ReadyPlanet.com
dot dot
bulletHorasaadRevision.com
dot
ห้องโหรแว่นทิพย์
dot
bulletWelcome to foreigners
bulletกำเนิดจักรราศี*
bulletประวัติของวิชาโหราศาสตร์*
bulletวิชาโหราศาสตร์ไทยเบื้องต้น*
bulletกฎเกณฑ์วิชาโหราศาสตร์ไทย*
bulletอันโตนาที*
bulletอายนางศ์*
bulletวิธีคำนวนสมผุสลัคนา*
bulletนัยยะแห่งเรือนราศี*
bulletนัยยะแห่งเรือนชะตา*
bulletนัยยะแห่งดวงดาว*
bulletนัยยะแห่งตำแหน่งดาว*
bulletทิศาพยากรณ์*
bulletโรคาพยากรณ์*
bulletทักษาพยากรณ์*
bullet๑๐๘นวางค์รอบจักรวาล*
bulletวรโคตรนวางค์*
bulletตรียางค์พิษ*
bulletโหรปัตนิและดาวพระศุกร์*
bulletนานาปกรณ์เกี่ยวกับฤกษ์*
bulletเกร็ดโหราศาสตร์*
bulletเคล็ดวิชาต่างๆ*
bulletการทำนายฝันและเคล็ดลับการแก้ฝัน*
bulletพระพุทธรูปบูชาประจำวันเกิด พร้อมคาถาบูชา*
bulletพระคาถาชินบัญชร*
dot
โหราศาสตร์ไทย ฉบับหอมรดกไทย
dot
bulletตำนานดาวพระเคราะห์
bulletการแบ่งจักรราศี
bulletตำรามหาทักษา
bulletคัมภีร์กาลโยค
bulletลัคนากับดวงชะตา
bulletมาตรฐานดาวเคราะห์
dot
หน้าแบบฟอร์มต่างๆของเว็บไซด์
dot
bulletแบบฟอร์มตั้งชื่อ-นามสกุล
bulletแบบฟอร์มฤกษ์พิธีมงคลต่างๆ
bulletแบบฟอร์มฤกษ์คลอดบุตร
bulletแบบฟอร์มฤกษ์มงคลสมรส
bulletแบบฟอร์มฤกษ์เปลี่ยนชื่อ
bulletแบบฟอร์มห้องเรียนโหร
bulletสมุดเยี่ยม
dot
เกร็ดพยากรณ์..เพื่อความบันเทิง
dot
bulletนิสัยสาว 12 ราศี
bulletทายนิสัยจากเดือนเกิด
bulletจุดร้อนตามราศี
bulletความรักตามวันเกิด
bulletทายนิสัยจากการใส่แหวน
bulletผลไม้ทายนิสัย
bulletความรักตามกรุ๊ปเลือด
bulletอ่านใจหนุ่ม 12 ราศี
bulletผู้ชายเพอร์เฟค
bulletน้ำหอมกับราศี
bulletวิธีมัดใจหนุ่ม-สาวราศีต่างๆ
bulletพยากรณ์ ช-ญ ตามวันเกิด
bulletวันเกิดบอกนิสัยเนื้อคู่ ช-ญ
bulletทำนายเซ็กส์กับราศี
bulletความลับบนเตียง 12 ราศี
bulletเคล็ดลับดูไฝบนกายสาว
bulletทำนายผู้เกิดใน 12 นักษัตร
bulletคู่แต่ง คู่รัก คู่ขา?
bulletทายนิสัยคนใกล้ตัว 17 เรื่อง
bulletดวงของผู้หญิงตามวันเกิด
bulletดู ตัวตน,ชอบ,ยี้ หนุ่มสาว
bulletต้นไม้มงคลกับราศีเกิด
dot
เว็บวาไรตี้ยอดนิยม
dot
bulletwww.sanook.com
bulletwww.kapook.com
bulletwww.mthai.com
bulletwww.ragnarog.in.th
bulletwww.hunsa.com
bulletwww.teenee.com
bulletwww.365jukebox.com
bulletwww.dek-d.com
bulletwww.zuzaa.com
bulletwww.wanjai.com
bulletwww.narak.com
bulletwww.jorjae.com
bulletwww.aromdee.com
bulletwww.deedeejang.com
bulletwww.funwhan.com
bulletwww.saranair.com
bulletwww.madoo.com
dot
หนังสือพิมพ์ไทย-เทศ
dot
bulletกรุงเทพธุรกิจ
bulletข่าวสด
bulletคม ชัด ลึก
bulletฐานเศรษฐกิจ
bulletเดลินิวส์
bulletไทยรัฐ
bulletไทยโพสท์
bulletแนวหน้า
bulletประชาชาติธุรกิจ
bulletผู้จัดการ
bulletมติชน
bulletโพสท์ทูเดย์
bulletสยามธุรกิจ
bulletสยามกีฬา
bulletสยามรัฐ
bulletBangkok Post
bulletThe Nation
bulletVoice of America
bulletBBC Thai
dot
Foreign newspaper
dot
bulletNew Straits Time MY
bulletThe Straits Time SG
bulletVientiane Times LAOS
bulletNew Light of Myanmar
bulletThe Daily Tribune PH
bulletThe Manila Times PH
bulletThe Jakarta Post
bulletS. China Morning Post
bulletChina Daily CN
bulletTaipei Times TW
bulletYomiuri Shimbun JP
bulletThe Asahi Shimbun JP
bulletThe times of India
bulletAl Jazeera
bulletThe Guardian UK
bulletThe Times UK
bulletBBC News UK
bulletLe Monde FR
bulletDie Welt DE
bulletLa Nacion Line AR
bulletThe New York Time
bullet USA today
bulletThe Washington Post
bulletThe wall street Journal
bulletOnline Newspaper Di.tory
dot
ธนาคารต่างๆ
dot
bulletธ.กรุงเทพ
bulletธ.กรุงไทย
bulletธ.กรุงไทย ชาริอะฮ์
bulletธ.กรุงศรีอยุธยา
bulletธ.กสิกรไทย
bulletธ.ซิติ้แบงค์
bulletธ.ดีบีเอส ไทยทนุ
bulletธ.ทหารไทย
bulletธ.ธนชาต
bulletธ.นครหลวงไทย
bulletธ.ยูโอบี รัตนสิน
bulletธ.สแตนดาร์ด ช. นครธน
bulletธ.อิสลามแห่งประเทศไทย
bulletธ.เอเซีย
bulletธ.ไทยธนาคาร
bulletธ.ไทยพาณิชย์
bulletพระคาถาชินบัญชร*
bulletพระพุทธรูปบูชาประจำวันเกิด พร้อมคาถาบูชา*


เชิญค่ะ


 ดูหนังสือ สอบถาม
 สั่งซื้อ

eXTReMe Tracker

 ชาติ                                           

นานาทรรศนะ 
เสนอร่างรัฐธรรมนูญ
ปกิณกะ
เหตุการณ์ในอดีต 
เรื่องของไทยในอดีต 
เรื่องของชนชาติไทย
ภูมิศาสตร์ของไทย 
ก่อนสมัยสุโขทัย 
กรุงสุโขทัย
กรุงศรีอยุธยา
กรุงเทพมหานคร
นพบุรีศรีนครพิงค์เชียงใหม่
อุทยานประวัติศาสตร์
เมืองเก่าของไทย
ทำเนียบหัวเมือง
การทหารของไทย
ธงชัยเฉลิมพล
ทหารรักษาพระองค์
ทหารอาสาต่างชาติ 
รู้เรื่องเมืองสยาม 
ประเทศเพื่อนบ้านของไทย()
ความสัมพันธ์ไทย-อเมริกัน 
เหตุการณ์ปี ร.ศ.๑๑๒
เหตุการณ์ปี ๒๔๗๕
กรณีพิพาทอินโดจีน
การรบที่กาะช้าง
สงครามมหาเอเซียบูรพา
สงครามเกาหลี 
สงครามเวียตนาม 
กรณีปราสาทพระวิหาร
กรณีโรฮิงยา
ความไม่สงบชายแดนภาคใต้
อนุสาวรีย์วีรชน 
สารานุกรมฉบับย่อ()
ตัวหนังสือไทย
เรียนหนังสือไทยสมัยก่อน 
รามเกียรติ์ 
ขุนช้าง ขุนแผน
พระอภัยมณี
นิราศ
กาพย์เห่เรือ
สุภาษิตไทย
ธรรมเนียมประเพณีไทย 
โหราศาสตร์ไทย 
เพลงไทยให้สาระ
เงินตราไทย
เครื่องดนตรีไทย
หมากรุกไทย
มวยไทย
สมุนไพรไทย
พันธุ์ไม้ดอกไทย
นกในประเทศไทย
อุทยานแห่งชาติ
 
ทางบก
 ทางทะเล
เที่ยวทั่วไทย 
เที่ยวไปชมไป

 ศาสนา                                     

การบริหารคณะสงฆ์
การศึกษาพระปริยัติธรรม
กฎหมายพระสงฆ์ของไทย
สมเด็จพระสังฆราช
ทำเนียบสมณศักดิ์
พัดยศสมณศักดิ์
คณะสงฆ์จีนนิกาย
คณะสงฆ์อนัมนิกาย
พระพุทธรูปสมัยต่างๆ
พระพุทธรูปสำคัญ
พระพุทธรูปปางต่างๆ
พระพุทธรูปประจำวัน
พระธาตุเจดีย์
พระพุทธบาท
พระแท่น
พระไตรปิฎก
การแสดงธรรมของพระพุทธเจ้า
การบัญญัติพระวินัย
โสพัสปัญหา
พุทธประวัติ
พระอสีติมหาสาวก
พุทธศาสนสุภาษิต
พุทธานุวัตร
วันสำคัญในพระพุทธศาสนา
พุทธศาสนพิธี
พระป่าและวัดป่า
พุทธศาสนาในปัจจุบัน
ภัยแห่งพุทธศาสนา
ศาสนาต่างๆในไทย)

  พระมหากษัตริย์                      

พระมหากษัตริย์สมัยสุโขทัย
พระมหากษัตริย์กรุงศรีอยุธยา
พระมหากษัตริย์สมัยธนบุรี
พระบรมราชจักรีวงศ์
พระชัยวัฒน์ประจำรัชกาล
พระราชลัญจกร
เครื่องราชกกุธภัณฑ์
ธงในองค์พระมหากษัตริย์
พระราชพิธีบรมราชาภิเษก
น้ำอภิเษก
พระราชพิธีสิบสองเดือน
พระราชานุกิจ
จอมทัพไทย
เครื่องราชอิสริยาภรณ์
เหรียญอันเนื่องจากการรบ
พระบรมมหาราชวัง
ประชุมพงศาวดาร
ราชการสงครามฯ
งานกู้ชาติฯ
ประชุมพระราชปุจฉา
พระราชหัตถเลขา ใน ร.๔
พระบรมราโชบายฯ ร.๕
พระราชดำรัส ใน ร.๕
พระราชนิพนธ์ ใน ร.๖
ร.๖ กับการป้องกันประเทศ
พระราชดำริใน ร.๗
พระบรมราโชวาท

 มุมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี 

สถาบันส่งเสริมการสอนวิทย์และเทคโน
ศูนย์เทคโนอีเลคทรอนิกส์และคอมแห่งชาติ
เว็บการเรียนรู้วิทย์และเทคโนร.ร.ในชนบท
ดาราศาสตร์สำหรับคนไทย
ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีแห่งชาติ
แหล่งความรู้วิศวโยธา,เครื่องกลและขนส่ง
โครงการเรียนรู้วิทยาศาสตร์โลกและอวกาศ[lesa]
สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนแห่งไทย
องค์การพิพธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ
ดูดาวดอทคอม
รวมบทความด้านวิทยาศาสตร์
วิทยาศาสตร์เพื่อการศึกษา
นิยายวิทยาศาสตร์
วิทยาศาสตร์น่ารู้

 

 มุมศาสนาต่างๆ                      

สำนักข่าวชาวพุทธ
มุสลิมไทยไซเบอร์เน็ต
หนังสือธรรมะออนไลน์
ธรรมะไทย
มุสลิมแคมปัสดอทคอม
โบสถ์คริสเตียนไทยอเมริกา
กัลยาณมิตร
เสขิยธรรม
มหาวิทยาลัยสงฆ์ไทย
อัครสังฆมณฑลกรุงเทพฯ
หลวงตามหาบัว
พุทธทาสศึกษา
พระรัตนตรัย
เครือข่ายสาระธรรมอิสลาม
มูลนิธิศุภนิมิตไทย
พระคริสตธรรมไทย

 10 อันดับเว็บข้อมูล อ้างอิง        

 www.google.co.th สุดยอดเว็บในการหาข้อมูล
 
www.glo.or.th สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล
 
www.siamguru.com บริการค้นหาข้อมูลต่างๆ
 
www.truehits.net เว็บแสดงสถิติการเยี่ยมชม
 
lexitron.nectec.or.th ดิกชันนารีออนไลน์
 
www.yellowpages.co.th สมุดหน้าเหลืองออนไลน์
 
www.police.go.th สำนักงานตำรวจแห่งชาติ
 
phonebook.tot.or.th ค้นหาหมายเลขโทรศัพท์
 
www.trainingthai.com ข่าว,ข้อมูลการฝึกอบรมสัมมนาต่างๆ
 
www.khonthai.com แหล่งข้อมูลด้านทะเบียนราษฎร์ต่างๆ



"หนึ่งมื้อกินเจ หมื่นชีวิตรอดตาย"อานิสงส์ของการกินเจ ภาค 1 article

Welcome to
ห้องโหรแว่นทิพย์

ศาสตร์แห่งปัญญาเพื่อชีวิตที่ดีกว่า

ความหมายของคำว่า “เจ”

คำว่า “เจ” ในภาษาจีนมีความหมายทางพุทธศาสนาฝ่ายมหายานว่า “อุโบสถ” คำว่า “กินเจ” ตามความหมายที่แท้จริงคือการรับประทานอาหารก่อนเที่ยงวัน ดังเช่นที่ชาวพุทธในประเทศไทยถือ “อุโบสถศีล” หรือ “รักษาศีล ๘” จะไม่รับประทานอาหารหลังจากเที่ยงวันไปแล้ว

แต่เนื่องจากการถืออุโบสถศีลของชาวพุทธฝ่ายมหายานไม่กินเนื้อสัตว์ จึงนิยมเรียก “การไม่กินเนื้อสัตว์” ไปรวมกับคำว่า “กินเจ” ซึ่งเป็นการถือศีลไปด้วย ในปัจจุบันผู้ที่รับประทานอาหารทั้ง ๓ มื้อ แต่ไม่กินเนื้อสัตว์ก็ยังคงเรียกว่า “กินเจ” ฉะนั้นความหมายก็คือ “คนกินเจ” มิใช่เพียงแต่ไม่กินเนื้อสัตว์ แต่คนที่กินเจยังตืองดำรงตนอยู่ในศีลธรรมอันดีงาม มีความบริสุทธิ์สะอาด งดงามทั้งกาย วาจา ใจ เป็นการถือศีลบำเพ็ญธรรมไปด้วยพร้อมกัน เช่นนี้แล้วจึงจะเรียกว่า
“กินเจที่แท้จริง”

ดังนั้น คำคล้องจองที่เราได้ยินอยู่เสมอ คือ
“ถือศีล กินเจ” จึงนับว่ามีความหมายสมบูรณ์ครบถ้วนอยู่ในตัวเองแล้ว

ตามร้านขาย “อาหารเจ” เราพบเห็นตัวอักษรภาษาจีนที่อ่านว่า "ไจ" (เจ) แปลว่า “ไม่มีของคาว” เขียนด้วยสีแดงบนพื้นสีเหลืองเสมอ ในช่วงเทศกาลกินเจเดือน ๙ จะเห็นตัวอักษรนี้เขียนบนธงสีเหลือง ปักอยู่ตามแผงขายอาหารเจมองเห็นเป็นที่สะดุดตาแก่คนทั่วไป

ชาวจีนถือว่าสีแดงเป็นสีแห่งสิริมงคลแก่ชีวิต สีเหลืองเป็นสีของผู้ทรงศีล ดังนั้นผู้ตั้งใจถือศีลบำเพ็ญตนให้บริสุทธิ์ ตัวอักษรนี้ย่อมเป็นเครื่องหมายเตือนสติให้ระลึกไว้เสมอว่า “การกินเจงดเว้นเนื้อสัตว์ของคาว คือ การปฏิบัติธรรมรักษาศีลของความเป็นมนุษย์ เป็นการเจริญมหาเมตตากรุณาธรรมโดยแท้ อันจะนำมาซึ่งความเป็นสิริมงคลแก่ตนเองและก่อให้เกิดสันติสุขแก่ทุกชีวิตบนโลก”

รู้และเข้าใจในการกินเจอย่างถูกต้อง

ตั้งแต่โบราณกาลนับเป็นพัน ๆ ปีจวบจนกระทั่งถึงปัจจุบัน ไม่ว่าโลกจะผันแปรไปในทิศทางใดก็ตาม คนจำนวนหลายพันหลายหมื่นครอบครัวที่ดำรงชีวิตอยู่ด้วยการรับประทานแต่อาหารเจสืบทอดจากบรรพบุรุษก็ยังมีอยู่ให้พบเห็นได้ในทุกวันนี้

“อาหารเจ” เป็นอาหารที่ปรุงขึ้นมาจากพืชผักธรรมชาติล้วน ๆ ไม่มีเนื้อสัตว์ปะปะ และที่สำคัญต้องไม่ปรุงด้วยผักฉุนทั้ง ๕ ได้แก่ กระเทียม หัวหอม หลักเกียว กุ้ยฉ่าย ใบยาสูบ บรรพชนในแต่ละครัวเรือนของคนกินเจได้ถ่ายทอดหลักของการกินเจที่ถูกต้อง และศิลปะในการปรุงไว้ให้แก่ลูกหลานของตน สืบต่อเนื่องกันมาโดยไม่ขาดสาย

คนส่วนใหญ่มักเข้าใจว่าอาหารเจเป็นอาหารที่มีรสจืดชืดไม่อร่อย ซึ่งเป็นความเข้าใจที่ผิดพลาดมาก ทั้งนี้อาจจะเป็นเพราะไม่มีโอกาสได้ลิ้มรสอาหารเจที่แท้จริงก็เป็นได้ อาหารเจมีรสชาดอร่อยกลมกล่อมต่างไปจากอาหารที่ปรุงด้วยเนื้อสัตว์โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาหารเจไม่มีกลิ่นเหม็นคาวใด ๆ เลย อาหารเจบางอย่างคนทั่วไปที่ได้รับประทานแต่อาหารเนื้อจะไม่มีโอกาสได้รู้จักหรือลิ้มรสเลยในชีวิต เนื่องด้วยอาหารเหล่านั้นทำขึ้นรับประทานกันเฉพาะในบรรดากลุ่มของคนที่กินเจเท่านั้น

บางคนมักคิดเอาเองว่า หากรับประทานแต่อาหารเจจะทำให้เป็นโรคขาดอาหาร แต่ทางการแพทย์กลับยืนยันว่าไม่ว่าจะเป็นคนที่กินอาหารเนื้อหรือคนที่กินเจ ก็มีสิทธิ์เป็นโรคขาดอาหารได้เท่ากัน สาเหตุสำคัญของโรคขาดอาหารในคนทั้ง ๒ กลุ่มก็คือ การรับประทานอาหารที่ไม่ถูกหลัก บริโภคอาหารไม่ครบ ๕ หมู่ ได้แก่ คาร์โบไฮเดรต แป้งและน้ำตาล โปรตีน ไขมัน วิตามิน และเกลือแร่ เป็นเหตุให้ได้รับสารอาหารไม่เพียงพอ ไม่ครบถ้วนตามที่ร่างกายต้องการ ดังนั้นจึงสรุปได้ว่า โรคขาดอาหารไม่ได้ขึ้นอยู่กับการกินเนื้อหรือกินเจ แต่ขึ้นอยู่กับนิสัยกินตามใจ เลือกกินแต่อาหารที่ตนชอบโดยไม่คำนึงถึงคุณประโยชน์ที่จะได้จากการรับประทานอาหารนั้น ๆ

ในความเป็นจริงแล้ว คนที่กินเจอย่างถูกหลักจะรู้สึกว่าตนได้รับประทานอาหารที่มีคุณค่า มีคุณประโยชน์ต่อร่างกายครบถ้วนสมบูรณ์มากกว่าคนที่บริโภคอาหารเนื้อเสียอีก ผู้ที่ทดลองรับประทานอาหารเจได้ระยะหนึ่งถึงกับกล่าวว่า “การรับประทานอาหารเจ ทำให้มีโอกาสได้กินพืชผักที่มีคุณประโยชน์มากมายหลายชนิด ซึ่งในระหว่างที่รับประทานอาหารเนื้อไม่เคยใส่ใจเลย”

คนกินเจรู้จักวิธีดัดแปลงแปรรูปธัญพืชในธรรมชาติให้ได้มาซึ่งโปรตีน เราจะพบเห็นผลิตภัณฑ์ที่แปรรูปจากเมล็ดถั่วเหลืองมากมายหลายชนิด เช่น น้ำนมถั่วเหลือง (น้ำเต้าหู้) เต้าหู้ขาว เต้าหู้เหลือง เต้าเจี้ยว น้ำมันถั่วเหลือง ซีอิ๊ว ฟองเต้าหู้ ฯลฯ ผลิตภัณฑ์เหล่านี้ล้วนเป็นแหล่งโปรตีนอันอุดมและมีคุณค่าสูงยิ่ง

ทุกวันนี้ไม่ว่าเด็ก หรือผู้ใหญ่นิยมบริโภคแต่เนื้อสัตว์กันมากจนละเลยอาหารผักซึ่งมีคุณประโยชน์สูงไปอย่างน่าเสียดาย หลายคนมีนิสัยเลือกรับประทานเฉพาะเนื้อสัตย์และเขี่ยผักทิ้งไม่ยอมบริโภค นี่แหละเป็นสาเหตุสำคัญของโรคขาดสารอาหาร ทำให้ร่างกายไม่ได้รับสารอาหารครบตามที่ต้องการ จะพบว่าเด็กหรือผู้ใหญ่ที่ทานผักน้อยหรือไม่ทานเลยมักป่วยเป็นโรคต่าง ๆ เช่นโรคขาดอาหาร ขาดวิตามิน โรคกระเพาะ โรคเกี่ยวกับลำไส้ และทางเดินอาหาร สุขภาพไม่แข็งแรง เซื่องซึม ไม่เฉลียวฉลาด ขาดปฏิภาณไหวพริบ สติปัญญาต่ำ พัฒนาการทางร่างกายและจิตใจไม่สมบูรณ์

ประจักษ์พยานสำคัญที่บ่งชี้ให้เห็นถึงความล้ำค่าของอาหารเจก็คือ บรรดาครอบครัวของผู้ที่กินเจตั้งแต่ครั้งบรรพบุรุษสืบต่อกันลงมาหลายชั่วคน ก็ยังคงมีให้เราพบเห็นอยู่จนทุกวันนี้ จากคนรุ่นหนึ่งสู่คนอีกรุ่นหนึ่งต่อเนื่องกัน หลักเกณฑ์ที่ถูกต้องและดีงามและทรงคุณค่า ก็ยังอยู่เป็นอมตะไม่เปลี่ยนแปลง ทุก ๆ คน ทุก ๆ ครอบครัวที่บริโภคแต่อาหารเจล้วนมีพลานามัยที่สมบูรณ์แข็งแรง ปราศจากโรคร้ายแรงเบียดเบียน และสามารถปฏิบัติภาระกิจการงานได้เป็นอย่างดี แม้แต่ทารกที่เกิดจากมารดาซึ่งกินเจอย่างถูกหลักก็ไม่พบว่าขาดสารอาหารแต่อย่างใด ตรงกันข้ามเด็ก ๆ ทุกคนล้วนมีร่างกายแข็งแรงสุขภาพอนามัยดี ไม่เป็นโรคติดต่อใด ๆ ได้ง่าย มีภูมิต้านทานสูง จิตใจเบิกบาน ร่าเริงสดใส เฉลียวฉลาด ปฏิภาณไหวพริบ สติปัญญาดี

เพราะฉะนั้นคนเราถึงจะมีฐานะดีร่ำรวยมหาศาล แต่หากไม่รู้จักรับประทานอาหารให้ถูกต้องครบถ้วนก็เป็นโรคขาดสารอาหารได้พอ ๆ กับคนยากจนอดอยากที่ไม่มีจะกิน ไม่ว่าท่านจะกินเนื้อหรือกินเจ หากกินไม่ถูกต้องก็มีสิทธิ์เป็นโรคขาดอาหารได้เท่ากัน พึงตระหนักไว้อยู่เสมอว่า “ทรัพย์สินเงินทองซื้อสุขภาพไม่ได้ สุขภาพที่ดีขึ้นอยู่กับการรู้จักปฏิบัติตัวของท่านเอง”

ข้อควรปฏิบัติในการรับประทานอาหารเจ

๑. พืชผักและผลไม้ เป็นของคู่กันเสมอ นอกจากผักสด ๆ ที่นำมาปรุงเป็นอาหารแล้ว คนกินเจจำเป็นต้องรับประทานผลไม้สด ๆ หลังอาหารทุกมื้ออย่างสม่ำเสมอ การเลือกซื้อผักผลไม้เพื่อนำมาปรุงและ การบริโภคในแต่ละวัน ควรจัดให้ได้ครบตามสีของธาตุทั้ง ๕ ดังนี้
สีแดง (แดง, ส้ม, แสด, ชมพู) สัญลักษณ์ ธาตุไฟ เช่น มะเขือเทศ, พริกสุก, หัวแครอท, มะละกอ, ส้ม, แตงโม ฯลฯ
สีดำ (น้ำเงิน, ม่วง) สัญลักษณ์ ธาตุน้ำ เช่น มะเขือม่วง, เผือก, เห็ดหูหนู, ละมุด, ลูกหว้า, องุ่น ฯลฯ
สีเหลือง (เหลืองแก่, เหลืองอ่อน) สัญลักษณ์ ธาตุดิน เช่น ฟักทอง, ข้าวโพด, พริกเหลือง, มะม่วง, กล้วย, ทุเรียน ฯลฯ
สีเขียว (เขียวเข้ม, เขียวอ่อน) สัญลักษณ์ ธาตุไม้ เช่น ผักคะน้า, ถั่วฝักยาว, ผักบุ้ง, ฝรั่ง, ชมพู่, มะเฟือง ฯลฯ
สีขาว (ขาวนวล, ขาวสะอาด) สัญลักษณ์ ธาตุทอง เช่น หัวผักกาดขาว, ผักกาดขาว, กระหล่ำดอก, มะพร้าว, น้อยหน่า ฯลฯ

ผักผลไม้ไม่จำเป็นต้องมีราคาแพงหรือเป็นประเภทหายาก เช่นพวกผักผลไม้เมืองหนาว ควรยึดหลักราคาถูก ประหยัด แต่มีคุณประโยชน์สูง จึงจะได้ชื่อว่าเป็นผู้ที่รู้จัก ฉลาดกิน ฉลาดใช้ ประหยัดยอด ประโยชน์เยี่ยม

ประเทศไทยเป็นประเทศที่อุดมสมบูรณ์ด้วยผักผลไม้หลากหลาย ตลดปีเราสามารถเลือกหามาบริโภคได้ไม่ขาดแคลน จึงควรเลือกซื้อมาปรุงและบริโภคให้ครบทั้ง ๕ สี โดยสลับเปลี่ยนหมุนเวียนนำมาบริโภคในแต่ละวันโดยไม่ซ้ำกัน และไม่ควรเลือกทานแต่เฉพาะอย่างหนึ่งอย่างใดที่ตนชอบ โดยไม่คำนึงถึงคุณประโยชน์ หลาย ๆ ท่านเลือกรับประทานผักผลไม้เฉพาะอย่างเพื่อความอร่อยเท่านั้น เป็นการรับประทานอาหารเจที่ยังไม่ถูกหลัก

๒. เมล็ดธัญพืช นอกจากผักผลไม้ที่ต้องรับประทานให้ครบทุกสีเป็นประจำแล้ว เมล็ดธัญพืชได้แก่ ถั่ว ถั่วเปลือกแข็งทุกประเภท พืชที่เป็นหัวในดิน เช่น เผือก มัน กลอย มีคุณค่าทางโภชนาการสูงมาก โดยเฉพาะเมล็ดถั่วมีสารอาหารครบทุกหมู่ ได้แก่ คาร์โบไฮเดรต คือแป้งและน้ำตาล โปรตีน ไขมัน วิตามิน เกลือแร่หลายชนิด คนที่กินเจควรรับประทานถั่วทั้ง ๕ สีเป็นประจำ ได้แก่ ถั่วแดง ถั่วดำ ถั่วเหลือง ถั่วเขียว ถั่วขาว

ถั่วทั้ง ๕ สีนี้ ราคาไม่แพงมีอยู่แพร่หลาย บางทีก็ทำเป็นของหวานต่าง ๆ เช่น ถั่วดำบด ถั่วแดงต้มน้ำตาล ถั่วเหลืองน้ำกระทิ (เต้าส่วน) ถั่วเขียวต้มน้ำตาลกรวด ถั่วลิสงอบหรือเคลือบน้ำตาล ลูกเดือยบวด ถั่วขาวกวน ฯลฯ สำหรับถั่วขาวไม่ค่อยจะมีการปลูกแพร่หลายในประเทศไทย แต่ก็สามารถรับประทานถั่วลิสงซึ่งให้ประโยชน์ทดแทนกันได้

ทุกคนควรรับประทานถั่วดังกล่าวหมุนเวียนไปให้ครบทุกสีจะทำให้ร่างกายได้รับสารอาหารที่เป็นประโยชน์และช่วยเสริมให้อวัยวะหลักสำคัญภายในทำงานได้ดียิ่งขึ้น

เนื้อเมล็ดในของพืชผัก อันได้แก่ เมล็ดทานตะวัน เมล็ดฟักทอง เมล็ดแตงโม มันฮ่อ นับเป็นของขบเคี้ยวที่คนกินเจรู้จักดี เนื้อในของเมล็ดพืชดังกล่าว เป็นแหล่งอาหารที่อุดมไปด้วยแร่ธาตุและวิตามินมากมายหลายชนิด ซึ่งทรงคุณค่าทางโภชนาการอย่างยิ่ง

๓. การได้รับประทานสาหร่ายทะเลทั้งสดและแห้ง พร้อมทั้งใช้เกลือทะเลมาปรุงลงในอาหาร ทั้ง ๒ อย่างนี้มีไอโอดีน ซึ่งจะสามารถป้องกันโรคคอพอกได้เป็นอย่างดี

๔. งาขาวและงาดำ ในอาหารและขนมคนกินเจควรใช้งาปรุงผสมด้วยเสมอ ไม่ว่าจะเป็นงาขาวหรืองาดำเพราะในเมล็ดงามี กรดไขมันไลโนเลอิค (Linoleic Acid) ซึ่งจำเป็นต่อร่างกายมากแต่ร่างกายไม่สามารถสร้างขึ้นเองได้

สำหรับผู้ทำอาหารเจรับประทานเอง ให้นำงาขาวมาล้างเอาผงฝุ่นออกจนสะอาดดี ตักใส่ตะแกรงทิ้งไว้ให้หมาดแล้วใช้ไฟอ่อน ๆ คั่วในกระทะจนสุกเหลือง พอเย็นจึงนำมาโขลกหรือปั่นให้แตกด้วยเครื่อง จะทำให้ได้ประโยชน์จากน้ำมันที่อยู่ในเมล็ดดียิ่งขึ้น งาที่บดแล้วจะมีกลิ่นหอมสามารถนำมาใช้ปรุงอาหารและขนมได้ทุกประเภท ทำให้มีรสดี หอมน่ารับประทาน โดยปกติผู้ท่ากินเจควรรับประทานงาในปริมาณวันละ ๒ ช้อนโต๊ะ ก็นับว่าเพียงพอแก่ความต้องการของร่างกาย

๕. ผู้ที่กินเจไม่ควรรับประทานอาหารรสจัดเกินไป เช่น เผ็ดจัด เค็มจัด ขมจัด เปรี้ยวจัด หวานจัด รสชาติที่จัดมาก ๆ จะส่งผลไปถึงอวัยวะหลักดังนี้
รสขม ส่งผลต่อ หัวใจ
รสเค็ม ส่งผลต่อ ไต
รสหวาน ส่งผลต่อ ม้าม
รสเปรี้ยว ส่งผลต่อ ตับ
รสเผ็ด ส่งผลต่อ ปอด

๖. หลีกเลี่ยงการบริโภคอาหารหมักดอง เช่น ผักดอง ผลไม้ดอง เครื่องกระป๋อง อาหารสำเร็จรูป ควรหันมารับประทานอาหารสดที่ปรุงใหม่ ๆ จะให้คุณประโยชน์ต่อร่างกายมากว่า

๗. เครื่องดื่ม ควรกินเจควรดื่มน้ำผลไม้สด ๆ ตามธรรมชาติ เช่น น้ำส้ม น้ำมะเขือเทศ น้ำสับปะรด น้ำอ้อย น้ำมะพร้าว น้ำใบบัวบก น้ำมะตูม ฯลฯ น้ำผลไม้ดังกล่าวจะทำให้ร่างกายและผิวพรรณสดชื่นเปล่งปลั่ง เราควรงดน้ำหวานที่ปรุงแต่งรสและเจือสีสังเคราะห์เพื่อหลีกเลี่ยงพิษภัยจากสิ่งปลอมปน

นอกจากการดื่มน้ำผลไม้สด ๆ แล้ว ทุกคนต้องดื่มน้ำสะอาดให้ได้วันละ ๘ แก้วเป็นประจำ

ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้เป็นหลักความรู้ในการปรุงและบริโภคอาหารเจ ซึ่งคนกินเจต้องยึดถือปฏิบัติเพื่อให้ได้มาซึ่งพลานามัยที่สมบูรณ์ พร้อมทั้งทางร่างกายและจิตใจ

คุณประโยชน์จากการรับประทานอาหารเจ

การรับประทานอาหารเจ ให้ผลต่อร่างกายดังนี้
๑. ร่างกายสามารถขับถ่ายของเสียออกได้หมด ทำให้ไม่มีสารพิษตกค้างอยู่ภายใน สารอาหารที่มีคุณค่าในพืชผักสดผลไม้ ช่วยให้ระบบขับถ่ายและการย่อยเป็นปกติ

๒. เมื่อรับประทานอาหารเจเป็นประจำ โลหิตจะถูกฟอกให้สะอาดขึ้นเรื่อย ๆ เซลล์ต่าง ๆ ของร่างกายเสื่อมสลายช้าลง ทำให้อายุยืนยาวมีผิวพรรณสดชื่นผ่องใส นัยน์ตาแจ่มใส ไม่พร่ามัว ร่างกายแข็งแรง รู้สึกเบาสบาย ไม่อึดอัด มีสุขภาพพลานามัยดีมาก

๓. อวัยวะหลักสำคัญภายใน และอวัยวะประกอบทั้ง ๕ แข็งแรง ทำงานได้เป็นปกติสมบูรณ์มีสมรรถภาพสูง
อวัยวะหลักภายในทั้ง ๕ ได้แก่ หัวใจ ไต ม้าม ตับ ปอด
อวัยวะประกอบทั้ง ๕ ได้แก่ ลำไส้ใหญ่ ลำไส้เล็ก กระเพาะปัสสาวะ กระเพาะอาหาร ถุงน้ำดี

๔. ร่างกายสามารถต้านทานต่อสารพิษต่าง ๆ ได้สูงกว่าคนปกติธรรม สารพิษที่ก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพได้แก่
ก. สารเคมี ยากำจัดศัตรูพืช ยาฆ่าแมลง สาร ดี.ดี.ที
ข. มลภาวะและก๊าซพิษที่เกิดจากการเผาไหม้ในอุตสาหกรรม ไอเสียจากเครื่องจักร ฯลฯ ซึ่งแพร่กระจายปะปนไปในอากาศที่เราหายใจอยู่เป็นประจำและพบว่าปะปนอยู่ในแหล่งน้ำดื่มด้วย
ค. กัมมันตภาพรังสีที่เกิดจากการทดลองระเบิดนิวเคลียร์และในการทำสงคราม สารอาหารในพืชผักช่วยให้เซลล์ต่าง ๆ ในร่างกาย สามารถทนทานต่อการทำลายจากรังสีต่าง ๆ

๕. ในบรรดาผู้ที่รับประทานอาหารเจ อาหารพืชผักและผลไม้เป็นประจำ ความเจ็บไข้ได้ป่วยมักไม่มีปรากฎโดยเฉพาะโรคที่รุนแรงหรือเรื้อรัง เช่น โรคมะเร็ง โรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง เส้นเลือดตีบ ไขมันอุดตันในเส้นเลือด โรคไต ไขข้ออักเสบ โรคเก๊าส์ โรคเบาหวาน ฯลฯ

โดยเฉพาะอย่างยิ่งโรคที่เกี่ยวกับระบบขับถ่าย ย่อยอาหารและทางเดินอาหาร เช่น โรคริดสีดวงทวาร มะเร็งในกระเพาะอาหารและลำไส้ โรคกระเพาะ อาหารไม่ย่อย โรคเหล่านี้จะไม่พบเลยในกลุ่มคนผู้ที่รับประทานอาหารเจ อาหารพืชผักผลไม้เป็นประจำ


การรับประทานอาหารเจ ให้ผลดีต่อจิตใจ ดังนี้

๑. จิตใจมีความสงบ เยือกเย็น สุขุม บังเกิดเมตตาจิตอย่างเต็มเปี่ยม อารมณ์ไม่ฉุนเฉียว ไม่หุนหันพลันแล่น ไม่โกรธง่าย ซึ่งเป็นพื้นฐานเบื้องต้น ที่จะช่วยเกื้อกูลส่งเสริมให้สามารถบำเพ็ญบารมีธรรมก้าวหน้ายิ่ง ๆ ขึ้นไป

๒. หยุดก่อหนี้บาป ตัดเวรกรรมที่ผูกพัน ทำให้ปราศจากศัตรู ทั้งมนุษย์และสัตว์ที่จะคิดมุ่งร้ายพยาบาทอาฆาตติดตามจองเวร

๓. ทำให้มีสติมั่นคง ทั้งในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่และยามที่จิตวิญญาณจะออกจากร่างไป ไม่เป็นคนหวั่นไหวตื่นตระหนกตกใจง่ายต่อเหตุการณ์ต่าง ๆ สามารถรอดพ้นจากเพทภัยทั้งหลายได้แก่ ภัยจากธรรมชาติ ภัยจากสัตว์ร้าย ภัยจากเคราะห์กรรม

๔. ตนเอง ครอบครัว บุตรหลาน ตลอดจนถึงบริวารจะบังเกิดความเจริญรุ่งเรืองในชีวิต มีเหตุให้ได้เกิดอยู่ในอารยประเทศอันอุดมสมบูรณ์ ชีวิตไม่ต้องตกอยู่ในท่ามกลางการรบฆ่าฟัน ไม่ประสบเหตุการณ์ที่โหดร้าย ทารุณ ฆ่าฟันประหัตประหารล้างผลาญ ย่ำยี ซึ่งกันและกัน

๕. บรรดาเหล่าเทพ พรหม สิ่งศักดิ์สิทธิ์ชั้นสูงต่างสรรเสริญชื่นชม อำนวยอวยพร ให้การอารักขาคุ้มครองตลอดเวลา ไม่มีช่องทางให้วิญญาณต่ำทุกประเภท เข้ามาแอบแฝงแทรกสิงทำอันตรายใด ๆ ได้
หลักธรรมในการกินเจ

ในทัศนะของคนกินเจ การกินที่ทำให้ชีวิตผู้อื่นต้องเดือดร้อนล้มตายนั้น “มันมากเกินไป” ทั้ง ๆ ที่มนุษย์กินแต่อาหารพืชผักก็สามารถมีชีวิตอยู่ได้ คนกินเจไม่กินเนื้อ ไม่ใช่เพราะรังเกียจหรือหวาดกลัวโรคภัยจากสัตว์ แต่เป็นเพราะต่างพากันสะดุ้งสะเทือนที่ได้ยินเสียงร้องคร่ำครวญจากสัตว์ทั้งหลาย ไม่มีคนกินเจคนไหน ทนเห็นผู้อื่นต้องถูกฆ่าโดยไม่รู้สึกเจ็บปวดร้าวรานใจได้

คนประเภทไหนกัน ที่สามารถมองดูผู้อื่นถูกฆ่าตายอย่างทุกข์ทรมาน และได้ยินเสียงร้องขอชีวิตแล้วก็ยังนิ่งเฉยไม่ทำอะไรเลย บรรดาสัตว์ทั้งหลายพูดวิงวอนไม่ได้ เพียงแต่มนุษย์ไม่กินเนื้อก็ช่วยให้สัตว์นับพันนับหมื่นชีวิตรอดตายได้

การกินเจ ตั้งมั่นอยู่บนหลักธรรมสำคัญ ๒ ประการคือ
ข้อที่ ๑. ดำรงชีวิตอยู่ด้วยอาหารที่ไม่เบียดเบียนผู้อื่น กล่าวคือ
- ไม่เอาชีวิตของสัตว์ทั้งหลายมาต่อเติมบำรุงเลี้ยงชีวิตของตน
- ไม่เอาเลือดของสัตว์ทั้งหลาย มาเป็นเลือดของตน
- ไม่เอาเนื้อของสัตว์ทั้งหลาย มาเป็นเนื้อของตน

ข้อที่ ๒. ดำรงชีวิตอยู่ด้วยอาหารที่ไม่เบียดเบียนตนเอง
การรับประทานสิ่งใดก็ตาม ที่ทำลายสุขภาพของร่างกายของตนให้ทรุดโทรมคือ การเบียดเบียนตนเอง ปัจจุบันวิทยาการเจริญก้าวหน้าได้พิสูจน์ยืนยันว่า เลือดและเนื้อของสัตว์ที่ถูกฆ่าตายเต็มไปด้วยพิษภัยมากมาย

นอกจากนี้คนกินเจต้อไงม่บริโภคผักฉุนทั้ง ๕ ได้แก่ กระเทียม หัวหอม หลักเกียว กุ้ยฉ่าย และใบยาสูบ เพราะพืชผักทั้ง ๕ ชนิดนี้ แม้ไม่ใช่เนื้อสัตว์ แต่ให้ผลร้ายต่ออวัยวะหลักสำคัญของร่างกาย

ดังนั้นการกินเจ จึงไม่ใช่เพื่อให้เกิดผลดีต่อจิตใจเท่านั้น แต่ยังครอบคลุมไปถึงการมีสุขภาพพลานามัยที่ดีอีกด้วย ร่างกายและจิตใจเป็นของคู่กัน มีความสัมพันธ์ส่งผลถึงกัน คนเราย่อมไม่อาจจะรู้สึกเบิกบานสดชื่นร่าเริงได้ในขณะที่ร่างกายเจ็บป่วยทรุดโทรมย่ำแย่

อานิสงส์ ๑๐ ข้อ ของการไม่กินเนื้อสัตว์

อานิสงส์ขั้นต้นของการไม่กินเนื้อสัตว์ ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่เบียดเบียนสัตว์ คือจะทำให้ชีวิตของเราไม่ต้องตายด้วยปืนผาหน้าไม้ คมหอกคมดาบ ไม่ตายด้วยเหตุการณ์อันน่าสยดสยองหรือภัยพิบัติต่าง ๆ ทั้งยังสามารถตัดกรรมในเรื่องการฆ่า และยุติการจองเวรกับสรรพสัตว์ทั้งหลายอีกด้วย

องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงบัญญัติศีลข้อ “ปาณาติบาต” คือ ห้ามการฆ่าเป็นข้อที่สำคัญอันดับหนึ่งและในพระสูตรของพุทธศาสนามหายาน ยังได้กล่าวถึงพระพุทธวจนะ ว่าด้วยเรื่อง “อานิสงส์ ๑๐ ข้อของการไม่กินเนื้อสัตว์” ในคราวที่ได้เสด็จไปเทศนาโปรดบรรดาเหล่าพญานาคราชไว้ด้วยดังนี้

๑. เป็นที่รักใคร่ของบรรดาเทพ พรหม ตลอดจนมนุษย์ และสัตว์ทั้งหลาย

บุคคลผู้มีจิตใจโอบอ้อมอารี ไม่เบียดเบียนผู้ใด มีกิริยาสำรวม จรรยามารยาทเรียบร้อย ไม่กล่าวคำกระโชก ด่าทอกับใคร บุคคลเช่นนี้เมื่อก้าวไปสู่ที่ใดย่อมเป็นที่รักใคร่ มีแต่คนอยากเข้ามาใกล้ชิด

ในทางตรงกันข้าม หากเป็นคนที่สะสมไว้แต่อารมณ์ร้าย ๆ แววตาเต็มไปด้วยกลิ่นไอแห่งการฆ่า ทุกคนก็อยากจะวิ่งหนีไปให้ไกล

ถ้าภายในจิตใจเราไม่คิดจะไปทำลายหรือเบียดเบียนชีวิตของผู้อื่น เราจึงไม่เป็นที่หวาดกลัวต่อผู้ใด แต่จะเป็นที่รักของสัตว์ต่าง ๆ แม้สัตว์ดุร้ายก็ไม่ทำอันตราย

๒. จิตอันเป็นมหาเมตตาย่อมบังเกิดขึ้น

คนที่มีเมตตากรุณาอยู่ในใจ อย่าว่าแต่เห็นสัตว์ทั้งหลายต้องตายไปต่อหน้าเลย เพียงแต่เห็นสัตว์ต้องประสบเคราะห์กรรมถูกเฆี่ยนตี ก็ย่อมจะไม่สบายใจ นอกจากจะไม่เข่นฆ่าทำลายชีวิตผู้อื่นแล้ว แม้แต่จะเอ่ยวาจาด่าทอให้ระคายหูก็จะไม่กระทำโดยเด็ดขาด

เมื่อจิตเมตตาค่อย ๆ ถูกสะสมเพิ่มพูนจนเปี่ยมล้น ก็จะบังเกิดเป็นมหาเมตตาขึ้นในใจ และมหาเมตตานี้จะเพิ่มพลังจิตขึ้นในตัว นับเป็นเหตุปัจจัยสำคัญอันจะนำพาให้ผู้บำเพ็ญสามารถสำเร็จธรรมบรรลุขั้น “พระโพธิสัตว์”

๓. สามารถตัดขาดความอาฆาต ดับอารมณ์โหดร้ายเคียดแค้นได้

นอกเหนือจากความเห็นแก่ตัวเพื่อปากท้องตัวเองอันเป็นเหตุให้เกิดการเข่นฆ่า ทำลายชีวิตผู้อื่น และสาเหตุใหญ่ของการทำร้ายซึ่งกันและกัน คือ ความโกรธแค้น อาฆาต พยาบาทจองเวรต่อกัน ซึ่งนับวันก็จะกลายเป็นคนโหดร้ายเห็นความตายของผู้อื่นเป็นเรื่องเล็กน้อย

ผู้ปฏิบัติธรรมจะต้องตัดอารมณ์เหล่านี้ให้หมดสิ้น และไม่เพียงแต่จะรักชีวิตตนเองเท่านั้น แต่ยังจะต้องรักและทะนุถนอมชีวิตผู้อื่นอีกด้วย หากชาตินี้เรายังฆ่ากินเลือดเนื้อเขา ความแค้นพยาบาทจะฝังอยู่ในกมลสันดาน และจะเป็นเจ้ากรรมนายเวรติดตามทวงหนี้ชีวิตทุกชาติไป แล้วเราจะปฏิบัติธรรมให้หลุดพ้นได้อย่างไร?

๔. ปราศจากโรคภัยร้ายแรงมาเบียดเบียนร่างกาย

ความเจ็บไข้ได้ป่วย ซึ่งมีสาเหตุมาจากการผันแปรของดินฟ้าอากาศ หรืออาหารการกินที่ผิดธรรมชาติ ซึ่งอาจรักษาให้หายได้ด้วยยา แต่ทวายาไม่สามารถรักษาโรคกรรมได้

โรคกรรมอันเกิดมาจากการเคยสร้างอกุศลกรรมร่วมกันมาในอดีต การฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ร่วมเสพเนื้อผู้อื่น ร่วมส่งเสริมผู้อื่นให้ฆ่าให้กินให้เสพ เป็นกรรมร่วมกัน จึงส่งผลให้คนเหล่านั้นต้องมาตายพร้อมกันในชาติปัจจุบัน เช่นเป็นโรคระบาดในคราวเดียวกันมาก ๆ ประสพภัยพิบัติ น้ำท่วม แผ่นดินไหวตายหมู่ เป็นต้น

หากท่านอยากเป็นผู้ที่มีสุขภาพร่างกายสมบูรณ์แข็งแรง ห่างไกลจากโรคภัยไข้เจ็บมาเบียดเบียน จงงดเว้นบริโภคเนื้อสัตว์ และหมั่นสร้างบุญสร้างกุศล ปลดปล่อยช่วยเหลือชีวิตสัตว์ทั้งหลายเป็นประจำ

๕. อายุมั่นขวัญยืน

ทุกชีวิตที่เกิดมาบนโลกนี้ ทั้งคนและสัตว์ ต่างล้วนอยากให้ตนมีอายุยืนยาว แต่ความมีอายุยืนยาวนั้น มิใช่ขอกันได้ ถ้าหากในอดีตท่านเป็นผู้ที่ชื่นชอบนิยมยินดีในการบริโภคเนื้อสัตว์ ตลอดจนฆ่าและส่งเสริมให้ผู้อื่นฆ่าสัตว์ตัดชีวิต การที่จะหวังให้ตนมีชีวิตที่ราบรื่นเป็นสุข และอายุยืนยาวนั้น ย่อมเป็นไปไม่ได้

บุคคลผู้ที่มีจิตเมตตา ชอบช่วยเหลือชีวิตสัตว์ ไม่ว่าจะเป็นสัตว์ใหญ่หรือสัตว์เล็ก ๆ ก็ตาม อานิสงส์ผลบุญจะช่วยต่อชีวิตทำให้มีอายุยืนยาว

๖. ได้รับการปกป้องคุ้มครองจากวัชรเทพทั้งแปด

วัชรเทพทั้ง ๘ พระองค์ คือ เทพเจ้าผู้พิทักษ์ธรรมในพระพุทธศาสนา เมื่อบุคคลใดมีจิตมุ่งมั่นที่จะสร้างคุณงามความดี รักษาศีลกินเจ วัชรเทพทั้ง ๘ พระองค์ก็จะมีบัญชาให้เหล่าเทพบริวารทั้งหลายลงมาพิทักษ์รักษาปกป้องคุ้มครองบุคคลนั้น ๆ มิให้ภูติผีปีศาจ ยักษ์มาร อสูรร้ายมารังควาน แต่หากเมื่อใดบุคคลนั้นมีจิตใจรวนเร ไม่มั่นคงในการปฏิบัติธรรม บรรดาทวยเทพก็จะพากันผละหนีไป ซึ่งเหล่ามารร้ายจะเข้าจู่โจมทำอันตรายทันที

แม้ตาเนื้อของปุถุชนคนธรรมดา จะมองไม่เห็นบรรดาเทพพรหมที่เฝ้าคุ้มครอง แต่เมื่อถึงคราววิกฤตตกอยู่ในที่คับขัน เทพพรหมทั้งหลายเหล่านั้นก็จะพลิกผันเหตุการณ์ให้แคล้วคลาดรอดพ้นจากทุกข์ภัยทั้งปวงได้ในที่สุด

๗. ยามหลับนิมิตรเห็นแต่สิ่งที่ดีงามเป็นศิริมงคล

โดยปกติคนทั่ว ๆ ไป หากมีเรื่องราวรบกวนจิตใจให้วิตกกังวลว้าวุ่น เมื่อถึงยามพักผ่อนแม้ว่าร่างกายจะเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าสักปานใด ก็ไม่สามารถจะหลับลงได้หรือหลับ ๆ ตื่น ๆ และท้ายที่สุดเคลิ้มหลับไป ก็จะฝันร้ายตลอดคืน

มีตัวอย่างมากมายของผู้ที่ดำเนินชีวิตในแต่ละวัน เอาแต่สร้างกรรมชั่ว ประพฤติมิชอบ อาหารแต่ละมื้อจะต้องเพียบพร้อมไปด้วยเนื้อสัตว์ เมื่อยามหลับก็จะฝันเห็นแต่สิ่งที่เลวร้าย น่าเกลียดน่ากลัว แต่เมื่อได้ศึกษาและตั้งใจปฏิบัติธรรม งดบริโภคเลือดเนื้อผู้อื่น ก็มักจะมีโอกาสนิมิตรฝันเห็นแต่สิ่งที่ดีงาม เห็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งเป็นนิมิตรที่ดีเป็นศิริมงคลแก่ตนเอง จะหลับและตื่นก็เป็นสุข

๘. ย่อมระงับการจองเวร สลายความอาฆาตแค้นซึ่งกันและกันได้

คัมภีร์แห่งสัจธรรมได้กล่าวว่าสัตว์ทั้งหลายกับคนนั้นเป็นหนึ่งเดียวกัน มิได้แตกต่างกัน แต่เป็นเพราะความหลงผิดไม่รู้เท่าทัน จึงยึดรูปลักษณ์ภายนอกมาทำให้เป็นความแตกต่างว่านั่นเป็นสัตว์ นี่เป็นคน ฯลฯ

ผู้ปฏิบัติธรรมมีญาณปัญญา เห็นแจ้งในธรรมต้องปราศจากจิตที่เคืองแค้นอาฆาตผู้อื่น และมีจิตเมตตากรุณา คิดสงสารผู้อื่นที่หลงประพฤติผิด ทั้งพยายามหาวิธีฉุดช่วยให้เขากลับสู่เส้นทางแห่งความถูกต้องดีงาม

๙. สามารถดำรงอยู่ในกระแสแห่งพระนิพพาน ไม่พลัดหลงตกลงสู่อบายภูมิ

ตามกฎแห่งกรรม ผู้ชอบฆ่าสัตว์ตัดชีวิตหรือชอบเสพเลือดเนื้อสัตว์ทั้งหลาย เมื่อตายไปวิญญาณจะต้องร่วงลงสู่อบายภูมิทั้ง ๓ ได้แก่

1. นรกภูมิ 10 ขุม ต้องรับทุกข์ทรมานแสนสาหัส
2. เปรตภูมิ จะได้รับทุกข์ทรมานอยู่กับความหิวโหย
3. เดรัจฉานภูมิ เมื่อวิญญาณใช้หนี้บาปกรรมพ้นจากนรกภูมิและเปรตภูมิแล้วจะต้องไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน ถูกเขาฆ่าตายชาติแล้วชาติเล่า จนกว่าจะครบกำหนดตามจำนวนที่ตนได้เคยทำลายชีวิตผู้อื่น

๑๐. ทันทีที่ละสังขารจากโลกนี้ จิตวิญญาณจะมุ่งสู่สุคติภพ

ในมหายานสูตร มีเรื่องเล่าถึงวิบากกรรมของผู้ที่หลงผิดชอบเข่นฆ่าสัตว์และนำไปสังเวยฟ้าดินถวายต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ซึ่งเป็นการกระทำที่เป็นบาปอย่างมหันต์ อกุศลกรรมนั้นทำให้ต้องได้รับโทษโดยถูกสุนัขปีศาจรุมกัดกินเนื้อ ทุกข์ทรมานแสนสาหัส นับครั้งไม่ถ้วน

สาธุชนผู้ที่งดเว้นเนื้อสัตว์ ปลดปล่อยชีวิตสัตว์ให้รอดตายด้วยการถือศีลกินเจ ย่อมจะห่างไกลจากทุคติภพไม่ต้องไปรับโทษทัณฑ์อันน่าสะพรึงกลัว เมื่อจิตวิญญาณจะละสังขาร ก็อาศัยเหตุปัจจัยแห่งกุศลกรรมความดี ดลบันดาลให้เหล่าทวยเทพเทวารอรับขึ้นเบื้องบน

ฉะนั้นการศึกษาและปฏิบัติธรรมให้ได้สำเร็จลุล่วงผู้บำเพ็ญธรรม จักต้องละเว้นจากการเสพเลือดเนื้อชีวิตสัตว์โดยสิ้นเชิง พร้อมกับอนุเคราะห์ช่วยเหลือสรรพสัตว์ที่ตกทุกข์ได้ยาก เพื่อให้หนทางการบำเพ็ญสู่ความหลุดพ้น ไม่ถูกขัดขวางจากเจ้ากรรมนายเวรทั้งหลาย

ประวัติการกินเจเดือนเก้าจีน (เก้าอ๊วงเจ)

พิธีการกินเจเดือนเก้า หรือ เทศกาลกินเจ กำหนดเอาวันตามจันทรคติ คือเริ่มตั้งแต่ วันขึ้น ๑ ค่ำ ถึง ๙ ค่ำ เดือน ๙ ตามปฏิทินจีนทุกปี รวม ๙ วัน ๙ คืน

ในพระพุทธศาสนาฝ่ายมหายานมีอรรถาอธิบายว่า “เป็นการประกอบพิธีกรรมเพื่อสักการะบูชาพระพุทธเจ้าในอดีตกาล ๗ พระองค์ และพระมหาโพธิสัตว์อีก ๒ พระองค์ รวมเป็น ๙ พระองค์ด้วยกัน หรืออีกนัยหนึ่งเรียกว่าดาวนพเคราะห์ทั้ง ๙ อันมีพระอาทิตย์, พระจันทร์, ดาวพระอังคาร, ดาวพระพุธ, ดาวพระพฤหัสบดี, ดาวพระศุกร์, ดาวพระเสาร์, พระราหู และพระเกตุ

ในพิธีกรรมสักการะบูชา พระพุทธเจ้า ๗ พระองค์ และพระมหาโพธิสัตว์อีก ๒ พระองค์นี้ สาธุชนในพุทธศาสนาต่างจะพากันสละเวลาและละกิจทางโลกมาบำเพ็ญศีลตั้งปณธานกินเจ บริโภคแต่อาหารผักและผลไม้ งดเว้นอาหารเนื้อของสดคาว ด้วยการสมาทานรักษาศีล ๓ ข้อ กล่าวคือ
๑. เว้นจาการเอาชีวิตของสัตว์มาบำรุงชีวิตตน
๒. เว้นจากการเอาเลือดของสัตว์มาเพิ่มเลือดตน
๓. เว้นจากการเอาเนื้อของสัตว์มาเป็นเนื้อตน


เพื่อซักฟอกมลทินออกจากร่างกาย วาจาและจิตใจต่างสวมเสื้อผ้าสีขาวสะอาดบริสุทธิ์ ปราศจากจุดด่างพร้อยพากันเดินทางสู่วัดวาอารามพร้อมด้วยดอกไม้ ธูปและเทียน ไปนมัสการน้อมบูชาแด่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และพระพุทธเจ้าทั้ง ๗ พระองค์ อีกทั้งพระมหาโพธิสัตว์ ๒ พระองค์ พร้อมจัดหาเครื่องกระดาษทำเป็นรูปเครื่องทรง เสื้อผ้า หมวก รองเท้า กระดาษเงิน กระดาษทองต่าง ๆ ไปน้อมถวายเป็นเครื่องสักการะเพื่อเป็นกุศลสมาทาน (ในอดีตจำเดิมแท้นั้นจะนำเอาวัตถุสิ่งของ เครื่องใช้ปัจจัย ๔ นำไปถวายนักบวช พระ เณร ผู้ทรงศีลและแจกทานด้วยเสื้อผ้าเงินทองที่เป็นของจริง ๆ แก่คนทุกข์คนยากจน ภายหลังด้วยความไม่เที่ยงของอุปาทาน กาลเวลาปรพเพณีผันแปรไปกลายมาใช้กระดาษแทนของจริงนับเป็นโมหะกรรมของมนุษย์เอง) หลังจากนั้นจะร่วมกันสวดมนต์ทำสมาธิภาวนาแผ่เมตตาจิตขอพรต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เพื่อความเจริญสมบูรณ์พูนสุขแก่ตนเองและครอบครัวทุกคน

เบื้องต้นแห่งพิธีกรรม “เก้าอ๊วงเจ” (กินเจเดือนเก้า)

มีอรรถกล่าวไว้ดังนี้

ในกาลครั้งหนึ่งองค์สมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงประทับอยู ณ สีวาลัยรัตนสถาน มีบรรดาพระมหาโพธิสัตว์ ท้าวมหาพรหม ท้าวสักกะ เทพเจ้า ยักษ์ นาค คนธรรพ์ กินนร ฯลฯ ได้พากันมาเฝ้าพระพุทธองค์ ในขณะนั้นพระมัญชุศรีมหาโพธิสัตว์ ได้ทูลถามต่อพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า

“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อันพระเทพสัตตเคราะห์ ๗ องค์ ได้มีกุศลสะสมมาอย่างไรกับมีปัจจัยเหตุอย่างไร? จึงได้เสวยทิพยผลอันรุ่งเรืองเพรียบพร้อมไปด้วยยศและอำนาจในเทวภพนี้”

สมเด็จพระบรมศาสดาจึงมีพระพุทธดำรัสตอบว่า

“ดูกร....มัญชุศรี อันดาวเทพสัตตเคราะห์ทั้ง ๗ นั้น แท้จริงเป็นพระอวตารภาพแห่งอดีตพระพุทธเจ้า ๗ พระองค์ทรงแบ่งภาคมาแสดงให้ปรากฏ กับพระมหาโพธิสัตว์อีก ๒ พระองค์ ก็แบ่งภาคมาเป็นดาวพระราหูและดาวพระเกตุรวมเป็นดาวพระเคราะห์ทั้ง ๙ ฉะนั้นจึงสมบูรณ์ด้วยอลังการยศ และอำนาจอันไม่มีปริมาณเห็นปานฉะนี้”

พระพุทธเจ้าทั้ง ๗ และพระมหาโพธิสัตว์ทั้ง ๒ ทรงตั้งพระปณิธานจักโปรดสัตว์โลก จึงได้แบ่งพระภาคมาเป็นเทพเจ้า ๙ พระองค์

เทพเจ้าทั้ง ๙ พระองค์นี้ ทรงอำนาจตบะอันเรืองฤทธิ์ บริหารธาตุทั้ง ๕ ในจักรวาล ได้แก่ ธาตุดิน, ธาตุน้ำ, ธาตุไฟ, ธาตุลม และธาตุทอง ทั่วพิภพน้อยใหญ่ทุกสารทิศจึงทรงแบ่งพระภาคต่อจากนี้อีกวาระหนึ่งเป็นดาวนพเคราะห์

(ดาวพระเคราะห์ทั้ง ๙ ดวง) ดังต่อไปนี้
๑. พระอาทิตย์
๒. พระจันทร์
๓. ดาวพระอังคาร
๔. ดาวพระพุธ
๕. ดาวพระพฤหัสบดี
๖. ดาวพระศุกร์
๗. ดาวพระเสาร์
๘. พระราหู
๙. พระเกตุ

เทพเจ้าทั้ง ๙ พระองค์ทรงเครื่องทรงอย่างแบบพระมหากษัตริย์ ประชาชนจึงถวายพระนามว่า “เก้าอ๊วง” หรือ “กิวอ๊วง” แปลว่า “นพราชา” (อธิบายความตามหลักนักโหราศาสตร์)

กำหนดเวลาทุก ๆ ปีของวันขึ้น ๑ ค่ำ ถึง ๙ ค่ำ เดือน ๙ ตามจันทรคติ (ฝ่ายจีน) เทพเจ้าประจำดาวเคราะห์ ต่างองค์จะทรงผลัดเปลี่ยนกันลงมาตรวจโลกทั้งกลางวันและกลางคืน บุคคลใดมีความประพฤติตั้งอยู่ใน กุศลกรรมวิถี (บุญ) ก็จักทรงประทานพรอำนวยความสมบูรณ์พูนสุขให้ หากบุคคลใดมีความประพฤติในอกุศลกรรมวิถี (บาป) ก็จักทรงลงโทษทัณฑ์ตามโทษานุโทษ

เทพเจ้าแห่งดาวนพเคราะห์ ทรงพระคุณแก่โลกเป็นอเนกประการเฉพาะอย่างยิ่ง เบญจธาตุทั้ง ๕ คือ ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม และธาตุทอง ที่พระองค์ทรงประทานไว้ให้แต่ละอย่างเป็นของจำเป็นในสรรพสังขารอันไม่มีจำกัด รวมทั้งมนุษย์ สัตว์ทุกชนิด ต้นไม้ ฯลฯ

มนุษย์ หากไม่มีธาตุลม ก็ถึงแก่ความตาย
มัจฉาชาติ ถ้าหากไร้ธาตุน้ำเป็นที่อยู่อาศัย ก็ต้องตาย
พฤกษาชาติ ถ้าหากหมดธาตุดิน ก็อับเฉา กิ่งใบแห้งตาย
สัตว์โลก ถ้าหากสูญสิ้นธาตุไฟในร่างกาย ก็มีชีวิตอยู่ไม่ได้
เศรษฐกิจการค้า อันเป็นหัวใจสำคัญอย่างยิ่งของมนุษย์ทั่วโลกในสมัยปัจจุบัน ถ้าหากขาดธาตุทองก็ไม่สามารถดำเนินกิจการให้ลุล่วงไปได้

ปวงสัตว์โลกไม่เลือกว่าจะมาจาก
๑. อุปปาติกกำเนิด เกิดขึ้นเอง
๒. ชลาพุชะกำเนิด เกิดจากครรภ์ (มดลูก)
๓. อัณฑชะกำเนิด เกิดเป็นฟองไข่ แล้วจึงเกิดเป็นตัว
๔. สังเสทธะกำเนิด เกิดในไคลที่ชื้นและที่หมักหมมเน่าเปื่อย

รวมทั้งอุปาทินนกสังขาร สังขารที่มีใจครอง
อนุปาทินนกสังขาร สังขารที่ไม่มีใจครอง
ก็ล้วนอยู่ภายใต้การบัญชาของเทพเจ้าทั้ง ๙ พระองค์ทั้งสิ้น

เทพเจ้าทั้ง ๙ พระองค์นี้ ทรงน้ำพระทัยเปี่ยมไปด้วยพระเมตตาคุณ ทรงควบคุมดาวนพเคราะห์ให้เดินตามวิถีโคจรด้วยความบริบูรณ์ ทั้งทรงธรรมเนตรสอดส่องควบคุมทุกข์สุขของสัตว์โลกเสมอมา

ในลัทธิมหายาน ยังมีอรรถกล่าวอธิบายว่า

“ดาวพระเคราะห์ทั้ง ๙ นี้ ต่างกระทำการในหน้าที่หมุนเวียนธาตุทั้ง ๕ ให้แก่โลกมนุษย์นับเป็นเวลาหลายล้านปีมาโดยมิได้หยุดพักเลย ก็เนื่องด้วยพระองค์ทรงบัญชาบริรักษ์ควบคุมอยู่ และทรงเล็งทิพยญาณว่า ถ้าหากดวงดาวนพเคราะห์จะหยุดพักแม้เพียงขณะหนึ่งเล็กน้อยเท่านั้น ก็จะเกิดมหันตภัยใหญ่หลวงสุดจะประมาณได้ โรคมนุษย์ก็จะถึงซึ่งความพินาศ สลายลง มนุษย์กับสัตว์โลกจะตายหมด จะไม่มีแม้แต่ละอองธุลีของสังขารเหลืออยู่อีกเลย”

อันพิธีกรรมบูชาดาวนพเคราะห์นั้น นับว่ามีอานิสงส์มากมาย ทั้งเป็นกรรมคติและเกิดธรรมนิมิตรสู่บรรดาพุทธบริษัททั้งหลายให้ได้มีโอกาสกระทำวิสาสะกัน ในยามที่ต่างคนต่างมีจิตเบิกบานผ่องแผ้วถือศีล กินเจ นุ่งขาวห่มขาวอันเป็นปัจจัยเตือนตนเองให้สำนึกว่าตนเป็นคนบริสุทธิ์ขาวสะอาดทั้งกาย วาจา และใจอยู่ในศีลธรรมและความสามัคคีธรรม พร้อมอยู่แล้วที่จะให้อภัยอโหสิกรรมซึ่งกันและกัน ร่วมกันน้อมนมัสการเทพเจ้าทั้ง ๙ พระองค์นี้เป็นการแสดงความเคารพในพระเมตตากรุณาธิคุณ และเป็นน้ำหนึ่งน้ำใจเดียวกันในการถวายเครื่องสักการะบูชาแก่พระองค์ทั้ง ๙ เป็นการบูชาพระเมตตาคุณที่ทรงไว้ซึ่งธาตุทั้ง ๕ ให้แก่โลกทุกโลกสามารถดำรงอยู่ตามจักรราศียั่งยืนตลอดมา แล้วจึงพร้อมจิตพร้อมใจกันน้อมขอพระกรุณาธิคุณได้โปรดประทานพระพรให้อยู่เย็นเป็นสุข

พิธีกรรมถือศีลกินเจ ไม่เสพเนื้อสัตว์ และการบูชาดาวนพเคราะห์ทำบุญแจกทานแก่คนทุกข์คนยากจนนี้เป็นที่นิยมกันมาแต่โบราณกาล การถือศีลกินเจเดือนเก้าเป็นพิธีกรรมที่ศักดิ์สิทธิ์ได้แผ่เมตตากรุณาจิตช่วยปลดปล่อยชีวิตสัตว์ให้รอดตายได้จริง ๆ แม้จะเป็นระยะเวลาเพียง ๙ วัน ๙ คืน ก็นับว่าเป็นปฐมเหตุ ให้ดวงจิตได้รับเมล็ดพันธุ์แห่งมหากรุณาธรรมบารมี เพื่อสักวันหนึ่งในภายหน้ายังมีโอกาสจำเริญงอกงามขึ้นจนถึงขั้นบรรลุมรรคผลได้ในที่สุด

มีสาธุชนจำนวนมากที่ได้รับอานิสงส์จากการถือศีลกินเจเพียง ๙ วัน ๙ คืน ทั้งทางร่างกายและจิตใจสามารถสัมผัสรู้ได้ด้วยตนเอง จึงถือเอาโอกาสอันดีนี้เป็นนิมิตหมายตัดสินใจตั้งปณิธานเลิกกินเนื้อสัตว์ ไม่เบียดเบียนผู้อื่นไปจนตลอดชีวิต

ประเพณีกินเจเดือนเก้านับเป็นประเพณีที่ศักดิ์สิทธิ์และควรค่าแก่การอนุรักษ์ให้คงไว้เป็นมรดกสืบทอดต่อไปตราบนานเท่านาน

สัตว์เกิดมาเพื่อเป็นอาหารของมนุษย์จริงหรือ?

ปัจจุบันการแพทย์และนักวิชาการสมัยใหม่ได้พบข้อพิสูจน์มากมาย ยืนยันว่า “เนื้อสัตว์ไม่ใช่อาหารของมนุษย์” และ “มนุษย์ไม่ใช่สัตว์กินเนื้อโดยธรรมชาติ” (รายละเอียดศึกษาเพิ่มเติมได้จากหนังสือ “อาหารธรรมชาติ” โดย ศิริชัย ค้าดี)

ธรรมชาติไม่ได้สร้างสัตว์มาเพื่อเป็นอาหารของมนุษย์ เมื่อมนุษย์กินเนื้อสัตว์จึงเป็นการฝืนธรรมชาติ ธรรมชาติก็สะท้อนกลับมาเป็นผลร้าย เราจะเห็นคนที่ชอบกินเนื้อมาก ๆ ล้วนมีพฤติกรรมก้าวร้าว มีนิสัยชอบความรุนแรง ชอบรบราฆ่าฟัน

โดยธรรมชาติสัตว์ต้องดิ้นรนต่อสู้เพื่อความอยู่รอด แต่เมื่อเกิดอุทกภัยน้ำท่วม สัตว์ทั้งหลายที่มาอาศัยเกาะอยู่บนขอนไม้ลอยน้ำท่อนเดียวกัน ในบรรดาสัตว์ที่เป็นศัตรูกัน หรือเป็นอาหารกันโดยธรรมชาติ เช่น แมวกับหนู งูกับพังพอน หรือเสือกับกวาง เวลานั้นสัตว์เหล่านี้จะไม่ต่อสู้ทำร้ายกันเลยแม้ว่ากำลังหิวเพราะต่างรู้ดีว่าหากทำเช่นนั้นแล้ว ทุกตัวก็จะต้องจมน้ำตายกันหมดไม่มีใครรอดชีวิต

แต่มีสัตว์อย่างเดียวเท่านั้นในโลกนี้ที่ยังจะต่อสู้กันโดยที่ตัวเองต่างก็กำลังตกอยู่ในอันตรายด้วยกันทั้งคู่ สัตว์โลกดังกล่าวก็คือ “คน” คนเราสามารถต่อสู้กันเองทั้ง ๆ ที่ท้องไม่หิว และมิใช่เพื่อความอยู่รอด แต่เพราะความโกรธ เกลียด ริษยา อาฆาต การกระทำเช่นนี้คนจึงโง่กว่าสัตว์ทั้งหลาย

เท่าที่ปรากฎ ไม่เคยมีสัตว์ชนิดใดรวมพรรคพวกพี่น้องไปฆ่าสัตว์โลกชนิดเดียวกันในต่างแดนเหมือนอย่างที่คนกระทำ มีแต่คนเท่านั้นที่คอยมุ่งทำสงครามทำลายล้างผลาญซึ่งกันและกันในแง่นี้คนจึง “บ้า” และมีวิจารณญาณที่ต่ำกว่าสัตว์

ไม่เป็นการยุติธรรมเลยที่มนุษย์ซึ่งเชื่อว่าตนมีปัญญาสูงกว่าสัตว์มากมายกลับไปเอาเปรียบสัตว์ที่น่าสงสาร

คำว่า “สัตว์ใหญ่ย่อมกินสัตว์เล็ก” นั้นเป็นคำที่ใช่สำหรับสัตว์เดรัจฉานเท่านั้น แต่มนุษย์ผู้ยกย่องตัวว่าประเสริฐกว่าสัตว์ทั้งหลายจะนำคำพูดนี้มาใช้กับตนเอง สมควรหรือ?

การถืออำนาจบาตรใหญ่ไม่ใช่ความถูกต้อง มนุษย์มีปัญญาสามารถรู้ถึงความควรไม่ควร ย่อมหลีกเลี่ยงสิ่งที่ไม่สมควรกระทำได้ ดังนั้นเราควรรู้จักกินในสิ่งที่ไม่ก่อให้เกิดโทษเกิดทุกข์ทั้งต่อตนเองและสัตว์ทั้งหลาย

เราไม่กินเนื้อเขาเลย เราก็ไม่ตาย แต่ถ้าเรากินเลือดกินเนื้อสัตว์ เขาก็ต้องตาย และจะตายกันอีกมากมายสุดนับคณาไปเรื่อย ๆ จนกว่าเราจะจบชีวิตของตนลง

มนุษย์พูดเข้าข้างตัวเองแต่ฝ่ายเดียว สัตว์พูดไม่ได้ โต้เถียงไม่ได้ แต่เขาก็รู้จักรักชีวิตรู้จักกลัวตายเช่นเดียวกับมนุษย์ คนมักพูดเอาเองว่า สัตว์เป็นอาหารของตน เสือ สิงโต ก็ถือว่ามนุษย์เป็นอาหารของมันแต่ไม่เห็นมีใครยอมให้ตัวเองเป็นอาหารของสัตว์เหล่านั้นเลย ทุกคนต่างต่อสู้ดิ้นรน ขัดขืนจนสุดกำลัง เพื่อหนีตายเอาชีวิตรอด

สัตว์ที่จะถูกฆ่าต่างรักตัวกลัวตาย แม้ไม่อาจพูดวิงวอน เขาทำได้ก็แต่หลั่งน้ำตาให้คนเห็น ผู้ประพฤติธรรมย่อมรู้ดีว่า “สรรพสัตว์ทั้งหลายล้วนเป็นจิตวิญญาณ เช่นเดียวกันกับมนุษย์ หากแต่ด้วยบาปกรรมที่เขาเคยก่อไว้เป็นเหตุให้ต้องไปเกิดในร่างที่เป็นสัตว์ต่าง ๆ เพื่อชดใช้หนี้สินเวรกรรมของตนจนกว่าจะหมด”

บาปกรรมที่เขาต้องไปเกิดเป็นสัตว์นั่นก็เป็นโทษทัณฑ์ที่ทุกข์ยากลำบากน่าเวทนาพออยู่แล้ว ผู้ที่เกิดมาได้ร่างเป็นมนุษย์จึงไม่สมควรที่จะไปเบียดเบียนเข่นฆ่าสัตว์เป็นการซ้ำเติมเคราะห์กรรมที่เขาได้รับให้หนักหนาสาหัสยิ่งขึ้นไปอีก

ไม่ได้ฆ่าสัตว์แต่กินเนื้อสัตว์เป็นความผิดบาปไหม?

ผู้ที่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิตต่างรู้อยู่แก่ใจดีแล้วว่าเป็นบาปมหันต์ แต่ก็หาได้เกรงกลัวต่อเวรกรรมที่ต้องชดใช้ไม่ เพราะถูกความมืดบอด ความโลภ ความหลงเข้าครอบงำ คนทั้งหลายจึงไม่ยอมรับว่า “การกินเนื้อเป็นความผิด”

กฎธรรมดาเมื่อมีการกินก็ต้องมีการฆ่า เพราะสัตว์ทุกตัวมีชีวิตเป็น ๆ เมื่อจะกินจึงต้องถูกนำไปฆ่าให้ตายก่อน การกินโดยไม่มีการฆ่านั้นไม่มีเลยในโลกนี้ “กินสัตว์กับฆ่าสัตว์” เป็นของคู่กัน ถ้าไม่มีคนกินก็ไม่มีคนฆ่า “คนกิน” และ “คนฆ่า” จึงมีความผิดเท่ากันเหมือนมือซ้ายกับมือขวาที่อยู่ในคน ๆ เดียวกัน หากมือขวาไปฆ่าใคร เมื่อถูกจับเขาก็ต้องถูกจับใส่กุญแจมือทั้ง ๒ ข้างจะโต้แย้งว่ามือซ้ายไม่ผิดเพราะไม่ได้ฆ่าไม่ยอมให้จับไปด้วยย่อมเป็นไปไม่ได้

หากคนใดคนหนึ่งไม่ได้ลงมือฆ่าเองแต่ใช้ให้ผู้อื่นลงมือฆ่าแทนเมื่อศาลพิพากษาโทษก็ต้องตัดสินให้ทั้ง ๒ มีความผิดร่วมกันโทษฐาน “สมรู้ร่วมคิด” ฆ่าผู้อื่นเพราะทั้งคนฆ่าและคนกินได้ประโยชน์ร่วมกัน คนฆ่าก็หวังได้เงิน คนกินก็ได้อิ่มอร่อยกับเนื้อของสัตว์ที่ตาย

เหตุกับผลย่อมเป็นของคู่กันแยกไม่ออก ทำเหตุดีย่อมได้รับผลดี ทำเหตุชั่วย่อมได้รับผลชั่ว การกินเลือดกินเนื้อของผู้อื่นที่เขาไม่ยินยอมทำให้เขาต้องได้รับความทุกข์ทรมานแสนสาหัสเป็นเหตุดีหรือชั่ว? ผู้มีปัญญาควรไตร่ตรองวินิจฉัยดูให้ชัดแจ้ง

บาปคืออะไร? การกระทำใดก็ตามที่ทำลงไปแล้วก่อให้เกิดโทษเกิดทุกข์แก่ตัวเองและผู้อื่นเรียกว่า “บาป” การกินเนื้อสัตว์ทำให้เกิดทุกข์แก่ตัวเองและสัตว์ทั้งหลายเพราะฉะนั้นการกินเนื้อสัตว์จึงเป็นบาป

คำโบราณที่พูดกันติดปากว่า “บาปอยู่กับคนทำ กรรมอยู่กับคนกิน” น่าจะเป็นคำกล่าวที่คอยตอกย้ำให้เราจดจำไว้เสมอว่า “ใครก็ตามให้ผู้อื่นสร้างบาปด้วยการฆ่าสัตว์ตัดชีวิตเพื่อตนแล้วผู้นั้นก็ต้องได้รับผลกรรมจากการฆ่านั้นด้วย”

การกินเนื้อเป็นการส่งเสริมให้เขาฆ่า ร้านอาหารที่ขายเนื้อสัตว์ยิ่งคนกินมาก คนขายก็สั่งฆ่าสัตว์มากขึ้น ในวันสำคัญทางศาสนาเพียงวันเดียวเนื้อสัตว์ขายไม่ดี ทำให้สัตว์ตายน้อยลงเป็นพันเป็นหมื่นตัว ชีวิตจึงมีโอกาสอยู่รอดไปได้อีกวันหนึ่ง หากทุกคนงดเว้นเนื้อสัตว์ได้ทุก ๆ วัน ไม่เฉพาะวันพระหรือวันสำคัญทางศาสนาเท่านั้น สัตว์จำนวนมากมายมหาศาลก็จะมีอายุยืนยาวตลอดไปไม่ต้องถูกฆ่าตาย ทำได้เช่นนี้...คิดดูเถิดว่าจะเป็นมหากุศลสูงส่งเพียงใด

“หนึ่งมื้อกินเจ หมื่นชีวิตรอดตาย”

ถ้าทุกคนพร้อมใจกันงดเว้นเนื้อสัตว์หันมากินเจแม้เพียงคนละ ๑ มื้อ สัตว์จำนวนนับพันนับหมื่นนับแสนชีวิตก็จะรอดตาย อย่าได้มองข้ามมหากุศลของการกินเจเพียงมื้อเดียว


คัดลอกจากบทความโดยคุณ BabyAstro จากบอร์ด www.payakorn.com 




ยินดีต้อนรับสู่เว็บแว่นทิพย์

เว็บดูดวง ตั้งชื่อ เปลี่ยนนามสกุล!! article
. article
Hope to see u again kha..bye article
"ศิริราช" เจ๋งผ่ามะเร็งไม่ต้องตัดเต้า ทีมแพทย์เผยเป็นแห่งที่ 2 ในเอเชีย article
21 เคล็ดลับความสาว article
โยคะเพื่อชีวิต article
Welcome to foreigners article
นวดกายคลายโรค article
จูบใครคิดว่าไม่สำคัญ article
Sex ประตูหลัง สุขสุดๆ หรือเสี่ยงสลด ! article
ศิลปะง่ายๆ ที่ใช้ได้ดีในการออกเดท...ครั้งแรก article
ตามล่าหาเหตุแห่ง “ชู้” ทำไมภรรยาถึงต้องนอกใจสามี? article
เซ็กส์กับคนอ้วน article
ทำงานหนัก “เซ็กซ์เสื่อม”? article
การตรวจเต้านมด้วยตนเอง article
การดูแลหลังคลอดแบบแผนไทย article
“นิทาน” เครื่องมือทรงพลังเพื่อสร้าง IQ และ EQ เด็กไทย article
นวดสัมผัสบำบัดให้ลูกน้อย article
ร่วมรัก.. ที่เจ็บจริงๆ นะคุณ article
สปีชี่ส์ ของคน “โสด” article
ชอบ รัก หลง แตกต่างกันอย่างไร? article
คนใกล้ใจจาก ก - ฮ article
Leaving on a jet plane เวอร์ชั่นภาษาไทย article
Sailing By Rod Stewart เวอร์ชั่นภาษาไทย article
สวย สบาย ด้วยสปาแบบไทยๆ article
อะไร? คือ ความรัก article
ดื่มน้ำรักษาโรค article
"โยกิลาทิส" เทรนด์ใหม่วัยใส article
"หนึ่งมื้อกินเจ หมื่นชีวิตรอดตาย"อานิสงส์ของการกินเจ ภาค 2 article
พิสูจน์มหัศจรรย์นวดตัวเอง 14 กระบวนท่า article
28 กลเม็ดเพื่อเซ็กซ์สุดสนุก article
นวดบำบัด ปวดหัว ปวดคอ ปวดไหล่ article
นวดกดจุด ดัดตน คลายเครียดด้วยตนเอง article
มาเจริญสติเพื่อเลิกบุหรี่กันเถอะ article
เพิ่มพลังชีวิตด้วย "โยคะ" article
กามสูตร ศิลปะแห่งความรัก ภาคฝรั่ง 2 article
กามสูตร ศิลปะแห่งความรัก ภาคฝรั่ง 1 article
มหัศจรรย์ "พลังหินบำบัด" article
น้ำตกตาดฟ้า article
เที่ยวภูเก็ต สบายใจ ดำผุดดำว่ายที่เกาะพีพี article
ชวนชม ชวนชิม ของเด็ดขึ้นชื่อ “เมืองเพชรบุรี” article
ไปเมือง“นนท์” ค้นหาที่น่าเที่ยว เก็บเกี่ยวความทรงจำ article
“หนองคาย” เมืองสงบเรียบง่ายริมฝั่งโขง article
เติมพลังให้ชีวิต...ที่เกาะมันนอก article
ระนอง เมืองที่ไม่มีเค้าฝน article
อุทยานนกน้ำทะเลน้อย article
เที่ยวแหล่งน้ำแร่ร้อน ผ่อนคลายแบบสปา article
โมโกจู article
สีสันวันเปิดภูกระดึง article
ที่สุดแห่งข้าวสาร article
“นครธม” มหานครแห่งปราสาท article



Copyright © 2010 All Rights Reserved.