๒.สะเดาะเคราะห์วันสำคัญของชาติหรือศาสนา เป็นการเอ่ยอ้างอัญเชิญอานุภาพพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ตลอดจนพระบารมีของพระมหากษัตริย์และเทพาอารักษ์ผู้ศักดิ์สิทธิ์ ให้มาช่วยขจัดปัดเป่าสิ่งชั่วร้ายหรือเรื่องเลวร้ายที่เกิดขึ้นให้อันตรธานไปสิ้น พร้อมทั้งช่วยปกปักรักษาอภิบาลและคุ้มครองให้มีแต่ความสุขสมร่มเย็นตลอดไป
๓.สะเดาะเคราะห์วันสงกรานต์ นิยมทำพร้อมกับการทำบุญอุทิศให้บรรพบุรุษ พ่อแม่ ปู่ย่า ตายายที่เสียชีวิตแล้ว ให้ท่านเหล่านั้นอำนวยอวยพรขับไล่เสนียดจัญไรไม่ให้เข้ามาย่ำยีลูกหลาน
๔.สะเดาะเคราะห์วันส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ เชื่อว่าเป็นการแก้ไขสิ่งที่ไม่ดีในหนึ่งปีที่ผ่านมาให้ดีขึ้น เพิ่มความดีให้กับดวงและเสริมสง่าราศีสร้างเคล็ดส่งชีวิตสู่สูตรแห่งความสำเร็จ พร้อมกับการเริ่มต้นวันขึ้นปีใหม่ของทุกปี โดยเชื่อกันว่า เมื่อคนเราเริ่มต้นได้ดี ก็จะทำให้ชีวิตมีความสุข และประสบความสำเร็จในทุกๆ ด้านตลอดทั้งปีต่อไปอย่างแน่นอน
วิธีการสะเดาะเคราะห์ มีคนจำนวนไม่น้อยที่ได้รับคำแนะนำจากผู้รู้ ให้ทำการสะเดาะเคราะห์ ด้วยวิธีการจัดหา เครื่องสักการะและอุปกรณ์ต่างๆ มาใช้ในพิธี ไม่ว่าจะเป็นการค้ำโพธิ์ค้ำไทรของภาคกลาง ค้ำโพธิ์ค้ำไฮ อันเป็นประเพณีนิยมทางภาคเหนือ หรือภาคอีสานก็ตาม หรือการจัดเครื่องสักการะดอกไม้หรือพวงมาลัย ธูป เทียนตั้งบูชาพระเคราะห์ประจำทิศและเพื่อบูชาพระประจำวันเกิด พร้อมทั้งมีการสวดพระคาถาสะเดาะเคราะห์มีกำหนดตามอายุหรือตามกำลังวัน
บางคนก็ถือโอกาสทำบุญใส่บาตร บริจาคเป็นทาน ปล่อยสัตว์ให้ชีวิตเป็นทาน สวดมนต์ไหว้พระและนั่งสมาธิ
แต่ปัจจุบันก็ยังมีผู้ให้ความสนใจนิยมปฏิบัติอยู่เป็นประจำ บางคนเห็นว่าเป็นช่วงที่ดวงตกมากๆ เช่น งานมีอุปสรรค ธุรกิจมีปัญหา รักร้าว การเงินขัดข้อง เจ็บป่วยบ่อยๆ เพื่อให้ชีวิตและความเป็นอยู่ดีขึ้นถึงกับนิมนต ์พระมาเจริญพระพุทธมนต์เป็นการสะเดาะเคราะห์ ต่ออายุให้เป็นเรื่องเป็นราวเลย ก็มี โดยถือแบบอย่างมาแต่โบราณคือ
ในสมัยพุทธกาล มีเรื่องกล่าวไว้ว่า พราหมณ์หนุ่มชาวเมืองทีฆลัมพิกา ๒ คน พากันออกบวชในลัทธิหนึ่งนอกพระพุทธศาสนา เที่ยวบำเพ็ญตบะตามลัทธิของตนอยู่นานถึง ๔๘ ปี
ต่อมาพราหมณ์คนหนึ่งคิดว่า "ถ้าเรายังคงบวชอยู่อย่างนี้ คงไม่มีใครสืบสกุลแน่ ทางที่ดีเราควรสึกไปมีครอบครัวน่าจะดีกว่า"
จากนั้นก็ได้สึกออกมามีครอบครัว สร้างเนื้อสร้างตัวจนมั่นคงดี ต่อมาภรรยาก็ท้องและคลอดบุตรเป็นทารกชาย
ส่วนสหายที่บวชไม่สึก เที่ยวไปในที่ต่างๆ พอสมควรแล้วก็เดินทางกลับมาสู่เมืองนั้น พอเขารู้ว่าเพื่อนเดินทางมาถึงก็พาภรรยาพร้อมด้วยบุตรชายไปเยี่ยม
ในระหว่างที่เขากับภรรยาไหว้ เพื่อนก็พูดให้พรว่า "ขอให้ท่านจงมีอายุยืน" แต่พอเขาอุ้มลูกเข้าไปให้ไหว้เพื่อนกลับนิ่งเงียบไม่พูดจาอะไรเลย เขาเห็นผิดสังเกตจึงถามเพื่อนว่า "ท่าน เพราะเหตุใด เวลาเรากับภรรยาไหว้ ท่านพูดให้พรขอให้อายุยืน แต่พอลูกชายของเราไหว้บ้างท่านกลับนิ่งเฉย" พรามณ์บอกว่า "เด็กคนนี้จะเกิดอันตรายถึงกับต้องเสียชีวิต"
เพื่อนจึงถามพราหมณ์ว่า "เขาจะมีชีวิต อยู่ได้นานเพียงใด" พราหมณ์ตอบว่า "เพียง ๗ วันเท่านั้นเอง" "มีทางแก้ไขหรือไม่" เขาถามต่อ พราหมณ์ตอบว่า "เราไม่รู้ ท่านลองเข้าไปถามพระสมณโคดมดูสิ ท่านอาจได้คำตอบที่น่าพอใจก็ได้"
เพราะความรักที่มีต่อลูก เขาจึงเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าและ ทูลถามข้อข้องใจ พระพุทธเจ้าตรัสเหมือนที่พราหมณ์พูดไว้ไม่มีผิด เขาจึงทูลถามถึงวิธีแก้ไขกับพระองค์
พระพุทธเจ้ามีพระดำรัสว่า "ยังพอแก้ไขได้ ให้ท่านสร้างมณฑปบริเวณใกล้ๆ ประตูบ้าน แล้วตั้งโต๊ะไว้ตรงกลางปูอาสนะไว้รอบๆ โต๊ะ จำนวน ๘ หรือ ๑๖ ที่ ก็ได้ จากนั้นให้พระสาวกของเราหมุนเวียนมานั่งที่อาสนะ และสวดพระปริตรตลอดระยะเวลา ๗ วันไม่หยุด เมื่อทำได้อย่างนี้ บุตรชายของท่านก็จะไม่มีอันตรายใดๆ"
พราหมณ์ได้ปฏิบัติตามคำแนะนำทุกประการ ตลอดระยะเวลา ๗ วันที่พระสงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้ามานั่งสวดพระปริตร วันสุดท้ายพระพุทธองค์เสด็จมาที่มณฑลพิธี ทำให้เทวดาในจักรวาลทั้งหมด มาร่วมประชุมพร้อมกัน เพื่อรับเสด็จพระพุทธองค์
ในสัปดาห์นั้นเอง อวรุทธกยักษ์ ซึ่งมีหน้าที่ปรนนิบัติท้าวเวสสุวรรณ มานานถึง ๑๒ ปี ได้รับพรจากท้าเวสสุวรรณว่า "จากวันนี้ไปอีก ๗ วัน ให้ท่านจับเด็กคนนี้กินได้" (ลูกของพราหมณ์) ในระหว่างที่พระนั่งสวดพระปริตรถึง ๗ วัน อวรุทธกยักษ์ก็มายืนรออยู่ แต่พอพระพุทธองค์เสด็จมาถึงเขตมณฑลนั้น พวกเทวดาผู้มีศักดิ์ใหญ่มาเข้าเฝ้า เทวดาผู้มีศักดิ์น้อยต่างก็ต้องร่นถอยออกไปไกล ไม่มีแม้แต่โอกาสที่จะเข้าเฝ้า ส่วนอวรุทธกยักษ์ยิ่งต้องถอยห่างออกไปไกล จนไม่สามารถเข้าใกล้เขตมณฑลพิธีได้เลย จนเวลาผ่านไปครบ ๗ วัน เห็นว่าไม่มีหวังและพ้นกำหนดพรของท้าวเวสสุวรรณแล้วจึงหนีกลับไป
ในคืนวันสุดท้าย แม้พระพุทธองค์ก็ทรงร่วมทำพระปริตรจนสว่าง เมื่อเห็นว่าผ่านเลย ๗ วันแล้ว พราหมณ์จึงได้อุ้มบุตรชายเข้ามาไหว้พระพุทธองค์อีกครั้ง เขาตื่นเต้นและดีใจมากที่พระพุทธเจ้ามีพระดำรัสว่า "ขอให้เจ้าจงมีอายุยืนเถิด"
"ทารกจะมีอายุยืนเพียงใดพระเจ้าข้า" พราหมณ์ทูลถามพระพุทธเจ้า พระองค์ทรงตอบว่า "เขาจะมีอายุยืนถึง ๑๒๐ ปี" พราหมณ์สองสามีภรรยาได้ตั้งชื่อบุตรว่า "อายุวัฒนกุมาร" และต่อมาพวกเขาก็หันเข้ามานับถือพระพุทธศาสนา
ครั้นอายุวัฒนกุมารเจริญเติบโตแล้ว ก็เข้ามาบวชในพระพุทธศาสนาและบรรลุเป็นพระอรหันต์ในที่สุด
จากเรื่องราวนี้ ทำให้ชาวพุทธถือเป็นแบบการสะเดาะเคราะห์ต่อชะตาที่ถูกต้องตามหลัก และได้รับการสืบทอดถือปฏิบัติมาจนถึงปัจจุบัน แต่การสะเดาะเคราะห์ต่อชะตาในสมัยพุทธกาล เน้นเป็นพิเศษเกี่ยวกับพลังพุทธมนต์และพลังของพระปริตรที่สวดตลอดระยะเวลาที่กำหนดไว้
อีกอย่างหนึ่งก็คือ การที่อวรุทธกยักษ์ไม่สามารถ เข้าจับทารกกินได้ นอกจากอำนาจของพระปริตร ที่พระสงฆ์กำลังสวดอยู่แล้ว ก็เป็นเพราะอานุภาพของพระพุทธเจ้าด้วย คือในวันที่ ๗ ระหว่างที่พระพุทธองค์เสด็จมาถึง ก็มีเทวดาหลายๆ ระดับชั้นพากันเข้าเฝ้า ทำให้อวรุทธกยักษ์ไม่สามารถหาโอกาสเข้ามาจับทารกไปกินได้เลย
ปัจจุบันกาลเวลาผ่านเลยไปถึง ๒,๕๔๗ ปี พระพุทธองค์พร้อมด้วยพระอริยสาวกก็ปรินิพพานแล้ว คงเหลือสมมติสงฆ์และพุทธศาสนิกชนที่ช่วนกันทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาให้ดำรงคงอยู่ต่อไป
ดังนั้น หากต้องการทำพิธีสะเดาะเคราะห์ต่อ ชะตาให้ได้ผลจริงๆ นอกจากมีการจัด เตรียมเครื่องสักการะดอกไม้ ธูปเทียน และอื่นๆ ตลอดจนนิมนต์พระมาเจริญพระพุทธมนต์และ สวดพระปริตรตามประเพณีนิยม อย่างถูกต้องแล้ว สิ่งที่ไม่ควรมองข้ามเลยนั่นก็คือ ต้องทำความเข้าใจให้ถูกต้องว่า
เคราะห์ คือ กรรมชั่วหรือบาปที่เคยทำไว้และตามมาให้ผลในปัจจุบัน ทำให้ประสบกับชะตากรรม อันเลวร้ายเป็นทุกข์
ส่วนโชค คือบุญหรือความดีที่ทำมาแต่อดีตตามมาให้ผลทันในปัจจุบัน ทำให้ชีวิตนี้มีแต่ความสุข ประสบแต่ความสำเร็จ และจำให้ขึ้นใจว่า
การสะเดาะเคราะห์ คือการแก้กรรม โดยวิธีการละชั่ว คือแก้กรรมใหม่ หันมาทำแต่กรรมดีพร้อมกับ รักษากรรมดีความดีเอาไว้ให้ได้ และหมั่นชำระล้างจิตใจให้ใสสะอาด ไม่มีสิ่งที่จะมาทำให้เศร้าหมองอีกต่อไป เพียงเท่านี้ก็ถือว่า ได้สะเดาะเคราะห์ต่อชะตาที่ถูกต้องแล้ว
พิธีสะเดาะเคราะห์ เสริมบารมี ของวัดไผ่ล้อม
วัดไผ่ล้อม อ.เมือง จ.นครปฐม ได้จัดให้มีพิธีกรรมสะเดาะเคราะห์ เสริมบารมี ในวันที่ ๓๑ ธันวาคม ของทุกปี จนเป็นประเพณี สำหรับปีนี้วันส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ตรงกันวันศุกร์ที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๔๗
เริ่มพิธีเวลา ๑๔.๔๕ น. พระมงคลสิทธิการ (พูล) เจ้าอาวาสวัดไผ่ล้อม จุดธูปเทียนบูชาพระรัตนตรัย จุดเครื่องทองน้อยบูชาบูรพาจารย์ บุพการี และผู้มีพระคุณ ตลอดจนเจ้ากรรมนายเวร พระสงฆ์สวดมาติกาบังสุกุล หลวงพ่อพูลทอดผ้าไตร พระสงฆ์บังสุกุล อนุโมทนา กรวดนํ้า
เวลา ๑๕.๔๕ น. พระสงฆ์ทรงสมณศักดิ์นั่งประจำอาสนะ เจ้าหน้าที่อาราธนาศีล ประธานสงฆ์ให้ศีล เจ้าหน้าที่อ่านประกาศพระบรมราชโองการ พระสงฆ์เจริญชัยมงคลคาถา เจ้าหน้าที่อ่านประกาศแต่งตั้งฐานานุกรม พระมงคลสิทธการ (พูล) มอบใบแต่งตั้ง พัดยศ ผ้าไตร แก่พระฐานานุกรม พร้อมถวายเครื่องสักการะแด่พระมงคลสิทธิการ (พูล) พระสงฆ์เจริญพระพุทธมนต์ สมโภชสัญญาบัตร พัดยศ ถวายเครื่องจตุปัจจัยไทยธรรม
เวลา ๑๘.๑๙ น. พราหมณ์ประกอบพิธีบวงสรวงเทพยดานพเคราะห์ทั้ง ๙ พระองค์ บูชาฤกษ์ พระมงคลสิทธิการ (พูล) จุดเทียนชัย พราหมณ์ประกอบพิธีบูชาพระนพเคราะห์ทั้ง ๙ พระองค์ พระเถราจารย์นั่งบริกรรมคาถาสะเดาะเคราะห์ เสริมบารมีแก่ผู้มาร่วมในพิธี จบแล้ว ประพรมนํ้าพระพุทธมนต์ ส่งท้ายปีเก่า รับพรปีใหม่ เสริมชะตาบารมี พระสงฆ์เจริญชัยมงคลคาถา เป็นเสร็จพิธี
ผู้เข้าร่วมพิธีในครั้งนี้ ทางวัดจะแจกภาพโปสเตอร์สี่สีหลวงพ่อพูล ขนาด ๑๒X๑๗ นิ้ว และเหรียญพระบรมสารีริกธาตุฟรีทุกคน |
เรื่องและภาพ ไตรเทพ สุทธิคุณ ที่มานสพ.คม ชัด ลึก