Welcome to
ห้องโหรแว่นทิพย์
ศาสตร์แห่งปัญญาเพื่อชีวิตที่ดีกว่า
"ดูก่อน....พุทธชนที่เริ่มได้มหาสติ เกิดปัญญาเห็นธรรมขึ้นบ้างแล้ว ก่อนที่เธอทั้งหลาย จะดับจิตลาจากโลกนี้ไป เธอพึงสมควรอย่างยิ่งที่จะหวนกลับมาใส่ใจถึงการทำบุญกุศล แผ่เมตตากรุณาจิตที่สูงสุดโดยที่ ปากหยุดเคี้ยวชิ้นเนื้อ คอเว้นจากการกลืน และกระเพาะเว้นจากการฝังชีวิตสัตว์ทั้งหลายผู้ร่วมเกิดแกเจ็บตาย สรรพสัตว์นั้นมีสิทธิเท่ากันที่จะมีชีวิตอยู่บนโลกนี้เป็นบรมธรรม เป็นมหาเมตตากรุณาธรรมของสัตตบุรุษ พระอริยะเจ้าทุกยุคทุกสมัย เจริญธรรมนี้ สรรเสริญธรรมนี้ เป็นอุดมคติ
ถ้าเธอทั้งหลายยังมองไม่เห็นคุณธรรมเช่นนี้ในดวงจิตบ้างเลย มองไม่เห็นบุญกุศลอย่างนี้บ้างเลย แล้วจะไปแสวงหาสิ่งใดเล่าที่เป็นบุญกุศล การถือศีล บำเพ็ญสมาธิภาวนาและการถือบวชของเธอทั้งหลายนั้นจะบกพร่องขาดแคลนคุณธรรมอย่างมากมาย เธอจะไม่มีความหมายต่อการเรียกขานได้ว่า เป็นผู้เจริญเมตตากรุณาธรรมที่ช่วยโปรดชีวิตสัตว์เดรัจฉานเท่าไรนักเลย" พุทธพจน์ในมหายานสูตร
วันทั้ง ๗ อันควรงดเว้นเนื้อสัตว์
แม้ว่าจะมีผู้คนจำนวนมาก ที่ยังคงเข่นฆ่ากินเลือดกินเนื้อสัตว์อยู่ทุกวัน แต่อย่างน้อยที่สุดควรหยุดคิดสักนิดให้เห็นถึงความสำคัญของวันทั้ง ๗ ที่ควรงดเว้นเนื้อสัตว์ ได้แก่
๑. วันเกิดของตนเอง
๒. วันเกิดของลูกหลาน
๓. วันแต่งงาน
๔. วันจัดเลี้ยงเพื่อนฝูงญาติมิตร
๕. วันเซ่นไหว้บรรพบุรุษ
๖. วันทำบุญสร้างกุศล
๗. วันขอพรต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์
อันเนื่องด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ :-
๑. วันเกิดของตนเอง
ในวันเกิดของตนเอง ทุกคนพึงใคร่ครวญย้อนระลึกไปถึงวันที่เราจะถือกำเนิดมาในโลกนี้ ในช่วงเวลานั้นทั้งตัวเราและแม่ผู้ให้กำเนิด ชีวิตของทั้งคู่ต่างแขวนอยู่ระหว่างความเป็นกับความตาย ไม่สามารถจะช่วยเหลือตนเองได้ หากปราศจากบุญกุศลและผู้คนรอบข้างค้ำจุน ไฉนเลยเราจะมีชีวิตรอดมาได้จนถึงทุกวันนี้
เมื่อวันคล้ายวันเกิดเวียนมาถึงควรพิจารณาให้เห็นถึงความโชคดีที่เกิดมาได้ร่างกายเป็นมนุษย์ ทำให้มีโอกาสจะบำเพ็ญบารมีสร้างกุศลต่อไปภายหน้า ทุกคนควรระลึกถึงพระคุณบิดามารดา ที่ได้โอบอุ้มเลี้ยงดูตัวเราให้เติบใหญ่มาจนทุกวันนี้
ฉะนั้นวันที่เราได้เกิดมามีชีวิตใหม่ จึงไม่ควรทำลายผู้อื่น สัตว์ทั้งหลายเมื่อถือกำเนิดมาบนโลกต่างก็อยากมีชีวิตอยู่ยืนยาว เป็นการไม่สมควรอย่างยิ่งที่ไปฆ่าผู้อื่นแล้วกินเลือดกินเนื้อเขาเพื่อฉลองวันที่เราเกิดมา มนุษย์พากันฉลองวันเกิดของตน ด้วยชีวิตเลือดเนื้อของสัตว์เป็นการตัดทอนอายุขัยของผู้อื่นให้สั้นลง แล้วจะหวังให้ตนเองมีอายุยืนยาวได้อย่างไร
สัตว์ทุกตัวที่มีพ่อแม่ดูแล หากฆ่าพ่อแม่เขาเสียแล้ว ลูกของเขาใครเล่าจะเลี้ยง ทุกวันนี้ เด็กมากมายที่เกิดมายังไม่ทันลืมตาดูโลกก็ตายเสียแล้ว บ้างพ่อแม่ตายไปไม่ได้เลี้ยงดู บางคนเติบโตขึ้นมาก็อายุสั้น ผู้ที่ได้เห็นแจ้งในกฎแห่งกรรมต่างสลดหดหู่ใจยิ่งนัก
๒. วันเกิดของลูกหลาน
วันเกิดของลูกหลาน วันที่ชีวิตใหม่ถือกำเนิด ผู้เป็นพ่อแม่ต่างชื่นชมยินดีเป็นที่สุด ลูกของเราเรารักดั่งแก้วตาดวงใจ คนเรารักทะนุถนอมดวงตาของตนกลัวตาจะมืดบอดอย่างไร ก็รักใคร่ทะนุถนอมลูกของตนอย่างนั้น ยามลูกนอนก็คอยปัดเป่าพัดวี แม้แต่ยุง เหลือบ ริ้นไร มิยอมให้ขบกัด ยามใดที่ได้ข่าวว่าลูกประสบอุบัติเหตุจะบาดเจ็บหนักหนาแค่ไหนก็ไม่รู้ ยังร่ำไห้ฟูมฟายด้วยความเป็นห่วงเป็นใยราวกับจะขาดใจ อยากพบหน้าลูกรักให้จงได้ ต่อให้มีเงินทองทรัพย์สมบัติมากล้นสูงท่วมภูเขาก็จะสละแลกเอาชีวิตลูกของตนไว้
สัตว์ทุกตัวก็รักลูกของเขาเช่นเดียวกับมนุษย์เรา เวลาที่มีลูกอ่อนจะไม่ยอมให้ใครเข้าใกล้ มันเฝ้าแต่คอยระแวดระวังภัย ไม่ยอมหลับนอนเกรงว่าลูกน้อยจะได้รับอันตราย ดวงใจของผู้เป็นพ่อเป็นแม่ ไม่มีแบ่งแยกว่าเป็นมนุษย์หรือสัตว์ ลูกของใครใครก็รัก เพราะฉะนั้นวันที่เราได้ลูก จึงไม่ควรฆ่าลูกผู้อื่น วันที่เราได้ลูกต่างสุดแสนดีใจ ก็แล้วทำไมจึงไปทำให้ผู้อื่นเสียใจที่ลูกต้องตายจากไป
พ่อแม่ทั้งหลายเมื่อถึงวันเกิดของลูก กลับเลี้ยงฉลองให้ด้วยชีวิตเลือดเนื้อของสัตว์ เช่นนี้แล้วจะหวังให้ลูกของตนมีอายุยืนได้อย่างไร
หากเอาเลือดเอาเนื้อลูกเขามาบำรุงเลี้ยงดูลูกเรา ก็จะมีแต่โรคภัยคุกคามเบียดเบียน วงเวียนกรรมหมุนเวียนสืบต่อไปไม่มีสิ้นสุด พ่อแม่บางคนลูกเกิดมาได้ไม่นานก็มีเหตุให้ต้องตายจาก บางคนลูกเกิดมาพิกลพิการ ไม่สมประกอบ บางคนก็ขี้โรคอ่อนแอสุขภาพไม่ดีเป็นเพราะเหตุใด กี่คนที่รู้จักพิจารณาใคร่ครวญ
"สัตว์โลกทั้งหลายล้วนมีกรรมเป็นของตน มีกรรมเป็นแดนเกิด มีกรรมเป็นผู้ติดตามให้ผล" ....ไม่มีข้อยกเว้น!!!
๓. วันแต่งงาน
วันแต่งงานหรือวันมงคลสมรส เป็นวันที่มีความหมายอย่างยิ่งในชีวิต ในชั่วชีวิตหนึ่งของแต่ละคนจะมีงานมงคลนี้เพียงครั้งเดียว หากมีหลาย ๆ ครั้งก็ไม่ค่อยมีใครอยากจะไปอวยพรให้อีก
วันแต่งงาน คือ วันเริ่มต้นแห่งการครองชีวิตคู่ การได้อยู่ร่วมกันกับคนที่เรารัก ถือว่าเป็นโชคดีครั้งใหญ่ในชีวิต ทุกคนเมื่อแต่งงานแล้วก็อยากมีชีวิตรักที่ยั่งยืน ได้อยู่ครองรักกันไปจนแก่จนเฒ่า คู่รักของใครต่างก็ย่อมรักใคร่และหวงแหนไม่ยอมให้ผู้ใดมาทำอันตราย สัตว์ก็มีคู่ชีวิตรู้จักรักและหวงแหนคู่ชีวิตของเขาเช่นกัน หากวันที่เราได้คู่ชีวิตมาครองแต่กลับไปฆ่าคู่ชีวิตของผู้อื่น เป็นเหตุให้อีกฝ่ายหนึ่งต้องโดดเดี่ยว อ้างว้างไปจนตลอดชีวิต.......มันช่างไม่ยุติธรรมเลย
ดังนั้นวันที่เราแต่งงานได้คู่ครอง จึงไม่ควรพรากชีวิตสัตว์อื่น คนทั้งหลายมองไม่เห็นกฎแห่งกรรมพากันเลี้ยงฉลองการแต่งงานด้วยชีวิตเลือดเนื้อสัตว์ ทำให้คู่ชีวิตของเขาต้องล้มตายพลัดพรากจากกัน ทุกวันนี้จึงพบเห็นคู่แต่งงานมากมายที่หย่าร้างกัน บางคู่ไม่สามีก็ภรรยา ต้องมีอันล้มหายตายจากกันไป ต้องเป็นหม้ายอยู่อย่างโดดเดี่ยว ความจริงข้อนี้ควรไตร่ตรองให้ดี
พิธีมงคลสมรสของชาวจีนเป็นประเพณีที่ยึดถือกันมายาวนาน เราจะพบเห็นเครื่องใช้ต่าง ๆ ในงาน ไม่ว่าผ้าปูโต๊ะ ปลอกหมอน ผ้าคลุมเตียง ชุดแต่งงาน และแม้แต่ขนมเซ่นไหว้ฟ้าดินจะมีรูป "นกหยวนหยาง" บินเคียงคู่อยู่ด้วยกัน พร้อมทั้งเขียนอักษรที่เป็นสิริมงคลอำนวยอวยพรให้แก่คู่บ่าวสาวเพื่อจะได้ครองชีวิตคู่ยั่งยืนสุขสมหวังตลอดไป
นกหยวนหยางนี้เป็นนกที่มีความรักมั่นคงในคู่ของตนไม่ว่าไปไหน ๆ มันก็จะบินเคียงคู่กันไปตลอดเวลาชั่วชีวิตจะไม่ยอมแยกจากกันเลย หากวันใดที่คู่ของมันตายลง นกอีกตัวหนึ่งก็จะกลั้นใจตายตามไปด้วย
ชนชาวจีนยกย่องสรรเสริญความเด็ดเดี่ยวมั่นคงในการครองชีวิตคู่ของนกชนิดนี้ จึงได้นำมาเป็นสัญญลักษณ์ในพิธีมงคลสมรส เพื่อเตือนสติให้อนุชนรุ่นหลังระลึกไว้เสมอว่าคู่ชีวิตของใครไม่ว่ามนุษย์หรือสัตว์ก็ล้วนแล้วแต่รักใคร่หวงแหนคู่ของตนทั้งสิ้น
ฉะนั้น ในวันมงคลสมรส เราจึงไม่ควรกระทำสิ่งอัปมงคลให้แก่ตน โดยแยกคู่ครองของผู้อื่น เป็นเรื่องน่าอดสูใจอย่างยิ่ง ที่คนเราแต่งงานกันเพียงคู่เดียว ในวันนั้นคู่ชีวิตของสัตว์ทั้งหลายต้องถูกฆ่าตายไปมากมาย ชีวิตที่เหลือต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวไปจนชั่วชีวิต... เช่นนี้เป็นการสมควรแล้วหรือ?
๔. วันจัดเลี้ยงเพื่อนฝูงญาติมิตร
งานเลี้ยงเพื่อนฝูงญาติมิตร ในโอกาสจัดงานเลี้ยงสังสรรค์รับรองเพื่อนฝูงญาติมิตร ทุกคนที่มาร่วมชุมนุมกันต่างปลื้มปิติ ดีอกดีใจที่ได้กลับมาพบหน้ากันอีก บรรยากาศเต็มไปด้วยความรื่นเริงสนุกสนาน
โอกาสที่น่ายินดีเช่นนี้จึงไม่ควรใช้ชีวิตเลือดเนื้อผู้อื่นมาเลี้ยงฉลองความดีใจ เราดีใจที่ได้พบหน้ากัน แต่สัตว์ทั้งหลายต้องโศกเศร้าเสียใจ ที่ต้องตายจากกัน สัตว์ทุกตัวต่างก็มีพ่อแม่พี่น้องเพื่อนฝูงห่วงใยเฝ้ารอคอยการกลับ แม้แต่สุนัขของเรายังแสดงความดีอกดีใจทันทีที่เห็นเจ้าของกลับมาถึงบ้าน หากวันใดกลับมาล่าช้ามันก็จะเฝ้าชะเง้อคอมองหาคอยท่าอย่างใจจดใจจ่อ สัตว์บางชนิดที่อยู่รวมกันเป็นฝูงเมื่อมีตัวใดตัวหนึ่งขาดหายไป ตัวอื่น ๆ ก็จะรอคอยไม่ยอมไปไหน ไม่ต่างอะไรกับคนเลย ถ้างานเลี้ยงขาดคนที่เรารอคอยพบหน้าไปแม้เพียงคนเดียว งานนั้นดูช่างเงียบเหงาเสียนี่กระไร
มีปรากฎเป็นข่าวอยู่เสมอว่าปลาวาฬมักจะหลงทางว่ายน้ำเข้ามาเกยตื้นอยู่บนชายฝั่ง ตัวที่มีขนาดใหญ่โตมาก โอกาสที่คนจะช่วยให้กลับสู่ทะเลลึกเป็นไปได้ยากเหลือเกิน มันจึงต้องตายอยู่ริมชายหาด ส่วนตัวที่มีขนาดเล็กเมื่อช่วยให้ออกไปได้แล้วก็ว่ายกลับมาที่เดิมอีก หลายฝ่ายต่างไม่เข้าใจในการกระทำของมัน
สุดท้าย จึงทราบเหตุผลว่าที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะปลาวาฬไม่ต้องการจากฝูงของมันไปตราบใดที่ปลาตัวอื่น ๆ ยังไม่สามารถรอดออกไปได้
ความรักใคร่สมัครสมานกลมเกลียวห่วงใยซึ่งกันและกันไม่ใช่จะมีแต่ในหมู่มนุษย์เท่านั้น การที่คนเราทำให้สัตว์ทั้งหลายต้องพลัดพรากแตกแยกกัน จึงไม่ใช่สิ่งที่ควรกระทำเลย
งานที่ต้องเลี้ยงอาหารเพื่อนฝูงญาติมิตรเช่นนี้ เราจัดขึ้นเป็นประจำ หากเจ้าภาพต้อนรับเลี้ยงดูแขกเหรื่อด้วยเนื้อสัตว์ยิ่งเลี้ยงคนมากสัตว์ก็ต้องล้มตายมาก ตรงกันข้ามหากผู้ที่เป็นเจ้าภาพมีความสว่างในใจ งดเว้นเนื้อสัตว์จัดเลี้ยงเพื่อนฝูงด้วยอาหารพืชผักผลไม้บุญกุศลยิ่งใหญ่ก็จะบังเกิดขึ้นแก่เพื่อนฝูง ผู้มาร่วมงาน ย่อมจะนำมาซึ่งความปิติยินดีให้แก่ทุกฝ่ายอย่างแท้จริง
๕. วันเซ่นไหว้บรรพบุรุษ
มีคำกล่าวว่า "หนึ่งวันพ่อแม่เลี้ยงดูเรา ร้อยปีอยู่ปรนนิบัติรับใช้ท่าน"
ความหมายก็คือ ลูกที่กตัญญูต้องรู้จักสำนึกอยู่เสมอว่า การได้มีชีวิตอยู่รับใช้พ่อแม่ ผู้บังเกิดเกล้าทุกค่ำเช้าเป็นเวลา ๑๐๐ ปีนั่นเท่ากับว่าเราได้ตอบแทนพระคุณที่ท่านทั้งสองเลี้ยงดูชีวิตเรามาได้ ๑ วัน
ตั้งแต่เรายังเล็ก ๆ ท่านป้อนข้าวให้นม ให้เสื้อผ้าที่อยู่ที่กิน ให้ความรู้การศึกษา ให้ความรักและความอบอุ่น ยามเจ็บไข้พ่อแม่ไม่ยอมหลับยอมนอน ตื่นคอยเฝ้าอยู่ตลอดเวลากว่าเราจะโตจนช่วยเหลือตัวเองได้ พ่อแม่ต้องเหน็ดเหนื่อยเอาใจใส่เลี้ยงดูเป็นเวลานานนับสิบ ๆ ปี ลองคิดคำนวณดูเอาเถิดว่ากี่ร้อย กี่พันวันกันล่ะที่ท่านต้องลำบากเลี้ยงดูเรา
เพราะฉะนั้น ต่อให้เรามีอายุยืนยาวอยู่ได้ถึงหมื่นปีคอยปรนนิบัติรับใช้พ่อแม่ทุกวันมิได้ขาดก็ยังไม่อาจทดแทนพระคุณของท่านทั้งสองได้หมด
พระคุณบิดามารดานั้นมากมายล้นพ้น สุดจะหาคำใดในโลกมาเอ่ยพรรณนา ขอให้เราทุกคนย้อนมองดูตัวเองแล้วพิจารณาดูซิว่า เราเคยปรนนิบัติรับใช้พ่อแม่ด้วยความจริงใจสักหนึ่งวันเต็ม ๆ มีบ้างไหม?
ยามที่พ่อแม่ผู้บังเกิดเกล้ายังมีชีวิตอยู่ ลูกควรกตัญญูรู้คุณด้วยการเคารพเชื่อฟัง ไม่นำเรื่องราวใด ๆ ทำให้ท่านต้องทุกข์ร้อนใจ ควรดูแลเอาใจใส่ให้ท่านทั้งสองมีแต่ความสุขกายสบายใจ เมื่อท่านละจากโลกนี้ไปแล้วก็ให้กราบไหว้ระลึกถึงพระคุณของท่านสืบต่อจนถึงรุ่นลูกหลาน
การเซ่นไหว้บรรพบุรุษ ก็เพื่อเป็นแบบอย่างของคุณธรรมอันดีแก่ลูกหลานของเราให้ได้รู้จักสำนึกในพระคุณบิดามารดาบุพการีมีความกตัญญูรู้คุณสืบต่อกันไป มิใช่เซ่นไหว้เพื่อขอโชคลาภ เงินทอง ยศฐาบรรดาศักดิ์แก่ตัวเองและลูกเมีย เราไม่รู้สึกละอายแก่ใจบ้างเลยหรือที่ท่านเลี้ยงดูเรามาชั่วชีวิตของท่าน ตลอดเวลาเราได้รับอาหาร เสื้อผ้า ข้าวของเงินทอง ตลอดจนวิชาความรู้ ทั้งหมดที่ท่านให้มาแล้วยังไม่เพียงพอที่เราจะใช้ดำเนินชีวิตเลี้ยงดูครอบครัวลูกหลานต่อไปอีกหรือ ทำไมเราจะต้องเซ่นไหว้วิงวอนขอบันดาลสิ่งโน้นสิ่งนี้อย่างคนไม่รู้จักพอทั้ง ๆ ที่ท่านไม่มีสังขารร่างกายจะลุกขึ้นมาให้กับเราได้อีกแล้ว
การที่ลูกหลานกราบไหว้บรรพบุรุษเพื่อหวังผลตอบแทนต่าง ๆ จึงมิใช่การแสดงความกตัญญูที่แท้จริง หากเราสั่งสอนให้ลูกหลานรู้จักแต่จะวอนขอเอาจากผู้อื่นต่อไปเมื่อเขาเติบใหญ่ก็จะได้แต่นั่งวิงวอนรอคอยให้ผู้อื่นช่วยแทนที่จะใช้ความรู้ความสามารถ ที่พ่อแม่มอบให้แล้วออกไปบากบั่นมุ่งหน้าประกอบกิจการงานอย่างผู้มีความรับผิดชอบเป็นตัวของตัวเอง ถ้าหากลูกหลานของเรามัวแต่งอมืองอเท้าอย่างนี้ความผิดก็อยู่ที่ตัวเราเองที่ไม่รู้จักอบรมสั่งสอนทำตนเป็นแบบอย่างที่ผิด ๆ
ในวันกราบไหว้บรรพบุรุษ เพื่อแสดงความกตัญญูไม่ควรทำให้ชีวิตผู้อื่นล้มตาย บรรพบุรุษของเราย่อมไม่ยินดีเป็นแน่ ในเรื่องนี้ผู้รู้ทั้งหลายก็จะพากันติเตียนในความโง่เขลาของเรา
ชีวิตเลือดเนื้อที่ได้จากการปล้นฆ่า แย่งชิงเอามาจากสัตว์เป็นเสมือนของต้องห้ามที่ผิดกฎหมาย หากนำไปมอบให้ใครผู้รับมอบก็จะพลอยได้รับเคราะห์กรรมไปด้วย เช่นนี้แล้วดวงวิญญาณของบรรพบุรุษกลับต้องได้รับหนี้สินบาปเวรจากการกระทำของลูกหลานโดยที่ท่านไม่ได้รู้เห็นเป็นใจด้วยเลย....ช่างน่าสลดใจจริง ๆ ผู้มีความกตัญญูที่แท้จริงไม่พึงกระทำอย่างยิ่ง
ในงานบำเพ็ญกุศลอุทิศให้แก่ผู้ที่เราเคารพรักทุกคนรู้สึกโศกเศร้าเสียใจ ที่ต้องสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักไปและต่างก็หวังว่าดวงวิญญาณของผู้ที่ล่วงลับจะเดินทางไปสู่สุคติภพไม่อยากให้ตกนรกหมกไหม้ไปอยู่ในที่ที่น่ากลัวได้รับแต่ความทรมานทุกข์ยากลำบาก ฉะนั้นในงานศพจึงไม่ควรทำให้สัตว์ทั้งหลายต้องตายตามไปด้วย ดวงวิญญาณของคนที่เขาเคารพรักเหล่านั้นย่อมจะจากไปโดยไม่มีความสงบสุขแน่หากรู้ว่างานศพของตนเป็นสาเหตุทำให้ผู้อื่นต้องล้มตายลงอย่างมากมาย
๖. ในงานทำบุญสร้างกุศลทุกโอกาส
คนเรามีโอกาสประสบสิ่งดี ๆ ในชีวิต เปิดโอกาสให้ได้สร้างบุญกุศลอยู่เสมอ เช่น มีกิจการร้านค้าเป็นของตัวเอง มีบ้านใหม่ไม่ว่าจะเป็นวันเปิดร้านใหม่ วันขึ้นบ้านใหม่ หรือวันทำบุญอื่น ๆ การจัดงานทำบุญในวันเหล่านี้ ทุกคนต่างก็มุ่งหวังให้ตนมีความเจริญรุ่งเรืองก้าวหน้ายิ่ง ๆ ขึ้นให้มีชีวิตที่ดีได้อยู่อย่างร่มเย็นเป็นสุขตลอดไปมิใช่หรือ?
ฉะนั้นในงานบุญสร้างกุศลทุกงาน จึงไม่สมควรเลี้ยงพระ เณร แขกเหรื่อ เพื่อนฝูงด้วยชีวิตและความตายของสัตว์ หากทำเช่นนั้นเราจะหวังความเจริญรุ่งเรือง และความสงบสุขในชีวิตได้อย่างไร ทุกชีวิตที่ต้องตายล้วนเคียดแค้นอาฆาตพยาบาท ต่างจะพากันรุมสาปแช่งไม่ยอมให้มีความเจริญรุ่งเรืองในกิจการใด ๆ ไม่ยอมให้เราได้อยู่อย่างมีความสุขในบ้านหลังใหม่ กิจการร้านค้าก็จะตกต่ำย่ำแย่ บ้านและครอบครัวจะปราศจากความสุขเต็มไปด้วยการทะเลาะเบาะแว้ง เพราะวิญญาณของสัตว์ทั้งหลายต่างก็รู้ดีว่า หากคนฆ่าผู้อื่นแล้วยิ่งเจริญขึ้น สัตว์อื่น ๆ ก็จะต้องถูกฆ่าตายเพื่อฉลองความรุ่งเรืองอีกนับไม่ถ้วนพวกเขาไม่มีวันยอมแน่!!!
เพราะเหตุนี้ในโอกาสงานบุญงานกุศลที่เราทุกคนปรารถนาแต่ความเจริญรุ่งเรืองก้าวหน้าอยู่เย็นเป็นสุขจึงไม่ควรสร้างบาปเวรเป็นเหตุให้ชีวิตผู้อื่นต้องตาย หากทำบาปเสียก่อนเพื่อแลกเอาบุญกุศลที่หลังเช่นนี้แล้วคิดว่าจะไปรอดหรือ?
๗. ในโอกาสขอพรจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์
สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทุกพระองค์ในสากลโลกไม่เคยทอดทิ้งคนดี ไม่มีเรื่องอะไรในใจของมนุษย์ที่ฟ้าเบื้องบนไม่ล่วงรู้
คนจำนวนมากกราบไหว้วิงวอนขอสิ่งต่าง ๆ มากมายจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ตนเคารพนับถือ แต่จะมีสักกี่คนที่ได้รับสมความปรารถนา บางคนก็ได้บ้าง บางคนไม่เคยได้เลยเป็นเพราะเหตุใดกัน จะเป็นด้วยว่าฟ้าเบื้องบนลำเอียงไม่ยุติธรรมเลือกที่รักมักที่ชังกระนั้นหรือ?
มนุษย์มักคิดเอาแต่ได้ฝ่ายเดียว ไม่เคยย้อนกลับมามองดูการกระทำของตัวเอง หากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ตรัสถามเราว่า
"เธอได้ทำกรรมดีอะไรกันมาแล้วบ้างที่สมควรจะได้รับการช่วยเหลือจากฟ้าเบื้องบน ในเมื่อปากของเธอยังมีกลิ่นคาวเลือดคาวเนื้อผู้อื่น ท้องของเธอก็ยังเต็มไปด้วยซากศพสัตว์ทั้งหลาย หนี้สินบาปเวรที่เธอสร้างไว้กับผู้อื่นนี้มากมาย ยังไม่ได้ชดใช้เลยเธอยังจะมีสิทธิ์มาวิงวอนขออะไรได้อีก"
เช่นนี้แล้ว...พวกเราทั้งหลายจะตอบท่านว่าอย่างไร
คนในโลกมนุษย์เมื่อทำความผิดกฎหมายบ้านเมืองก็ต้องให้จองจำติดคุกติดตาราง
ในระหว่างที่รับโทษทัณฑ์ใช้หนี้กรรมมีหรือที่ยังจะสามารถเรียกร้องหาความสุข ความสบาย ลาภยศ เงินทอง ใครบ้างจะให้เขาได้ คนที่ยังกินเลือดเนื้อผู้อื่นก็คือ ติดหนี้เลือดหนี้ชีวิตเขาอยู่เช่นกัน
บางคนวิงวอนขอให้ลูกหลานมีความกตัญญูแต่ตนเองไม่เคยกตัญญูต่อพ่อแม่เลยแล้วจะหวังไปทำไม?
บ้างก็วิงวอนขอให้มีเงินทองร่ำรวยแต่ตนเองเกียจคร้านไม่เคยทำอะไรเลย แล้วจะร่ำรวยได้อย่างไร?
บ้างก็วิงวอนขอให้ร่างกายแข็งแรงสุขภาพดีแต่ตลอดเวลาตนเองกินเลือด กินเนื้อสัตว์ที่เต็มไปด้วยพิษภัยแล้วจะให้แข็งแรงได้อย่างไร?
บ้างก็วิงวอนขอให้อายุยืนยาวแต่กลับฆ่าสัตว์ตัดชีวิตทำให้ผู้อื่นต้องตายแล้วจะให้ตัวเองมีอายุยืนไปได้สักเท่าใด?
จงดูต้นไม้เอนไปทางใด ก็ล้มทางนั้น
คนเราประพฤติอย่างไร ก็สิ้นใจอย่างนั้น
หากทุกวันสร้างแต่บาปเวร ย่อมต้องได้รับผลของมัน
ใครเล่าจะช่วยได้ ถ้าไม่ใช่ "ตัวของเราเอง"
ฉะนั้น ในโอกาสที่ไปกราบไหว้สักการะบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไม่ว่าพระองค์ไหน ทุกคนควรชำระล้างปาก ลิ้นให้สะอาดด้วยการกินเจ เว้นจากการกินเนื้อของสัตว์ กระทำตนให้สะอาดบริสุทธิ์ทั้งกายวาจาและจิตใจ เมื่อนั้นก็จะบังเกิดความสุขความเจริญเป็นสิริมงคลแก่ตัวเราเองโดยมิต้องร้องขอ
จงระลึกไว้เสมอว่า สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทุก ๆ พระองค์ล้วนบริสุทธิ์ผ่องแผ้ว ไร้มลทินหมดสิ้นกิเลส ไม่มีหนี้สินเวรกรรมใด ๆ หลงเหลืออยู่เลย ทุกพระองค์ดำรงไว้ซึ่งความบริสุทธิ์สะอาดยุติธรรม และเปี่ยมด้วยพระหฤทัยที่เมตตากรุณาต่อปวงสรรพสัตว์ทั้งหลาย
สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่แท้จริงไม่เคยหวังเงินทองของถวายที่มีราคาใด ๆ จากมนุษย์เลย แต่มีเครื่องสักการะอย่างหนึ่งซึ่งล้ำค่าไม่มีอะไรมาเทียบได้แม้เงินทองมากมายก็ไม่สามารถซื้อได้ อีกทั้งไม่สามารถไปหามาจากที่ใด แต่ทว่าสิ่งล้ำค่านั้นทุกคนมีอยู่ในตัวแล้ว สิ่งนั้นก็คือ "จิตใจ"
"จิตใจ" ที่มีแต่ความบริสุทธิ์ดีงามของมนุษย์นี่แหละเป็นเครื่องสักการะ บรรณาการอันล้ำค่าที่สุดที่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทุกพระองค์อยากได้ และโปรดปรานกว่าสิ่งอื่นใดทั้งหมด
ไม่ว่ายุคใดสมัยใดสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไม่ว่าในศาสนาไหนต่างรอคอยให้มนุษย์เอาจิตใจที่ปราศจากความโกรธ เกลียด จิตใจที่มีแต่ความรักความเมตตาต่อเพื่อนมนุษย์และสรรพสัตว์มาเป็นเครื่องสักการะบูชาถวายต่อพระองค์
แต่มนุษย์ก็ทำให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์เบื้องบนผิดหวังมาตลอด นับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปขอมนุษย์ทั้งหลายจงอย่าได้ทำให้เบื้องบนต้องผิดหวังอีก เพราะการถวายเครื่องสักการะที่เป็นแต่เพียงวัตถุสิ่งของเท่านั้น
ขอให้ทุกคนจงนำเอา "จิตใจอันดีงาม" ซึ่งมีอยู่แล้วในตัวของทุก ๆ คนออกมาถวายเป็นเครื่องสักการะบูชาต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์เบื้องบนทุกพระองค์โดยพร้อมเพรียงกันทุกคนเถิด
ฉะนั้นในโอกาสทั้ง ๗ วัน ที่ได้กล่าวมาแล้วทั้งหมด จะเห็นว่าในชั่วชีวิตของแต่ละคนล้วนต้องได้ประสบพบเจอ หากเรารู้จักใช้สติปัญญาพิจารณาให้เห็นถึงอานิสสงส์ของการงดเว้นเนื้อสัตว์ในโอกาสดังกล่าวได้ ก็ย่อมจะเป็นโชคดีทั้งต่อตนเองและผู้ที่มาร่วมงานทำให้ทุกคนสามารถตักตวงเอาบุญกุศลไว้ได้อย่างเต็มบริบูรณ์
ขอให้ทุกท่านอย่าได้พลาดโอกาสดี ๆ เช่นนี้ไปอย่างน่าเสียดายเพียงเพราะความรู้เท่าไม่ถึงการณ์อีกเลย
ทัศนะของคนกินเจ
ซื้อเนื้อกินโดยที่ไม่ได้ฆ่าเอง มีความผิดหรือไม่?
คนขายเนื้อสัตว์พูดเหมือนกันหมดว่า "ถ้าไม่มีคนซื้อก็คงไม่มีใครฆ่า" คนที่อยากกินเนื้อแต่ไม่ฆ่าเองเพราะกลัวบาป ใช้เงินไปซื้อเนื้อที่คนอื่นฆ่าไว้ ให้เงินที่จ่ายเป็นค่าเนื้อของพ่อค้าในตลาดก็คือ "ค่าจ้างฆ่า" นั่นเอง
ในทางโลกศาลสถิตยุติธรรมต้องพิพากษาลงโทษคนรับจ้างฆ่าและคนจ้างวานให้ฆ่า ทั้งนี้ก็เพราะว่าทั้ง ๒ ฝ่ายต่างต้องกาผลประโยชน์จากชีวิตผู้อื่นร่วมกัน คนซื้อก็ต้องการกิน คนขายก็ต้องการเงิน
คนที่ซื้อเนื้อสัตว์มากิน ไม่ใช่จะไม่มีความผิดในข้อหาจ้างวานให้ผู้อื่นฆ่าแทนเท่านั้น แต่ยังต้องมีผิดโทษฐาน "รับซื้อของโจร ถือว่าไม่พิจารณาถึงการได้มาซึ่งสิ่งของนั้นผู้ซื้อต้องมีความผิด" เนื้อสัตว์ที่นำมาขายในตลาดก็เช่นเดียวกัน เป็นเนื้อที่ได้มาด้วยการ "ปล้นฆ่า!" ไม่มีสัตว์ตัวไหนในโลกที่ยินยอมเต็มใจให้คนฆ่า ทุกตัวต่างพากันหวีดร้องปากกัดตีนถีบต่อสู้ดิ้นรนสุดชีวิต ไม่มีใครยอมยกชีวิตให้โดยความสมัครใจ หากตัวใดหนีรอดไปได้ก็จะไม่มีทางกลับมาให้เห็นอีก
คนได้ถืออำนาจบาทใหญ่ข่มเหงรังแกปล้นชิงเอาชีวิตเลือดเนื้อเขามา การกระทำเช่นนี้มีวิสัยเยี่ยงโจร เนื้อสัตว์ที่นำมาวางขายเป็นเนื้อที่คนปล้นฆ่าเอามา ดังนั้นผู้ซื้อเนื้อก็คือ "ซื้อของโจร"
ในโลกนี้มีใครบ้างไม่รักชีวิต แม้แต่มดตัวน้อยนิดยามตกน้ำยังดิ้นรนตะเกียดตะกายเอาชีวิตรอด ดูแต่มนุษย์เถิดยามที่มีภัยพิบัติมาถึงก็พากันหวาดกลัวแตกตื่นเสียขวัญวิ่งลนลานหนีตายไม่ต่างไปจากสัตว์เลย
ทุกชีวิตเกิดมาบนโลกนี้แล้ว ย่อมมีสิทธิ์เท่ากันที่จะมีชีวิตอยู่ได้ตามอายุขัยของตน มนุษย์ไม่มีสิทธิ์ไปทำลายล้างผลาญชีวิตผู้อื่น
หลักของเมตตาธรรมที่แท้จริง ก็คือการไม่เบียดเบียนซึ่งกันและกันให้ได้รับความเดือดร้อน เพียงแค่การเบียดเบียนผู้อื่นก็เป็นบาปอย่างยิ่งแล้ว จะกล่าวไปใยถึง "การฆ่า" ยิ่งเป็นบาปอย่างมหันต์
คนที่เกิดมาพิกลพิการ แขนขาดขาด้วน หูหนวกตาบอดช่วยเหลือตนเองไม่ได้ ใครก็ไม่มีสิทธิ์ไปเบียดเบียนทำร้ายเขา สัตว์ทั้งหลายไม่ได้ทำความผิดอะไรฉะนั้นเพียงการเฆี่ยนตีให้เขาเจ็บปวดทุกข์ทรมานก็ถือว่าเป็นบาปอย่างยิ่งแล้ว
ความจริงก็คือความจริง การเลี่ยงกฎหมายเลี่ยงความยุติธรรมทางโลกอาจเล็ดลอดหลบเลี่ยงกันไปได้บ้าง แต่การจะหลบเลี่ยงกฎแห่งกรรมนั้นทำไม่ได้เลย ในโลกมนุษย์คนทำผิดมีทนายคอยแก้ต่างให้ แต่ในกฎแห่งกรรมมีเพียงตัวเราคนเดียวเท่านั้นต้องเป็นทนายให้ตัวเอง
จงสำนึกไว้เสมอว่า "กฎแห่งกรรมเป็นหลักสัจธรรมที่เที่ยงตรงไม่ใช่บทบัญญัติที่ชาวโลกสร้างขึ้นเองแล้วคิดจะใช้ความฉลาดแกมโกงหลบเลี่ยงความผิดของตน มันเป็นไปไม่ได้
การแก้ตัวชนิดที่ไม่มีความเมตตากรุณาต่อสัตว์แก้ตัวอย่างไม่ซื่อตรง เป็นการแก้ตัวของคนคดโกงที่ต้องการจะกินเลือด กินเนื้อ กินหัวใจ ตับไตไส้พุงเขาฟรี ๆ โดยไม่ยอมรับผิดชอบใด ๆ
ถ้าเราคิดแต่เพียงว่าซื้อมากินไม่บาป สัตว์มากมายก็จะต้องตายอยู่ร่ำไป
ใครก็ตามที่ได้ประโยชน์จากการฆ่าทำลายชีวิตผู้อื่น ไม่ว่าจะเป็นคนฆ่า คนขาย คนซื้อ ต่างมีความผิดต้องได้รับโทษเสมอเหมือนกันทั้งหมด "นี่คือความยุติธรรม"
มนุษย์ควรกตัญญูต่อสัตว์ที่มีคุณ
สัตว์ทั้งหลายที่เกิดมา มีกรรมเป็นผู้กำหนด เขาต่างเกิดมาเพื่อชดใช้กรรมของตน ไม่ใช่ให้คนฆ่ากิน
วัว ควาย ให้มนุษย์อาศัยแรงกายใช้งานสารพัดสมควรอย่างยิ่งที่มนุษย์ควรสำนึกในบุญคุณ ให้ความเมตตากรุณาตอบ
คนเราชอบให้ลูกหลานกตัญญูรู้คุณแต่กับวัวควายเราเคยระลึกถึงบุญคุณเขาบ้างหรือเปล่า?
วัวควายถูกใช้งานตั้งแต่หนุ่ม ต้องตากแดด กรำฝนไถนา บางทีก็ถูกเฆี่ยนตี เหน็ดเหนื่อยแสนสาหัสตั้งแต่เช้าจรดเย็น แม้เจ็บไข้ได้ป่วยก็ไม่มีโอกาสพัก ไม่สามารถเรียกร้องขออาหารดี ๆ นอกจากกินใบหญ้าและฟางแห้ง เมื่อยู่ทำงานไปจนแก่ชราอายุมาก ไม่สามารถทำงานหนักได้อีกต่อไป ผู้เป็นนายก็นำไปฆ่ากินเนื้อ
หากวัวควายพูดได้ คงจะถามว่า "ฉันทำผิดอะไร จึงถูกฆ่า" ความแก่เฒ่าเป็นความผิดด้วยหรือ? มนุษย์ไม่ชอบเป็นทาสแต่วัวควายไม่มีโอกาสเลิกทาส ต้องทำงานหนักไปตลอดชีวิต ไม่มีวันเป็นอิสระ ไม่มีคำว่า "ปลดเกษียณ" วันที่จะได้พักผ่อนก็คือ วันที่ต้องถูกนำตัวไปฆ่ากินเนื้อกระนั้นหรือ?
ตลอดชีวิตของวัวควายกินแต่หญ้า ไม่มีหญ้าสดก็กินหญ้าแห้ง ไม่สามารถเรียกร้องอาหารดี ๆ ได้อย่างมนุษย์ แต่ก็ออกแรงไถนาลากเกวียนวันแล้ววันเล่าให้มนุษย์มีข้าวกินมีเงินทองใช้จ่ายซื้อเสื้อผ้า ปลูกบ้านเรือน จิตใจของมนุษย์ไม่เคยนึกถึงบุญคุณที่เขาเคยรับใช้มาเป็นสิบ ๆ ปี ซ้ำยังกลับสนองพระคุณด้วยการฆ่ากินเนื้อ มโนธรรมสำนึกของความเป็นคนไปอยู่เสียที่ไหน?
มนุษย์เป็นผู้มีอำนาจราชศักดิ์ มีโชคกว่าสัตว์ใด ๆ บนโลก สามารถเลือกหาอาหารดี ๆ ได้ร้อยอย่างพันอย่าง แต่ก็ยังไม่เป็นที่พอใจ กลับไปเบียดเบียนเอาชีวิตผู้มีพระคุณมากินเพียงเพื่อให้ได้ "อร่อย" ที่ลิ้น
สัตว์เดรัจฉานนั้นเป็นผู้ที่มนุษย์เรียกว่า "โง่เง่า" ก็เพราะความโง่เง่านี่แหละเขาก็ยิ่งสมควรต้องได้รับความเมตตากรุณาจากมนุษย์มิใช่หรือ?
การที่คนฉลาดเอาเปรียบคนโง่กว่า เราถือว่าไม่เป็นการชอบธรรม ฉะนั้นคนเอาเปรียบสัตว์โดยฆ่ากินเนื้อเขามันก็ย่อมไม่เป็นการชอบธรรมยิ่งกว่า ถ้าเรายังเลี้ยงชีวิตตัวเองด้วยเลือดเนื้อของผู้อื่น แล้วในโลกนี้อะไรเล่าที่เราเรียกว่า "ความเมตตา"
ทำไมการกินเนื้อจึงสร้างหนี้สินเวรกรรมติดตัว?
คนทั้งหลายมักจะคิดไปได้ไกลแค่ปลายจมูกตัวเอง นึกถึงแต่ปากแต่กระเพาะไม่เคยนึกถึงหนี้สินเวรกรรมที่จะต้องได้รับ การกินเลือดเนื้อทั้ง ๆ ที่เขาไม่ยินยอม ย่อมต้องถูกตามอาฆาต พยาบาทจองเวรอย่างแน่นอน
หากคิดกันให้ดีแล้วคนที่ถูกแทงตาย ถูกเชือดคอ ถูกตีตายก็เรียกว่า "ตายโหง" การตายที่ผิดธรรมดาผู้คนต่างหวาดกลัวกันมาก หมู ไก่ วัว ควาย สัตว์ทั้งหลายก็ถูกแทง ถูกเชือด ต้องตายโหงเช่นกัน จิตวิญญาณของเขาจึงเต็มไปด้วยความอาฆาตเคียดแค้นพยาบาท ทำไมมนุษย์ไม่รู้สึกกลัวบ้าง?
มีคำกล่าวว่า "ร่างกายของคนเป็นป่าช้าที่ฝังศพของสัตว์อันกว้างใหญ่ไพศาล" ศพของมนุษย์เขาฝังกันไว้ใต้ดิน แต่น่าประหลาดที่ศพหมู ศพวัว ศพควาย ศพของสัตว์ต่าง ๆ มนุษาย์พากันฝังไว้ในท้องของตัวเอง เวลาที่สัตว์เจ็บป่วย ล้มตายคนก็เอาไปฝังดินเสียทันทีเพราะกลัวโรคภัย แต่เวลาที่สัตว์ตายโดยการฆาตกรรมด้วยคมมีดของคนฆ่าสัตว์ คนกลับเอาไปฝังไว้ในกระเพาะของตนเสียทันทีเหมือนกัน ดังนั้นกระเพาะของคนก็คือ "ป่าช้า" สำหรับบรรดาสัตว์ทั้งหลาย คนกินเนื้อก็คือ "หลุมฝังศพที่เดินได้" นั่นเอง
ถ้าพูดตามกฎธรรมดาของโลก เราเป็นหนี้ใครก็ต้องชดใช้ ฆ่าเขาก็ต้องถูกเขาฆ่า กินเลือดเนื้อของเขา ก็ต้องถูกเขากินเลือดเนื้อคืนบ้าง ชีวิตใช้คืนด้วยชีวิต เนื้อใช้คืนด้วยเนื้อ ความตายใช้คืนด้วยความตาย เป็นกฎที่เที่ยงธรรม ดังนั้นโลกนี้จึงเต็มไปด้วยการจองเวรติดตามทวงหนี้กันไม่รู้จักจบสิ้น สิ่งศักดิ์สิทธิ์เปี่ยมด้วยมหากรุณาจิตทรงต้องการระงับการจองเวร จึงโปรดแสดงหลักแห่งเมตตาธรรมประทานโอกาสแก่มนุษย์ให้ได้ถือศีลกินเจสะสางหนี้สินบาปเวรเสียให้หมดสิ้น การหยุดกินเนื้อก็คือการตัดหนี้สินเวรกรรมหยุดการจองเวรซึ่งกันและกันนั่นเอง
หากเราเป็นหนี้ผู้ใด แล้วหลบหนีไม่ยอมชดใช้ก็คือ "คนโกง" โกงมนุษย์ด้วยกัน แล้วหลบหนีก็อาจมีให้เห็น แต่จะโกงกฎแห่งกรรม โกงบาป โกงบุญ โกงนรก โกงสวรรค์ เห็นจะโกงกันไม่ได้ หนีเสือหนีจระเข้พอจะหนีกันได้ แต่จะหนีเวรหนีกรรมนั้น...ไม่มีทางหนีพ้นเลย
คนกินเจ ได้ชื่อว่าเป็นผู้ไม่ประมาท
ความประมาทเป็นหนทางสู่ความพินาศฉิบหาย
คนเรานอนบนพื้นดินหรือนอนบนเตียงทองก็ได้เพียงแค่ "หลับ"
กินจะดีวิเศษแค่ไหนหรือกินพอให้มีชีวิตอยู่ก็ได้เพียงแค่ "อิ่ม"
กินเนื้อก็อิ่ม กินเจก็อิ่มได้
กินเนื้อก็ต้องตาย กินเจก็ต้องตายเหมือนกัน
แต่ "คนกินเนื้อ" ย่อมมีโรคภัยเบียดเบียน มีหนี้สินเวรกรรมติดตามให้ได้รับทุกข์ทรมานก่อนตาย
"คนกินเจ" ร่างกายแข็งแรง ไร้โรคภัยเบียดเบียนจึงแก่ตามอายุขัย
คนกินเนื้อ ตายแล้ว ยังมีหนี้สินเวรกรรมติดตัวต้องชดใช้
คนกินเจ ตายแล้วไม่มีหนี้สินเวรกรรม เป็นอิสระ
แล้วเราจะเลือกกินอย่างไหน?
ในเวลาดับชีพ วิญญาณกำลังจะออกจากร่างไป เป็นระยะหัวเลี้ยวหัวต่อ จิตจะมีกำลังแรงกล้าแต่จะไปสู่สุขคติได้ก็เพราะไม่มีเจ้าหนี้นายเวรมาทวงเลือดเนื้อทวงชีวิต คนที่สร้างกรรมฆ่าสัตว์ตัดชีวิต เมื่อใกล้จะตายมักจะมีอาการเป็นลางบอกเหตุต่าง ๆ บางคนก็หวีดร้อง ดิ้นรน ทุรนทุราย โหยหวนหวาดกลัวสุดขีด เหมือนสัตว์ที่กำลังจะถูกฆ่าเรื่องเช่นนี้พบเห็นกันอยู่เสมอ วิญญาณของเขาย่อมไปสู่ทุคติภพ ต้องไปรับทุกข์ทรมานหลังจากตายแล้วทั้งสิ้น
ฉะนั้น คนกินเจจึงเป็นผู้ไม่ประมาทต่อเหตุการณ์ทั้งโลกนี้และโลกหน้า ความจริงบาปกรรมจากการกินเนื้อไม่ต้องรอถึงชาติหน้าว่าจะไปพบอะไรก็ได้ เพราะในชาตินี้คนกินเนื้อก็มีแต่โรคภัยร้ายแรงเบียดเบียนให้ได้รับทุกข์ทรมานเสียก่อนแล้ว
โทษของการกินเนื้อเพียงชาตินี้ ก็เห็นตำตาไม่ต้องรอให้ถึงชาติหน้า
ในโลกนี้เราอาจมียศฐาบรรดาศักดิ์ มีบ้านเรือนใหญ่โตโอ่อ่า มีทรัพย์สินเงินทอง มีสามี บุตร ภรรยา ข้าทาสชายหญิง มีที่อยู่ที่กินพร้อมบริบูรณ์ แต่ในโลกหน้าเล่า...เราเตรียมตัวให้บริสุทธิ์พร้อมบริบูรณ์แล้วหรือ? เราไม่เป็นหนี้เป็นสินใครแล้วหรือ?
เราทุกคนไม่ควรประมาท คนที่ไม่เชื่อเรื่องบาปเวรน่าจะคิดเผื่อเอาไว้ว่า หากบุญกรรมมีจริง นรกสวรรค์มีจริง โลกหน้ามีจริง เขาต้องไปชดใช้หนี้ จะต้องไปลำบากยากแค้นอย่างไรก็ไม่รู้ ควรป้องกันไว้ดีกว่า เมื่อเวลานั้นมาถึงตัว จะไม่มีทางแก้ไขได้เลยต้องก้มหน้ารับกรรมไปแต่เพียงอย่างเดียว....มันช่างน่าสลดรันทดใจเสียจริง ๆ
ผู้ปฏิบัติธรรมที่แท้จริงล้วนกินเจ
มีผู้ปฏิบัติธรรมบางท่านพูดว่า การปฏิบัติธรรมไม่จำเป็นต้องกินเจ ถ้าจิตใจดีก็สำเร็จธรรมได้ คำพูดเช่นนี้ก็คือ "หลงผิด"
คนที่จิตใจดีจริง จะทนเห็นเขาตายได้หรือ? จะทนได้ยินเสียงร้องคร่ำครวญขอชีวิตจากผู้ที่กำลังจะตายได้หรือ? หากทั้งรู้ ทั้งเห็น ทั้งได้ยิน แต่ไม่รู้สึกสะทกสะท้านเลย เขาจะเป็นคนที่จิตใจดีได้อย่างไร?
คนชนิดไหนกัน? ที่เห็นสัตว์ถูกฆ่าตายอย่างทารุณเพื่อเอามาเป็นอาหารให้ตนกิน โดยไม่รู้สึกสะดุ้งสะเทือนใจ
ความไม่เบียดเบียนกันเป็นหลักแห่งเมตตาธรรมอันสูงส่ง เรากินเลือดกินเนื้อสัตว์อยู่ทุกเมื่อเชื่อวันเป็นการเบียดเบียนใช่หรือไม่? ผู้ที่รับศีลมาปฏิบัติว่าจะไม่ฆ่าสัตว์ แต่ลิ้นของเขาก็ยังแปดเปื้อนคลุกเคล้าอยู่ด้วยเลือดเนื้อและชีวิตของสัตว์อยู่ชั่วนาตาปี จะถือว่าคนผู้นั้นยังมีศีลอยู่หรือไม่?
อาหารที่ได้จากการปล้นเอาชีวิตของผู้อื่นเขามา ไม่ใช่อาหารของผู้ปฏิบัติธรรมที่แท้จริง คนปฏิบัติธรรมกินอาหารที่ไม่วิ่งหนี ไม่ขัดขืนเท่านั้น ผู้ไม่ละเว้นเนื้อสัตว์คือผู้ขาดเมตตา หากยังคงเกี่ยวกรรมกับชีวิตของใคร ๆ อยู่ จะสำเร็จธรรมไปสู่นิพพานได้อย่างไร?
ไม่มีบาปใดจะร้ายแรงไปกว่า "ทำเนื้อเขาแยก เอากระดูกเขาแบ่ง" พิจารณาดูให้ดีว่ามันเป็นการกระทำที่โหดร้ายทารุณเพียงใดที่สัตว์ทั้งหลายเขามีชีวิตอยู่เป็นตัวเป็นตนสมบูรณ์ดี คนที่เอามีดไปเชือดให้ตายแล้วผ่าแยกร่างเขาออกจากกัน สับกระดูกเขาแบ่งออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย นั่งล้อมวงแย่งกันกินลงในกระเพาะของแต่ละคน เสร็จแล้วก็แยกย้ายกันไปคนละทิศคนละทาง แต่ถ้าเป็นคนแม้จะตายโดยอุบัติเหตุ ศพกระจัดกระจายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย คนก็ยังเรียกร้องให้เก็บหามารวบรวมไว้ให้ครบเป็นตัว พอได้เศษเนื้อสักชิ้นสองชิ้นก็พอใจถึงกับยอมนำไปเผาไปฝัง แต่กับสัตว์อื่น ๆ คนไม่เคยคิดถึงบ้างเลย
ฉะนั้นผู้บำเพ็ญธรรมที่แท้จริง ต้องไม่เข้าไปมีส่วนร่วมในการกระทำอันผิดมนุษยธรรมเช่นนั้นอย่างเด็ดขาด ไม่มีใครจะสามารถสำเร็จธรรมหลุดพ้นไปได้ หากยังคงมีหนี้สินเวรกรรม ฉะนั้นแม้จะเพียงเศษเสี้ยวธุลีเราจะต้องมิให้หลงเหลือติดค้างอยู่กับสัตว์ใด ๆ
"แม้โลกต้องถึงกาลวิบัติอับปางลง ไม่มีพืชผักหลงเหลือให้เรากิน หากไม่กินเนื้อสัตวืแล้วจะต้องอดตาย เราก็ยอมตายเพื่อดำรงความยุติธรรมให้คงเหลือไว้จนถึงที่สุด" นี่คือปณิธานอันมั่นคงที่สถิตสถาพรอยู่ในใจของคนกินเจ ซึ่งคนทั่วไปยากจะหยั่งรู้ได้
ผิดมากที่คิดว่า "คนเพียงคนเดียวจะทำอะไรได้" ทั้งนี้เพราะพลังศรัทธาอันแรงกล้าของคนเพียงคนเดียวก็สามารถส่องแสงสว่างนำทาง แก่จิตวิญญาณของเหล่าเวไนยสัตว์นับแสนนับล้านดวงให้เข้าสู่ความพ้นทุกข์ได้
กินเจทุกวัน คือ การทำบุญปล่อยสัตว์ทุกวัน
สาธุชนผู้ใจบุญ นิยมปล่อยนก ปล่อยปลา ฯลฯ ถือเป็นกุศลที่ให้ทานช่วยชีวิตผู้อื่น นับตั้งแต่โบราณมาแล้ว หากใครปล่อยสัตว์ชนิดใดไปก็จะต้องไม่กินสัตว์ชนิดนั้นอีกเลยจนตลอดชีวิต แต่ในปัจจุบันคุณธรรมความเชื่อถือนี้เสื่อมคลายไปจากใจคนทั้งหลาย เพราะคนส่วนใหญ่เมื่อปล่อยสัตว์ไปแล้ววันรุ่งขึ้นก็กลับมากินอีก บุญกุศลที่สร้างไว้จึงรั่วไหลไปหมดเหมือนตักน้ำใส่ชะลอม เขาย่อมไม่สามารถเก็บรักษาเอาบุญกุศลไว้ได้
วันที่คนทั้งหลายนิยมทำบุญสร้างกุศลปล่อยชีวิตสัตว์ได้แก่วันปีใหม่ วันคล้ายวันเกิด ถ้าคิดคำนวณดูให้ดีในปีหนึ่งก็มีเพียง ๒ - ๓ จะสามารถทำบุญสร้างกุศลปล่อยสัตว์ได้ไม่ถึง ๓๐ ชีวิต แต่ส่วนที่เหลืออีก ๓๐๐ กว่าวันต่างตั้งหน้าตั้งตากินชีวิตผู้อื่นเข้าไปทุกวัน รวมแล้วเป็นพัน ๆ หมื่น ๆ ชีวิต ฉะนั้น "กิน" กับ "ปล่อย" จึงดูไม่สมดุลกันเลย แต่คนที่กินเจได้ ๑ วันก็คือปล่อย ชีวิตสัตว์ตลอดวันนั้นทั้งวัน คนที่กินเจทุกวันก็ได้สร้างสมบุญกุศลปล่อยชีวิตสัตว์ทุกวัน ย่อมต้องดีกว่าแน่นอน
ปัจจุบันในวันพระหรือวันสำคัญทางศาสนา สาธุชนจำนวนมากเริ่มเห็นแจ้งในหลักธรรมความจริงว่า "การกินเป็นเหตุให้ผู้อื่นต้องตาย" จึงพากันงดเว้นเนื้อสัตว์หันมากินเจ บ้างก็จะนำเอาอาหารมังสวิรัติ อาหารเจไปถวายแด่พระผู้ทรงศีลนักบวช นักพรต ด้วยความเห็นชอบที่ว่า "ผู้ปฏิบัติธรรมที่แท้จริงล้วนเป็นเนื้อนาบุญของโลก การถวายอาหารเนื้อสัตว์แด่ผู้ปฏิบัติชอบเหล่านั้น จึงเปรียบเสมือนเอาต้นหญ้าต้นหนามไปปลูกในนาข้าวที่กำลังจะงอกงาม เป็นการนำเอาบาปเข้าไปปลอมปนในนาบุญ พุทธบริษัทไม่ควรกระทำเป็นอย่างยิ่ง"
การที่บรรดาสาธุชนทั้งหลายพร้อมใจกันปฏิบัติเช่นนี้โดยไม่มีใครมาบังคับ ก็เป็นเพราะทุกท่านต่างมีมโนธรรมอันสว่างเป็นประทีปส่องนำทางให้เกิดสติระลึกได้ถึงความถูกต้องเรียกว่า "สัมมาทิฐิ" นั่นเอง
การกระทำที่เกี่ยวกับชีวิตทุกอย่าง ไม่ว่าจะงดเว้นจากการฆ่า งดเว้นการกิน หรือบอกให้ผู้อื่นงดฆ่า งดกิน ถือเป็นมหากุศลที่ยิ่งใหญ่ที่สุด การทำบุญอย่างอื่น ๆ มีผู้ใจบุญทำกันมากมายทั่วบ้านทั่วเมืองทั่วประเทศ แต่การทำบุญโดยเลิกกินเลือดเนื้อสัตว์ ยังมีผู้ทำน้อยเหลือเกิน
เหตุฉะนั้นจึงขอเชิญชวนทุกท่านและคนใกล้ชิดรอบข้างท่าน มาร่วมเดินทางสู่สวนสวรรค์สำหรับคนกินเจซึ่งยังคงมีที่ว่างอยู่อีกมาก เพื่อเราจะได้มีชีวิตอยู่ในดินแดนแห่งสันติสุขอย่างพร้อมหน้าพร้อมตาด้วยกันทุกคน
หลงติดอยู่ใน "ความอร่อยลิ้น" จะนำไปสู่ความวิบัติ
ผู้มีความรู้มากมายแม้จะได้ศึกษาเหตุและผลของ "การกินเจ" อย่างละเอียดทุกแง่มุม ได้ยินได้ฟังมาก็มากแต่ท้ายที่สุดก็ยังไม่สามารถเลิกกินเนื้อสัตว์ได้มันเป็นด้วยเหตุใดกันเล่า? สาเหตุประการสำคัญอย่างหนึ่งเป็นเพราะว่าต่างพากันหลงติดอยู่ใน "ความอร่อยลิ้น" ของตนนั่นเอง
มีนักบุญท่านหนึ่งได้คำนวณเอาไว้ว่า ในชีวิตของคน ๆ หนึ่งที่มีชีวิตอยู่จนถึงอายุ ๖๐ ปี เขาจะต้องกินวัวควายกว่า ๓,๐๐๐ ตัว เป็ดไก่ ๒๐,๐๐๐ ตัว ปลาถึง ๒๐๐,๐๐๐ ตัว เห็นจำนวนตัวเลขนั้นแล้วน่าตกใจที่คนเรามีชีวิตอยู่คนเดียวจะต้องล้างผลาญชีวิต วัว ควาย เป็ด ไก่ ปลา และสัตว์ต่าง ๆ ไปเสียมากมายก่ายกองเช่นนี้!!!
"อย่าเห็นแก่ความอร่อย โดยที่ความอร่อยนั้นได้มาจากการทำลายชีวิตผู้อื่น" เราได้รับผลจากการกินเนื้อเพียงความพอใจที่ "ลิ้น" ซึ่งมีความยาวแค่ ๓ นิ้วเท่านั้น แต่ชีวิตของสัตว์ต้องคอขาดบาดตายถูกฆ่าอย่างทุกข์ทรมานยิ่งยวด ช่างไม่คู่ควรกันเลย!!!
มนุษย์ได้พยายามคิดค้นประดิษฐ์สิ่งต่าง ๆ ทางวิทยาศาสตร์ให้ปรากฎขึ้นแก่โลกอย่างมากมาย เช่น ไฟฟ้า วิทยุ โทรศัพท์ รถยนต์ เครื่องจักร ฯลฯ แต่จะบังคับลิ้นอันนิดเดียวให้เสพอาหารธรรมชาติที่ถูกต้องสมควร แล้วสละความอร่อยที่เต็มไปด้วยพิษภัยและความตาย เพื่อสุขภาพอนามัยและศีลธรรมเท่านี้ทำไม่ได้เลยเชียวหรือ?
มนุษย์ใช้ความรู้ความฉลาดจับสัตว์ไม่ว่าจะอยู่บนพื้นดิน ในน้ำ บนอากาศ และแม้กระทั่งที่อยู่ในรู มนุษย์ก็พากันขุดคุ้ยขึ้นมากิน เพื่อบำรุงบำเรอปากลิ้นของตน หนักเข้าก็ลุกลามไปจนถึงฆ่าเพื่อความสนุกบันเทิง สนองอารมณ์มนุษย์ ยิ่งกินเนื้อมากก็ยิ่งดุร้ายมากขึ้น จนไม่มีขอบเขตไม่มีอะไรในโลกที่น่ากลัวเท่ากับความดุร้ายของมนุษย์ มนุษย์หลงมอมเมาตัวเองด้วยการกินเนื้อ เป็นเหตุให้จิตใจเต็มไปด้วยราคะ โทสะ โมหะ โลภมากอยากใหญ่มุ่งรุกรานแย่งชิงแผ่นดินของผู้อื่น คอยคิดแต่จะสร้างอาวุธร้ายแรงใหม่ ๆ ขึ้นมาทำสงครามย่ำยีประหัตประหารซึ่งกันและกัน
เมื่อจิตใจของมนุษย์ตกต่ำถึงเพียงนี้ ทุกคนพากันสะสมบาปเวรไว้คนละมาก ๆ ย่อมเป็นมูลเหตุบันดาลให้โลกธาตุวิปริต ธรรมชาติแปรปรวน น้ำท่วม แผ่นดินไหว เกิดภัยพิบัติร้ายแรงนานัปการ ดังที่ปรากฎอยู่เช่นทุกวันนี้
แท้จริงแล้วโลกใหม่อันบริสุทธิ์สดใส โลกในอุดมคติของมนุษยชาติ โลกที่ไม่เบียดเบียนซึ่งกันและกัน กำลังรอท่านอยู่เพียงแต่ท่านยอมสละสิทธิ์การกินอันไม่ชอบธรรมเหล่านั้นเสีย
ลิ้นของมนุษย์ได้ทำให้เกิดความทุกข์ยาก คอขาดบาดตายบ้านแตกเมืองตื่นทำลายตัวเองและสรรพสัตว์ทั้งหลายมาชั่วกัปป์ชั่วกัลป์แล้ว เราจะมัวมานิยมชมชื่นตามใจลิ้นเพื่อ "ความอร่อย" กันอยู่ทำไม
งดกินเนื้อสัตว์ คือ การแผ่เมตตาที่สูงสุดอยู่ทุกขณะจิต
ศาสนาทั้งหลาย แม้จะแตกต่างกันด้วยขนบธรรมเนียมจารีตประเพณีและพิธีกรรม แต่สิ่งหนึ่งที่เหมือนกันก็คือ ทุกศาสนาสอนให้ยึดถือความเมตตาเป็นหลัก ไม่เบียดเบียนไม่ทำร้ายกัน ให้มนุษย์และสรรพสัตว์อยู่ร่วมกันอย่างสงบสันติ คุณธรรมข้อนี้เป็นหลักใหญ่ที่สำคัญที่สุด อันจะค้ำจุนโลกนี้ให้บังเกิดสันติสุข ไม่ว่าชนชาติใดภาษาใด ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนในโลก จะนับถือศาสนาหรือไม่ก็ตาม ล้นไม่ชอบให้ตนถูกเบียดเบียน ไม่ชอบให้ตนถูกฆ่า แต่ทำไมไปฆ่าไปเบียดเบียนผู้อื่น
"ขอให้สรรพสัตว์ทั้งหลายผู้เป็นเพื่อนร่วมเกิดแกเจ็บตายจงเป็นสุข เป็นสุขเถิด จงละการจองเวรซึ่งกันและกัน อย่าเบียดเบียนซึ่งกันและกันเลย จงรักษาตนให้พ้นจากทุกข์ภัยทั้งหลายทั้งปวง และให้ถึงที่สุดแห่งทุกข์ยังแดนนิพพานโดยถ้วนทั่วพร้อมเพรียงกันทุกรูปทุกนามเทอญ"
คำแผ่เมตตานี้ ชาวพุทธทั้งหลายท่องจำกันได้หมดแต่จะมีสักกี่คนที่ทำได้ดังคำที่ตนพูด มีอยู่มากมายเหลือเกินที่กำลังท่องคำแผ่นเมตตาอยู่ทั้ง ๆ ที่ในปากของเรายังมีเศษเนื้อติดอยู่ที่ฟัน ไม่ว่ามนุษย์หรือสัตว์ เศรษฐีหรือยากจก สัตว์เล็กหรือสัตว์ใหญ่ ที่เกิดมาในโลกนี้ล้วนต้องแก่ ต้องเจ็บและท้ายที่สุดก็ต้องตายเสมอเหมือนกันหมดไม่มียกเว้น จึงเรียกว่าเป็นเพื่อนผู้ร่วมเกิด แก่ เจ็บ ตาย เหตุนี้จึงไม่ควรเบียดเบียนทำร้ายเข่นฆ่าซึ่งกันและกัน
เพื่อนประเภทไหนกัน? ที่ปากพูดคำหวานขอให้เพื่อนเป็นสุข อย่าเบียดเบียนกัน แต่ก็ยังกินเนื้อเพื่อนเข้าไปได้ เพื่อนอย่างนี้ก็คือ "เพื่อนทรยศ" นั่นเอง กินเลือดกินเนื้อเขาแล้วก็แผ่เมตตาให้ เสร็จแล้วต่อไปก็กินอีก หากเป็นเช่นนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับการที่เราตบหน้าเพื่อนหนึ่งที แล้วก็บอกว่า "ขอโทษ" แล้วก็ตบอีกหนึ่งที แล้วก็ขอโทษอีกเป็นอย่างนี้เรื่อย ๆ ไม่หยุดเขาจะรู้สึกอย่างไร? และถ้าเป็นตัวเราถูกกระทำเช่นนั้นบ้างจะรู้สึกอย่างไร?
เวไนยสัตว์ทั้ง ๓ ภพ ต่างวนเวียนเกิด ๆ ตาย ๆ ไม่อาจหลุดพ้น หากคนใดรูปใด นามใด มีรากบุญกุศลที่ได้สร้างสมมาแล้วในอดีตเป็นแรงหนุนให้ได้รู้จักรีบเร่งบำเพ็ญธรรมให้ทันเวลาจนสามารถพ้นเกิดตายได้ ก็นับว่าเป็นมหากุศลอันยิ่งใหญ่
ฉะนั้นเวไนยสัตว์ทั้งหลาย ต่างก็มุ่งสู่ที่หมายเดียวกันคือ "พ้นทุกข์" จึงควรให้ความอนุเคราะห์เกื้อกูลเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ซึ่งกันและกัน ให้สมกับคำแผ่เมตตาที่เราทั้งหลายท่องกันอยู่ทุกวันนี้จนขึ้นใจเถิด
โลกนี้กว้างใหญ่ไพศาลพอที่มนุษย์จะแยกย้ายกันออกไปแสวงหาความสุขตามธรรมชาติของตนและใช่ว่าจะเพียงพอสำหรับมนุษย์เท่านั้นก็หาไม่ โลกนี้ยังกว้างใหญ่มากพอที่จะปล่อยให้สัตว์ทั้งหลายอยู่อย่างมีความสุขตามประสาของเขาได้ด้วย โลกจะดูเล็กลงทันที หากจิตใจของคนเรามีแต่ความคับแคบเห็นแก่ตัว
ความสงบสุขที่แท้จริงจะเกิดได้จากการกินการอยู่อย่างไม่เบียดเบียนกันเท่านั้น ที่ใดไม่มีการเบียดเบียน ที่นั่นก็คือ "สวนสวรรค์ บนแผ่นดิน"
ดังนั้นเราทุกคนก็สามารถที่จะสร้างสวนสวรรค์ขึ้นมาได้โดยไม่ต้องมีที่ดินแม้แต่สักฝ่ามือเดียว จงสร้างมันขึ้นในใจของเราเองนั่นแหละ ใจที่ไม่คิดเบียดเบียน ใจที่เปี่ยมด้วยเมตตากรุณาคือสวนสวรรค์ของมนุษย์และสรรพสัตว์ทั้งปวง
ขอให้เราทุกคนร่วมกันแผ่เมตตาจิตให้แก่สรรพสัตว์ทั้งหลายเพื่อจะได้อยู่ร่วมกันอย่างเป็นสุขเป็นสุขด้วยกันเถิด จงใช้จิตแห่งความมีเมตตาจุดเปลวไฟอันสว่างไสวและร้อนแรงขึ้นเผาผลาญกิเลสตัณหา ความอยากทั้งหลาย ให้มอดไหม้หมดสิ้นไปในกองเพลิงแห่งมหาเมตตานั้นโดยพร้อมเพรียงกันทุก ๆ ท่านเทอญ
ด้วยความเคารพในทุกท่าน
BabyAstro
คัดลอกจากบทความของคุณ BabyAstro จากบอร์ด www.payakorn.com