช้ในความหมายของความเร็วเช่นกัน เช่น ไวเป็นปรอท)

วีนัส ใช้เป็นชื่อของดาวศุกร์ เทพธิดาวีนัสเป็นเทพแห่งความรักและสร้างสรรค์ เพราะดาวศุกร์เป็นดาวที่สว่างสวยยามเช้าและค่ำ

มาร์ส เทพเจ้าแห่งสงคราม ใช้เป็นชื่อของดาวอังคาร เพราะเป็นดาวเคราะห์ที่มีสีแดงเหมือนเลือด ฯลฯ

ดังนั้น การทำนายว่า คนเกิดวันอังคารเป็นคนกล้าหาญ ตามลักษณะของเทพมาร์ส หรือเนินศุกร์บนฝ่ามือ (ส่วนที่ติดกับหัวแม่มือ) เป็นเนินแห่งความรัก ฯลฯ จึงเป็นการทำนายบนพื้นฐานของสิ่งสมมุติ

12.
ทำไมหนึ่งคำทำนายสามารถใช้ได้กับคนหมู่มาก

ขัดแย้งกับการที่ว่าแต่ละคนมีดวงชะตาของตนเอง

13.
ทำไมใช้หมู่ดาวที่ไม่ได้อยู่ในระนาบเดียวกัน

การกำหนดหมู่ดาวเป็นรูปต่างๆ เป็นการสมมุติด้วยการมองจากพื้นโลก ในความจริงดาวแต่ละดวงในกลุ่มดาวหนึ่งๆ อยู่ห่างกันตั้งแต่หลายสิบถึงหลายล้านปีแสง แต่ความสว่างที่ไม่เท่ากันของแต่ละดวงทำให้ดูใกล้เคียงกันเมื่อดูจากโลก

ยกตัวอย่างเช่น หมู่ดาวโอไรออน ประกอบด้วยดาวแปดดวง ระยะระหว่างดวงที่ใกล้ที่สุด (คือดาว Betelgeuse) กับดวงที่ไกลที่สุด (คือดาว Mintaka) ราวสองพันปีแสง "แรง" ที่เกิดจากดาวที่มีผลกระทบต่อมนุษย์ (หากมีจริง) จึงย่อมไม่เท่ากัน และมารวมพลังกันส่งผลต่อชีวิตมนุษย์ได้อย่างไร

หากแรงในราศีนั้นๆ สามารถส่งผลต่อมนุษย์จริง ก็ขัดกับโหราศาสตร์สายอื่นที่ใช้เฉพาะดาวเคราะห์ในระบบสุริยะของเราเท่านั้น

14.
ทำไมแรงจึงกระทำต่อเฉพาะสิ่งมีชีวิตบางชนิด

หากหลักแรงกระทบในโหราศาสตร์ถูกต้อง ย่อมใช้ได้ทุกที่ทุกจุดในจักรวาล (อย่างน้อยที่สุดก็บนโลกใบนี้เช่นกัน) หลักการที่ใช้ได้เฉพาะจุดไม่เป็นสากลจักรวาลย่อมฝืนหลักธรรมชาติ

หากมีแรงจากกลุ่มดาวกระทำต่อมนุษย์จริง ทำไมไม่มีผลต่อสัตว์ชนิดอื่น ? ในเมื่อธรรมชาติของแรงย่อมเป็นสากล ไม่มีสิ่งเหนือธรรมชาติ และธรรมชาติไม่เคยแบ่งเขาแบ่งเรา เมื่ออากาศเย็นทั้งคนสัตว์พืชเชื้อโรคก็ได้ผลเหมือนกัน เมื่อแห้งแล้งก็รับผลจากความแห้งแล้งเหมือนกัน เมื่อเกิดปฏิกิริยาเรือนกระจก ทุกชีวิตในโลกก็ได้รับผลโดยเท่าเทียมกัน ถ้าเช่นนั้นทำไมอิทธิพลจากดวงดาวไม่กี่ดวงจึงมีผลเฉพาะมนุษย์เท่านั้น ?

สรีระของคนกับสิ่งมีชีวิตอื่น หรือยกตัวอย่างใกล้เข้ามาคือสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมนั้นคล้ายคลึงกันมาก ทำไมอิทธิพลจากดวงดาวจึงเลือกมีผลเฉพาะต่อคนเท่านั้น? สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมอื่นๆ เช่น หมู ทั้งที่เกิดในเวลาเดียวกับคน เกือบร้อยละร้อยจบชีวิตด้วยการถูกฆ่าเป็นอาหารของมนุษย์ ทำไมไม่มีหมูที่เป็นเศรษฐี และหมูที่แก่ตายตามธรรมชาติมากกว่านี้ ? ทำไมเป็ดไก่ที่เกิดวันเวลาและตำแหน่งบนพื้นโลกเดียวกับคนจึงถูกจับกิน?

15.
ทำไมแรงกระทำมีผลเฉพาะบางจุดบนโลก

ไม่มีหลักฐานพิสูจน์ในเชิงวิทยาศาสตร์รองรับในกรณีที่คนเราสามารถ "ฝืนดวง" โดยการเคลื่อนที่จากจุดเดิม ไปสู่จุดใหม่ เพื่อลดแรงกระทำ (ร้ายๆ) ที่มีต่อตนเองให้ลดลง เนื่องจากแรงทางฟิสิกส์ทั้งสี่ชนิดนั้น "ประพฤติตน" เสมอต้นเสมอปลาย ณ ทุกจุดในจักรวาล อย่างน้อยที่สุดก็บนโลกใบนี้ ไม่เลือกเฉพาะจุด

แรงโน้มถ่วงไม่ว่าในอเมริกาหรือเมืองไทยมีค่าเท่ากัน เช่นเดียวกันแรงทางฟิสิกส์อีกสามชนิด

16.
ทำไมฝาแฝดเหมือนไม่มีชะตาชีวิตเดียวกัน

มีตัวอย่างมากมายที่ฝาแฝดเหมือนมีชีวิตที่ไม่เหมือนกัน กรณีที่ชัดเจนที่สุดคือกรณีที่ฝาแฝดแบบเหมือนคนหนึ่งประสบอุบัติเหตุถึงแก่ชีวิต ขณะที่อีกคนหนึ่งไม่เกิดอะไรเลย พิสูจน์ว่า ฝาแฝดเหมือนที่เกิดเวลาเดียวกัน ยีนเดียวกัน มีชีวิตที่ไม่เหมือนกัน

หากโหราศาสตร์เป็นวิทยาศาสตร์ หากดวงดาวมีผลต่อชีวิตคน ย่อมมีผลต่อชีวิตทั้งคู่เหมือนกัน ฝาแฝดทุกคู่ต้องมีชีวิตและความตายที่เหมือนกัน

17.
ทำไมหมอดูทำนายดวงคนเดียวกันไม่เหมือนกัน

เป็นที่น่าสังเกตว่า โหราศาสตร์เป็นศาสตร์เดียวในโลกนี้ที่ใช้เวลาพัฒนายาวนานกว่าศาสตร์อื่นๆ และอย่างต่อเนื่องนานหลายพันปี เป็นที่นิยมตลอดมาไม่ขาดสาย ไม่ว่าโลกอยู่ในยุคสันติหรือสงคราม หากโหราศาสตร์สามารถทำนายผลลัพธ์ที่แน่นอน ระยะเวลายาวนานขนาดนี้ย่อมสามารถสร้างกฎแห่งโหราศาสตร์ขึ้นมาได้ไม่ยาก ทว่ามันกลับไม่สามารถสร้างเป็นกฎหรือหลักการทางวิทยาศาสตร์ได้ เมื่อเทียบกับศาสตร์อื่นๆ เช่น แพทยศาสตร์ คณิตศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์ ซึ่งใช้ระยะเวลาเพียงไม่กี่ร้อยปีก็สามารถวางรากฐานชัดเจนแน่นอน ทั้งที่การพัฒนาเหล่านั้นสะดุดเพราะปัจจัยต่างๆ มากมาย

หลายพันปีผ่านไป หลักโหราศาสตร์ก็ยังคงเป็นการตีความเหมือนเดิม

มีตัวอย่างการทดลองเชิงวิทยาศาสตร์เล็กๆ ในฝรั่งเศส

นักวิทยาศาสตร์ในฝรั่งเศสลงโฆษณาในหนังสือพิมพ์ในปารีส เสนอการดูดวงให้ฟรี ประชาชนจำนวน 150 คนตอบรับ พร้อมแจ้งสถานที่เกิด เวลาเกิด ผู้ส่งทุกคนได้รับคำตอบเดียวกัน พร้อมคำถามว่าสิ่งที่ทำนายไปแม่นยำเพียงใด

94
เปอร์เซ็นต์ตอบว่าแม่น

"
ทวิสต์ เอนดิ้ง" ของการทดลองนี้คือ คำทำนายนั้นเป็นชีวิตของฆาตกรฆ่าต่อเนื่องชาวฝรั่งเศสคนหนึ่ง

มีการศึกษาโหราศาสตร์ในเชิงสถิติในฝรั่งเศสเพื่อดูความเกี่ยวข้องระหว่างวันเกิดกับวันตาย โดยเก็บข้อมูลจากสำนักทะเบียนแห่งฝรั่งเศส ในช่วงปี 1979-1997 ใช้ฐานข้อมูลการเกิดและตายจำนวน 10,081,752 ราย และนำมาวิเคราะห์รวมโดยวางบนพื้นฐานของจักรราศี

ผลสรุปคือวันเกิดและตายเป็นอิสระจากกัน

จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ในปี 1975 กลุ่มนักดาราศาสตร์และนักฟิสิกส์ชั้นนำของโลกจำนวน 186 คนลงชื่อในประกาศ (ตีพิมพ์ในนิตยสาร Humanist) ว่า "โหราศาสตร์ไม่มีรากฐานทางวิทยาศาสตร์"

มีความพยายามอธิบายหลักการทำงานของโหราศาสตร์ในด้านอื่นๆ ที่ไม่เกี่ยวกับดาราศาสตร์ เช่น

1.
ด้านจิตวิทยา

คนที่ต้องการฟังคำทำนายนั้นพร้อมที่จะเชื่ออยู่แล้ว และมีพฤติกรรมโยงคำทำนายเข้ากับสิ่งที่ตนกำลังคิดหรืออยากรู้โดยอัตโนมัติ ความน่าจะเป็นของความถูกต้องในการโยงเรื่องอยู่ในระดับสูง ในเมื่อคำทำนายอยู่ในรูปของคำพูดที่กำกวม ไม่เจาะจง

มีจำนวนหลายกรณีที่คำทำนายของหมอดูส่งผลให้คนรับคำทำนายทำให้คำทำนายนั้นเกิดขึ้นจริง (โดยความสามารถและการกระทำของเขาเอง) และยกความดีให้กับการทำนายนั้น

เมื่อคุณเกิดอาการปวดหัว คุณสวดมนต์หนึ่งจบก่อนเข้านอน เมื่อตื่นขึ้นมาคุณหายปวดหัว คุณอาจวิเคราะห์หาสาเหตุของการหายจากอาการปวดหัวได้สามอย่าง คือหนึ่ง หายเพราะสวดมนต์ สอง หายเพราะนอน สาม หายเพราะทั้งสวดมนต์และนอน คุณไม่อาจสรุปได้ว่าเป็นเหตุจากข้อใดข้อหนึ่ง แต่แน่นอนคุณย่อมไม่ทิ้งความเป็นไปได้ว่าอาจเป็นการสวดมนต์ก็ได้

คุณไม่มีวันรู้หากคุณไม่เลือกแยกทดสอบประสิทธิภาพของการสวดมนต์และการนอนทีละอย่าง แต่ในชีวิตจริงคนส่วนใหญ่มักเลือกทำอย่างเดิม มากกว่าจะวิเคราะห์เรื่องนั้นๆ อย่างเป็นวิทยาศาสตร์

2.
ด้านสถิติศาสตร์

สมมุติว่าคุณมีฐานข้อมูลเวลาวันเดือนปีเกิดของคนทุกประเภท ทุกอาชีพ รวมทั้งข้อมูลส่วนตัวอื่นๆ เช่น ความรัก การแต่งงาน ลูก ฯลฯ สักหลายพันชื่อ คุณก็สามารถหาค่าของความน่าจะเป็นของชีวิตคนที่เกิดในแต่ละวันแต่ละราศี ฐานข้อมูลนี้ยิ่งกว้างและละเอียดเท่าใด ความน่าจะเป็นของความแม่นยำก็สูงขึ้นเท่านั้น โดยไม่จำเป็นต้องพึ่งพาข้อมูลเกี่ยวกับแรงของดวงดาวทั้งหลายเลย

โหราศาสตร์เป็นศาสตร์เดียวที่มีการเก็บข้อมูลต่อเนื่องมานานหลายพันปี มีฐานของข้อมูลจำนวนมหาศาลจากทั่วโลก มากพอที่จะได้ค่าความน่าจะเป็น "แม่นยำ" ในระดับหนึ่ง เมื่อรวมกับคำทำนายที่ไม่เจาะจง ลูกเล่น และเทคนิคในการทำนายต่าง ๆ อีกมากมาย คนที่มารับการพยากรณ์จะพบว่ามันแม่นยำเหลือเชื่อ

3.
ด้านนิติเวช

ในที่นี้โหราศาสตร์บางแขนงทำงานอย่างการวิเคราะห์ เช่น ในศาสตร์การดูลายฝ่ามือ มือเป็นอวัยวะที่บอกอะไรหลายอย่างเกี่ยวกับคนนั้น เนื่องจากลายมือคนเราเปลี่ยนได้และเปลี่ยนตลอด เช่นที่เซลล์ของคน "ลอกคราบ" ตลอดชีวิต การถนัดซ้าย-ขวาเกี่ยวกับสมองแต่ละซีก สีผิว ความหยาบ อุณหภูมิ ฯลฯ บอกคุณลักษณะของบุคคลได้ไม่น้อย

หมอดูลายมือเป็นนักวิเคราะห์มือมากกว่า เราสามารถดูอะไรหลายอย่างจากมือ เช่น มือกรรมกรที่ใช้แรงย่อมต่างจากมือเศรษฐีที่ไม่เคยทำงานหนัก เป็นต้น

ส่วนการวิเคราะห์ลายมือเขียนหรือลายเซ็น (Handwriting Analysis) นั้นไม่ได้จัดในหมวดโหราศาสตร์ หากเป็นวิทยาศาสตร์เชิงนิติเวช เป็นงานเชิงวิเคราะห์ ไม่ใช่พยากรณ์ โดยการวิเคราะห์จากหลักฐานที่เห็น เช่น การตวัดปากกา รอยน้ำหนักของการกด องศาของการเขียน ฯลฯ

ในหน่วยงานตำรวจต่างประเทศ มีการศึกษาลายมือเขียนของผู้ต้องสงสัยและได้ผลอย่างเป็นวิทยาศาสตร์

ฮวงจุ้ย

ความเชื่อเรื่องฮวงจุ้ยในบ้านเราแพร่หลายรวดเร็วอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ส่วนหนึ่งเป็นเพราะบทบาทของสื่อต่างๆ ที่ช่วยกันโหมประโคม ทำให้ "คุณค่า" ของฮวงจุ้ยสูงขึ้น

หลักการของฮวงจุ้ยนั้นเป็นส่วนผสมของวิทยาศาสตร์และไสยศาสตร์ จึงน่าเชื่อถือ เพราะส่วนวิทยาศาสตร์นั้นพิสูจน์อย่างเป็นรูปธรรมได้ ทำให้ส่วนที่เป็นไสยศาสตร์น่าเชื่อถือตามไปด้วย

ส่วนที่เป็นวิทยาศาสตร์ในฮวงจุ้ยก็คือสถาปัตยกรรมศาสตร์นั่นเอง

การออกแบบทางสถาปัตยกรรมศาสตร์ตั้งบนพื้นฐานของวิทยาศาสตร์ เช่น มีการคำนวณทิศทางลม เงาแดดอย่างแม่นยำเช่นเดียวกับการคำนวณทางดาราศาสตร์ ดังนั้น การกำหนดทิศทางลมและแสงแดดที่ถูกต้อง สามารถทำให้ผู้อยู่สุขสบายขึ้น เพราะเย็นสบายไม่ร้อนอึดอัดทั้งวัน การใช้น้ำช่วยทำให้อาคารดูไม่กระด้าง เหล่านี้เมื่อใช้ตามหลักวิชาออกแบบที่ถูกต้องแล้ว สามารถทำให้ผู้อยู่อาศัยมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นจริง

ส่วนที่เป็นไสยศาสตร์ในฮวงจุ้ยคือส่วนที่ตั้งบนความเชื่อ ส่วนนี้เปลี่ยนไปตามแต่ละสำนัก หลักของส่วนนี้คือการลดพลังความชั่วร้ายและเสริมสร้างความมงคลโดยการใช้อุปกรณ์บางอย่าง เช่น สิงโตหิน ยันต์แปดเหลี่ยม ฯลฯ ไม่ผิดไปจากไสยศาสตร์อื่นๆ เช่น พระเครื่อง กุมารทอง การสักยันต์ ข้อแตกต่างคือฮวงจุ้ยมีราคาสูงกว่า (เพราะมี "added value" ทางการตลาดมากกว่า) เท่านั้น

ปัจจุบันการตลาดฮวงจุ้ยพัฒนาไปสู่สายทางใหม่ๆ มากมาย เช่น การออกแบบโลโกบริษัท การขายบ้านที่ดินที่วางบนหลักความเชื่อนี้ ฯลฯ เป็นการแสวงหา "ทางลัด" และ "การแทงกั๊ก" อย่างหนึ่ง

เนื่องจากฮวงจุ้ยประกอบด้วยสองส่วน คือส่วนที่เป็นวิทยาศาสตร์ (การออกแบบทางสถาปัตยกรรมศาสตร์) และส่วนความเชื่อ (ความชั่วร้าย ความมงคล ฯลฯ) ในที่นี้จะกล่าวถึงส่วนที่เป็นความเชื่อทางไสยศาสตร์เท่านั้น

ข้อขัดแย้งระหว่างวิทยาศาสตร์กับความเชื่อนี้

1.
ทำไมความมงคลและความชั่วร้ายไม่เสมอต้นเสมอปลาย

หากความมงคลและความชั่วร้ายเป็น "แรง" ที่เป็นธรรมชาติ (คงต้องเป็นแรงชนิดใหม่ที่ยังไม่เคยพบมาก่อนในโลกฟิสิกส์) ย่อมปรากฏทุกจุดในจักรวาลเช่นกัน ทำไมสามารถปรากฏ ณ ตำแหน่งใดตำแหน่งหนึ่ง หรือสามารถป้องกันได้ด้วยการใช้วัตถุบางชนิด

ตามหลักฟิสิกส์ หากความชั่วร้ายเป็นแรงที่ส่งแรงต่อมนุษย์ ย่อมส่งแรงต่อสัตว์และพืชด้วย ทำไมจึงป้องกันเฉพาะคนที่วางตำแหน่งที่อยู่ตามตำราเท่านั้น ทำไมมีผลต่อมนุษย์เท่านั้น ซึ่งไม่ได้แตกต่างจากสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมชนิดอื่น ๆ

ความชั่วร้ายและความมงคลเป็นนามธรรม เป็นค่าสมมุติที่สัมพัทธ์กัน จึงวัดค่าสัมบูรณ์ของมันไม่ได้

พิษงูร้ายแรง แต่ก็ไม่มีพิษต่อทุกสรรพชีวิต อากาศดี (ออกซิเจน) ที่เราหายใจเข้าไปเป็นพิษต่อหลายชีวิต คาร์บอนไดออกไซด์ที่เป็นพิษกับเรา กลับเป็นประโยชน์ต่อพืช สรรพสิ่งไม่สามารถแยกแยะได้ว่า สิ่งใดดี สิ่งใดไม่ดี

2.
ทำไมปัจจัยในหลักการแก้เคล็ดไม่เป็นสากล

-
หากการสร้างความความมงคลและการแก้เคล็ดเป็นธรรมชาติสากล ทำไมพฤติกรรมนี้จึงไม่ปรากฏในทุกวัฒนธรรมและกับมนุษย์ทุกมุมโลก เช่นการสวมเสื้อผ้าเพื่อปกป้องร่างกาย

-
การปลูกต้นไม้เพื่อแก้เคล็ดทำไม่ได้ทุกจุดทั่วโลก ต้นไม้ "มงคล" หลายชนิดไม่มีทั่วไปในโลก

-
การใช้น้ำแก้เคล็ดทำไม่ได้ทุกจุดทั่วโลก เช่นในขั้วโลก น้ำกลายเป็นน้ำแข็งหมด

-
หากการขาดน้ำทำให้ไร้มงคล ทำไมในหลายประเทศที่ตั้งในทะเลทรายจึงร่ำรวยกว่าหลายชาติในประเทศที่ชุ่มชื้น (ทะเลทรายหลายแห่งมีน้ำมันทรงค่าฝังอยู่)

กฎใดๆ ที่ไม่ใช่สากลและมีข้อยกเว้นย่อมไม่ใช่คุณลักษณะของธรรมชาติ

3.
ทำไมใช้สิ่งประดิษฐ์ในการต่อต้านความชั่วร้าย

วัตถุมงคลเช่น ดาบ กระจกเงา ฯลฯ มนุษย์สร้างและกำหนด ไม่ใช่ธรรมชาติ ดังนั้นจึงไม่เป็นสากลทั่วจักรวาล

ดาบเป็นอาวุธที่สร้างขึ้นในยุคโลหะ ราว 7,000-6,000 ปีก่อนคริสตกาล เป็นวัตถุที่มนุษย์ประดิษฐ์ขึ้น ไม่เป็นสากลทั่วจักรวาล

เช่นเดียวกับกระจกเงา (ที่เชื่อว่าในบางรูปทรงสามารถสะท้อนความชั่วร้าย) ถูกประดิษฐ์ขึ้นเมื่อมนุษย์รู้จักการใช้แก้วและค้นพบปรอท ในยุคอียิปต์โบราณใช้จานทองเหลืองขัดเงาเป็นกระจกเงา

หากเสือคาบดาบสามารถแก้เคราะห์ร้ายของมนุษย์ได้ ก็หมายถึงว่าก่อนหน้าที่มีคนประดิษฐ์ยันต์ชนิดนี้ขึ้นมานั้น โลกไม่มีความมงคลกระนั้นหรือ ?

ในทางตรงกันข้าม ดาบเป็นเครื่องมือในการทำสงคราม ฆ่าฟันทำลายล้างชีวิตมนุษย์มาทุกยุคทุกสมัย นั่นคือความมงคลกระนั้นหรือ ?

4.
ไม่มีหลักเกณฑ์แน่นอนในการเลือกสัตว์และวัตถุมงคล

5.
สัตว์ที่เป็นสัญลักษณ์ของความเป็นมงคลไม่ได้มีทั่วจักรวาล และไม่มีมาตั้งแต่แรกกำเนิดจักรวาล

ตัวอย่างเช่น สิงโต เสือ เป็นสัตว์ที่วิวัฒนาการมาจากฐานธาตุคาร์บอน ไม่ได้เกิดขึ้นในโลกอื่นๆ ในจักรวาล จึงไม่ใช่กฎที่ใช้ได้ทั่วจักรวาล

สิงโตกำเนิดในโลกเมื่อ 750,000 ปีก่อนในแผ่นดินแอฟริกา เสือปรากฏในโลกเมื่อราวสองล้านปีก่อน

การกำหนดว่าสัตว์ชนิดหนึ่งชนิดใดมีความมงคลจึงหมายความว่าก่อนหน้าที่สัตว์ชนิดนั้นๆ กำเนิด โลกไม่มีความมงคล

การกำหนดว่าสัตว์ชนิดหนึ่งชนิดใดมีความมงคลจึงน่าจะเป็นสัญลักษณ์มากกว่าตีความหมายตามคำ

6.
ทำไมสัตว์ที่เป็นมงคลไม่สามารถใช้ความมงคลช่วยตัวเองได้

ความจริงคือสิงโตและเสือที่ใช้เป็นสิ่งขับไล่ความชั่วร้ายนั้นกำลังใกล้สูญพันธุ์เต็มที และกลายเป็นสัตว์ที่ได้รับการคุ้มครอง หากสัตว์เหล่านี้มีพลังอำนาจที่จะคุ้มครอง ต่อต้านความชั่วร้าย ทำไมพวกมันจึงแทบสูญพันธุ์หมดสิ้น ?

ในกรณีของสิงโต สิงโตในอเมริกาและยุโรปสูญพันธุ์หมดสิ้นตั้งแต่หนึ่งแสนปีก่อน โดยที่ช่วยตัวเองไม่ได้ ส่วนแอฟริกาที่เป็นที่อยู่ของสิงโตกลับเป็นภูมิภาคที่ยากจนที่สุดในโลก

ในกรณีของเสือ จากข้อมูลถึงปี 1997 เสือในโลกเหลือไม่ถึงครึ่ง;

เสือแคสเปียน สูญพันธุ์ไปแล้ว

เสือไซบีเรีย เหลือ 250-400 ตัว

เสือเบงกอล เหลือ 3,000-5,300 ตัว

เสือสุมาตรา เหลือ 400-500 ตัว

เสือชวา น่าจะสูญพันธุ์ไปแล้ว

เสือบาหลี สูญพันธุ์ไปแล้ว

เสืออินโดจีน เหลือ 800-1,400 ตัว

เสือจีนตอนใต้ เหลือ 30-80 ตัว

7.
การกำหนดทรงเรขาคณิตบางทรงเป็นความมงคล ไม่ได้ตั้งบนฐานของวิทยาศาสตร์

ทรงเรขาคณิตทุกทรงเป็นคณิตศาสตร์ ทำไมต้องเป็นบางทรงเท่านั้น เช่น (ยันต์) แปดเหลี่ยมเท่านั้นที่มีคุณสมบัติป้องกัน "ความชั่วร้าย" ได้ ในเมื่อเป็นทรงเรขาคณิตเช่นเดียวกับทรงอื่นๆ ?

ไม่เคยมีการพิสูจน์ใดๆ ทางวิทยาศาสตร์ว่า ทรงแปดเหลี่ยมสามารถรักษาโรคได้ หรือทำให้คนเรามีความสุขมากขึ้นจากการใช้ชีวิตกับวัตถุทรงแปดเหลี่ยม มิเช่นนั้นโลกเราคงเต็มไปด้วยยาเม็ดทรงแปดเหลี่ยม เพื่อที่จะรักษาโรคได้ดีขึ้น (โปรดสังเกตว่า นักการตลาดจะเป็นพวกแรกที่รู้ก่อนเสมอ)

ตรงกันข้าม :

แก้วทรงแปดเหลี่ยมดื่มน้ำยากกว่าทรงกลม

ยาเม็ดทรงแปดเหลี่ยมกลืนยากกว่า

ล้อรถทรงแปดเหลี่ยมมีแรงเสียดทานมากกว่า

บ้านทรงแปดเหลี่ยมสร้างยากกว่า เปลืองวัสดุกว่า

หนังสือทรงแปดเหลี่ยมใช้งานยากกว่า

เตียงทรงแปดเหลี่ยมใช้งานยากกว่า

โถส้วมทรงแปดเหลี่ยมใช้งานยากกว่า

การทำกรอบรูปแปดเหลี่ยมยากกว่า

โดยทั่วไปรูปทรงแปดเหลี่ยมนั้นสิ้นเปลืองวัสดุกว่า

ที่ชัดเจนที่สุดคือ หากวิวัฒนาการในธรรมชาติเห็นว่าทรงแปดเหลี่ยมเหมาะสมที่สุด สัตว์โลกทุกชนิดคงมีแปดนิ้ว แปดมือเท้า นัยน์ตาแปดเหลี่ยม รูจมูกแปดเหลี่ยม

ใบไม้ เปลือกหอยคงเป็นทรงแปดเหลี่ยม และโลกคงไม่มีแมลง มีแต่ "แมง" ฯลฯ

การกำหนดว่าทิศมีแปดทิศเป็นการสมมุติขึ้นมา เราสามารถกำหนดได้ว่าทิศมี 3 ทิศ 4 ทิศ 7 ทิศ หรือ 360 ทิศ ก็ย่อมได้ เช่นเดียวกับการสมมุติฐานเลขทางคณิตศาสตร์ในอารยธรรมต่างๆ การกำหนดเลขใดเลขหนึ่งเพื่อความสะดวกในการใช้งานเท่านั้น

เลขนำโชค

หากถามว่าวิชาใดในโลกสำคัญที่สุด เป็นสากลที่สุด คำตอบคือคณิตศาสตร์ และหากจะมีสักภาษาเดียวในจักรวาลที่สิ่งทรงภูมิปัญญาสามารถติดต่อกันโดยข้ามพ้นพรมแดนของกายภาพ ภาษานั้นก็คือคณิตศาสตร์

ความเชื่อเรื่องตัวเลข อักษร มีทั่วโลก ทั้งตะวันออกตะวันตก

ข้อขัดแย้งระหว่างวิทยาศาสตร์กับความเชื่อนี้

1.
การตีความความมงคลของแต่ละเลขไม่เป็นสากล

ตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดคือกรณี เลข 13

เราหนีเลข 13 ได้เฉพาะที่ชื่อเรียกเท่านั้น เพราะทุกอาคารที่สูงกว่า 13 ชั้นล้วนมีชั้นที่ 13 ไม่ว่ามันจะเรียกว่า 12-A หรือ 14 หรืออะไรก็ตาม

การหนีเลข 13 ในทางกายภาพก็คือการหลอกตัวเองนั่นเอง

2.
เป็นการพ้องเสียงของภาษา ซึ่งเป็นสิ่งสมมุติ

ความเชื่อของชาวจีนเชื่อว่ามีตัวเลขหลายตัวที่เป็นมงคล เช่น เลข 8 เสียงพ้องคำว่า ฟะ เจริญรุ่งเรือง

คนไทยชอบเลข 9 เพราะหมายถึง ก้าวไปข้างหน้า (แปลกที่ไม่มีใครตีความว่าเป็นก้าวถอยหลัง !)

3.
การตีความความมงคลของแต่ละเลขไม่เป็นสากล

ตัวอย่างที่ขัดแย้งกันเช่น เช่น เลข 4 ในจีนออกเสียงว่า ตาย ขณะเดียวกันก็พ้องกับคำว่า มงคล จึงตีความหมายตามแต่จะเลือกใช้

อเมริกันเชื่อเลข 7 นำโชค

เลข 6 ในศาสนาคริสต์มีความหมายไม่ดี 666 เป็นรหัสปีศาจ

(
ในนวนิยายและหนังเรื่อง The Omen เลข 666 เป็นสัญลักษณ์ของความชั่วร้ายและความตาย ส่วนในนวนิยายไทยเรื่อง เล็บครุฑ ของ พนมเทียน 666 เป็นรหัสของสายลับชีพ ชูชัย คนไทยชอบทั้งประเทศ โดยไม่ถือสา)



นามนั้นสำคัญไฉน

มีเรื่องตลกเล่ากันในวงเหล้า ถึงชื่อต้องห้ามต่างๆ ในโลก

ชื่อจีนต้องห้าม : ฉี่เฉียงเฉียง เยี่ยวเฉี่ยวหัว ปาหัวหมา ฯลฯ

ชื่อญี่ปุ่นต้องห้าม : เซมากูเตะ มิโตมิกล้าโชว์ โตมิโตกูโชว์ดะ ฯลฯ

คนที่คิดว่านามนั้นสำคัญไฉนอาจต้องดูตัวอย่างการตั้งชื่อสินค้าทางการตลาด โดยเฉพาะอย่างยิ่งสินค้าที่จำหน่ายทั่วโลก กำแพงภาษาอาจทำให้สินค้าชนิดหนึ่งๆ ประสบความสำเร็จหรือล้มเหลวได้อย่างไม่น่าเชื่อ ตัวอย่างมีนับไม่ถ้วน เช่น รถยนต์ ปาเจโร ในบางภาษาหมายถึง "ชายที่เล่นกับตัวเอง" ฯลฯ

ชื่อไพเราะของภาษาหนึ่งอาจกลายเป็นคำหยาบของอีกภาษาหนึ่ง

ความหมายของชื่อนั้นจึงเป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปรไปในแต่ละวัฒนธรรม

ความเชื่อในการตั้งชื่อคนให้เป็นมงคลนั้นพอทำความเข้าใจได้ไม่ยาก เพราะในการตั้งชื่อคน ไม่มีใครอยากได้ชื่อที่แปลความหมายที่ไม่ดี และการตั้งชื่อให้เป็นมงคลในลักษณะนี้ไม่ใช่เรื่องผิดปกติอะไร

คนไทยโบราณตั้งชื่อง่ายๆ เช่น เด็กเกิดมาตัวแดง ก็ตั้งชื่อ แดง เป็นต้น บางครั้งก็ตั้งชื่อแบบมองต่างมุม เช่น เด็กเกิดมาผอม ต้องการให้เด็กอ้วนก็ตั้งชื่อว่า อ้วน เป็นเคล็ดอย่างหนึ่ง

การตั้งชื่อในสมัยต่อมาทวีความซับซ้อนมากขึ้น เมื่อเราผสมผสานความเชื่อทางโหราศาสตร์และไสยศาสตร์เข้าไป จนกลายเป็นความเชื่อว่าการตั้งชื่อที่ดีสามารถทำให้ชีวิตดีขึ้นได้

มีการกำหนดเป็นกฎว่า เกิดวันใดต้องใช้อักษรใด ตั้งชื่อเด็กดูตามวันเวลาเกิด ไม่ใช้อักษรกาลกิณี

ความเชื่อเรื่องชื่อยังครอบคลุมเรื่องพืช โดยแบ่งพืชออกเป็นพืชมงคล นั่นคือปลูกแล้วเจริญรุ่งเรือง ยึดหลักการในการแบ่งใช้เสียงพ้องเช่นเดียวเรื่องตัวเลข เช่น มะยม พ้องกับ นิยม เป็นต้น

นามนั้นสำคัญเช่นนั้นจริงหรือ ?

ข้อขัดแย้งระหว่างวิทยาศาสตร์กับความเชื่อนี้

1.
ภาษาเป็นสิ่งสมมุติ

อักษรเป็นสิ่งประดิษฐ์ของคน (อักษรไทยมีอายุไม่ถึงหนึ่งพันปี) มิใช่สิ่งที่มีอยู่แล้วตามธรรมชาติ ย่อมไม่มีผลต่อชีวิตมนุษย์เหมือนอากาศ อุณหภูมิ กระแสลม ฯลฯ การกำหนดว่าอักษรใดเป็นมงคล หรือเป็นกาลกิณี หรือขึ้นกับดวงดาวเป็นสิ่งสมมุติ ไม่ได้ตั้งบนหลักทางวิทยาศาสตร์เลยทั้งสิ้น

ใช้หลักตรรกะง่ายๆ คิด กฎเกณฑ์ทางภาษาไทยนี้ใช้ได้กับคนไทย 62 ล้านคนเท่านั้น เมื่อเทียบกับคนหกพันล้านคนทั่วโลก

คนชาติอื่นซวยหมดหรือ ?

ภาษาเป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงได้ เป็นเพียงรหัสในการติดต่อกัน เป็นสิ่งสมมุติที่มนุษย์สร้าง ไม่ใช่ธรรมชาติ จึงไม่ตกอยู่ในหลักธรรมชาติ

การติดยึดกับมันโดยหมายความตรงคำก็คือการหลงยึดเอาสิ่งที่ไม่มีจริงมาเป็นเรื่องจริง

ด้วยเหตุนี้ ความเชื่อว่าการตั้งชื่อด้วยบางคำบางอักษรสามารถนำโชคลาภมาให้ การติดยึดกับชื่อของต้นไม้ ตัวเลข เหล่านี้จึงเป็นการติดยึดกับสิ่งที่ไม่มีตัวตนแต่แรก

2.
ไม่มีความหมายในทางสากล

ไม่มีธรรมชาติใดที่เกิดขึ้นเฉพาะในบางเขต บางวัฒนธรรมเท่านั้น

หากโหราศาสตร์มีผลต่อชีวิตมนุษย์ ย่อมต้องมีผลต่อทุกคนทั่วโลก ไม่ใช่ในบางประเทศ (อย่าลืมว่าประเทศก็เป็นสิ่งสมมุติอย่างหนึ่ง)

จะเห็นว่าการใช้คำพ้องเชื่อมความหมายของความมงคลหรืออัปมงคล นอกจากจะไร้หลักการแล้ว ยังแปรไปตามท้องถิ่น ไม่เป็นสากล ไม่เป็นธรรมชาติเหมือนคำว่า แม่ หรือ ปา (พ่อ) ที่ชัดเจนกว่า เพราะโดยธรรมชาติของมนุษย์ ทารกทุกคนเรียกแม่กับพ่อด้วยเสียงที่คล้ายกันมาก

3.
การตีความในแต่ละวัฒนธรรมไม่ตรงกัน

ความหมายของคำมงคลขัดแย้งกัน ยกตัวอย่างเช่น

บ๊วย ในจีนเป็นคำดี เป็นของสูง ดอกบ๊วยหรือเหมย เป็นสัญลักษณ์ของสิ่งดีงาม บ๊วย ในไทยกลับหมายถึง ท้ายสุด ที่โหล่

ท้อ เป็นพืชมงคลของจีน ท้อ ในไทยหมายถึง ท้อแท้

4.
ไม่มีกฎเกณฑ์แน่นอน

ใช้คำพ้องเสียงโดยไม่มีหลักเกณฑ์ใด ๆ เลยแม้แต่น้อย ประเภท "จับยัด"

-
พ้องคำร้าย เช่น ลั่นทม พ้อง "ระทม"

เต่าร้าง (เต่ารั้ง) พ้อง "ร้าง"

-
พ้องคำดี เช่น มะยม พ้องกับ "นิยม" (แปลกที่ไม่พ้องคำว่า พระยม หรือ ยมทูต)

-
คำพ้องเปลี่ยนไปตามยุคสมัย

ในสมัยผมยังเด็ก คำว่า แห้ว ไม่เกี่ยวกับความหมายไม่ดี ต่อมา แห้วกลายเป็นคำแสลง ในยุคหลัง หมายถึงการพลาดหวัง พาลทำให้หลายคนไม่ยอมกินแห้ว

คำถามคือ หากคำเหล่านี้ไม่ดีแต่แรกเริ่ม ทำไมคนโบราณจึงสร้างมันขึ้นมา

ทุกภาษาต้องมีคำที่หมายถึงสิ่งดีและไม่ดี มิเช่นนั้นการสื่อสารก็ไม่สมบูรณ์

5.
การเลือกใช้เฉพาะบางความหมาย

ความเชื่อว่าไม่ควรปลูกต้นปาล์มไม้กวาด เพราะมันจะ "กวาด" โชคไปหมด

ห้ามปลูกมะละกอ เพราะมันจะทำให้ร้าวรานกับเพื่อนบ้าน

ห้ามปลูกมะพร้าวให้ทางมะพร้าวแตะหลังคา เพราะจะนำความชั่วร้ายมาให้ ฯลฯ

เหล่านี้เป็นการเลือกใช้ความหมายที่ไม่ดีโดยไม่มีหลักเกณฑ์ที่แน่นอน

ลองนึกถึงโลกที่ไม่มีไม้กวาด ส้วม พรมเช็ดเท้า ว่าเป็นโลกที่สกปรกอย่างไร

นอกจากเราจะไม่ควรดูหมิ่นดูแคลนวัตถุ "อัปมงคล" เช่นไม้กวาด ส้วม เหล่านี้แล้ว ยังควรกราบไหว้ไม้กวาดและส้วมด้วย เพราะหากไม่มีสิ่ง "อัปมงคล" เหล่านี้ เราก็อยู่ไม่ได้

6.
ธรรมชาติไม่สร้างต้นไม้ที่ "ไร้ประโยชน์"

ตรงกันข้ามหากไม่มีต้นไม้ มนุษย์ก็อยู่ไม่ได้ ไม่มีแหล่งให้ออกซิเจนสำหรับคนและสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ไม่มีอาหาร ไม่มีร่มเงา ไม่มีไม้สร้างที่อยู่อาศัย

ระกำ นอกจากจะใช้เป็นอาหาร ตำน้ำพริก ใส่แกงส้ม ยังใช้เป็นยาอีกด้วย ผลระกำกินเป็นยาแก้ไอ ขับเสมหะ แก่นระกำ มีรสขมหวาน ใช้เป็นยาขับเสมหะ รักษากำเดา รักษาเลือด เปลือกรากของระกำใช้เป็นยาถ่าย กิ่งแก้โรคหนองใน ท้องร่วง ใบใช้พอกแก้บวม น้ำยางแก้ปวดฟัน

ลั่นทม ใช้เป็นยาถ่าย ทาภายนอกแก้หิด โรคปวดบวมตามข้อ และทาที่เหงือกแก้ปวดฟัน

ท้อ ลดคอเลสเตอรอล ลดความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็ง ลดความดันโลหิตสูง ลดความเสี่ยงโรคลมปัจจุบันและโรคคอพอก

เต่าร้าง (เต่ารั้ง) กินแก้ตับย้อย ม้ามย้อย / ต้นฉบับมีเพียงเท่านี้ครับ..ลุงแว่น




นานาสาระ

สูตรการพยากรณ์ จากงานวิจัยของอ.สารณิชย์ article
ดวงดาวกับอาชีพ
การพยากรณ์ลัคนาในเรือนทักษา article
คุณและโทษของดาวเคราะห์ตรึงลัคน์และตรึงบาปเคราะห์ article
เคสศึกษา "ดวงชะตา ด.ญ. ถูกรถชนเสียชีวิตเมื่ออายุ 9 ขวบ" article
ดวงสตรีเป็นหม้าย article
สูตรการผสมเรือนชะตาแบบภพผสมภพ จากงานวิจัยของอ.สารณิชย์ article
การพยากรณ์ดาวพระเคราะห์ต่างๆในเรือนชะตา article
การพยากรณ์ดาวเคราะห์สถิตภพกดุมพะ article
องค์ประกอบที่สำคัญของวิชาโหราศาสตร์ article
การพยากรณ์ความหมายของเรือนชะตาในราศีต่างๆ article
การเรียน โหราศาสตร์ ไม่ยากอย่างที่คิด article
ความหมายของภพต่างๆแบบภพผสมภพ ตามแนวของอ. สถิตย์ สถิตย์ยืนยง article
บทเรียนโหราศาสตร์ไทย ด้วยตนเอง หลักสูตรเร่งรัด หน้า 4 article
บทเรียนโหราศาสตร์ไทย ด้วยตนเอง หลักสูตรเร่งรัด หน้า 3 article
บทเรียนโหราศาสตร์ไทย ด้วยตนเอง หลักสูตรเร่งรัด หน้า 2 article
บทเรียนโหราศาสตร์ไทย ด้วยตนเอง หลักสูตรเร่งรัด หน้า 1 article
ดาวราหู เทพเจ้าแห่งความมัวเมา article
ดาวเสาร์ เทพเจ้าแห่งความทุกข์ระทม article
ดาวศุกร์ เทพเจ้าแห่งความรัก article
ดาวพฤหัส เทพเจ้าแห่งคุณธรรม article
ดาวพุธ เทพเจ้าผู้ชาญฉลาด article
ดาวอังคาร เทพเจ้าแห่งสงคราม article
ดาวจันทร์ ราชินีแห่งจักรวาล article
ดาวอาทิตย์ ราชาแห่งจักรวาล article
การพยากรณ์แบบภพผสมภพ วินาศลัคน์สถิตเรือนต่างๆ article
การพยากรณ์แบบภพผสมภพ ลาภะลัคน์สถิตเรือนต่างๆ article
การพยากรณ์แบบภพผสมภพ กัมมะลัคน์สถิตเรือนต่างๆ article
การพยากรณ์แบบภพผสมภพ ศุภะลัคน์สถิตเรือนต่างๆ article
การพยากรณ์แบบภพผสมภพ มรณะลัคน์สถิตเรือนต่างๆ article
การพยากรณ์แบบภพผสมภพ ปัตนิลัคน์สถิตเรือนต่างๆ article
การพยากรณ์แบบภพผสมภพ อริลัคน์สถิตเรือนต่างๆ article
การพยากรณ์แบบภพผสมภพ ปุตตะลัคน์สถิตเรือนต่างๆ article
การพยากรณ์แบบภพผสมภพ พันธุลัคน์สถิตเรือนต่างๆ article
การพยากรณ์แบบภพผสมภพ สหัชชะลัคน์สถิตเรือนต่างๆ article
การพยากรณ์แบบภพผสมภพ กดุมพะลัคน์สถิตเรือนต่างๆ article
การพยากรณ์แบบภพผสมภพ ตนุลัคน์สถิตเรือนต่างๆ article
บทเรียนโหราศาสตร์สำหรับผู้เริ่มต้น การผูกดวง article



Copyright © 2010 All Rights Reserved.