ขอขอบคุณ คุณนริศรา ที่เอื้อเฟื้อหนังสือ
นามนี้ ดีไฉน
อ.อรุณ ลำเพ็ญ - หมอเถา(วัลย์)
บ่ายวันนี้บนกุฏิหลวงตาชื้นเต็มไปด้วยผู้คนมากหน้าหลายตา ล้วนแต่เป็นแขกต่างจังหวัด ที่มากันเป็นคณะโดยเช่ารถยนต์สองแถวมา ผู้นําคณะชื่อหมอเส็งเป็นผู้มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักกันกว้างขวางหลายจังหวัด ในฐานะหมอยาแผนโบราณผู้มีชื่อเสียง เขาเป็นชายรูปร่างเล็กเกร็ง แต่เสียงดังทั้งพูดและหัวเราะ อายุย่าง 60 ปี แต่เดิมเคยไปมาหาสู่คุ้นเคยกับเจ้าคุณใหญ่อาจารย์ของหลวงตาชื้น
.png)
จึงพลอยมีความรู้จักมักคุ้นกับหลวงตาต่อเนื่องมาในปัจจุบัน เขานั่งคุยถึงความเจริญรุ่งเรืองในชื่อเสียงและเกียรติคุณของตนเองมากกว่าเรื่องของคนอื่น และคณะที่ร่วมมากับเขาก็ดูจะยกย่องยิ้มหัวพออกพอใจ หมอเถา ครูก้อน ครูสมศักดิ์ถือว่าตนเป็นศิษย์เจ้าสํานัก จึงเจียมตัวนั่งแอบข้างฝากุฏิตัวลีบ ข้างหลวงตาถึงแม้จะเคยได้ยินชื่อเสียงอันน่านับถือของหมอเส็ง แต่มีความรู้สึกตรงกันทั้งสี่คน คืออึดอัดต่อคํายกย่องตนเองอย่างสูงของหมอเส็ง ฟังเหมือนจะยกตนข่มผู้อื่นอวดบริวารที่มาด้วย หมอเส็งคุยเรื่องของตนเองมากมายหลายเรื่องแล้วก็หันมาพูดถึงเรื่องธุระที่ตนตั้งใจมาหาหลวงตาชื้น
“ท่านผู้ว่าที่จังหวัดผมได้ลูกชายคนแรก ท่านขอให้ตั้งชื่อ เพราะได้ยินกิตติศัพท์หลวงตา อันที่จริงผมเองก็พอจะทําให้ได้แต่เห็นว่า หลวงตาให้ชื่อจะเกิดสิริมงคลกว่า เพราะเป็นสงฆ์”
เถ้าแก่ร้านชําที่พาลูกพาเมียมาครบคนก็เอ่ยขึ้นบ้าง
“ผมก็อยากดูดวงชะตาว่าเมื่อไหร่จะรวยเป็นเศรษฐีสักที และเมียเขาก็อยากจะดูว่า เมื่อไหร่จะได้ลูกชายสักคน ลูกสาวผมก็อยากจะดูเรื่องแฟนๆครับ”
หมอเถานั่งนึกในใจว่า ทําไมไม่ขนเอาปู่ยาตายายมาดูว่าเมื่อไร ถึงจะตายเสียด้วยหนอ หลวงตาชื้นจุดบุหรี่ใบตองสูบสีหน้ายิ้มๆ
“เรื่องตั้งชื่อนั้นคงไม่ขัดข้อง แต่การตรวจดวงชะตาเห็นจะต้องขอตัวไว้ก่อน”
เถ้าแก่สีหนาสลด นึกไม่ถึงว่าจะได้ยินคําปฏิเสธตรงๆ เหลียวดูหน้าหมอเส็งซึ่งเป็นผู้ชวนมา หมอเส็งเกรงเสียหน้าตัวเองจึงพูดสนับสนุน
“หลวงตากรุณาสงเคราะห์แกด้วยเถอะครับ เขาเคยได้ยินชื่อเสียงของหลวงตามามาก ผมก็ดูให้เขาอยู่บ้าง แต่เขาอยากสอบให้แน่อีกทีว่าจะตรงกันหรือไม่”
ทั้งหมอเถาและสองครูฟังแล้วคิดตรงกันว่า มันรู้สึกคันๆหัวใจบอกไม่ถูก นึกในใจว่าเดี๋ยวคงโดนดีของหลวงตาแน่ จริงอย่างที่คิด หลวงตาสีหน้ายังยิ้มพ่นควันบุหรี่ แต่น้ำเสียงที่พูดหนักแน่นจริงจัง
“อาตมาดูหมอแต่เฉพาะคนที่มีทุกข์เดือด้รอนมาเท่านั้น เงินทองก็ไม่เอา บุญคุณก็ไม่เอา ชื่อเสียงก็ไม่ต้องการ เอาแต่กุศลที่ได้ช่วยทุกข์เขา ไม่เหมือนหมอยา ถ้าเขาให้สินจ้างรางวัลป่วยหรือไม่ป่วยก็รีบรักษา หมอดูหมอยานั้นไม่เหมือนกัน วิชาโหราศาสตร์อาตมาถือเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เคารพ ถ้าเราจะมาใช้กันเล่นๆสนุกๆก็จะไม่สมควร”
หมอเส็งขยับจะพูดอ้อนวอน แต่หลวงตาโบกมือห้ามไว้
”อีกประการหนึ่งอาตมารับนิมนต์สวดมนต์เย็นเขาไว้จะมีเวลาไม่พอ ถ้ามีธุระจริงและมากันไกล ให้หมอเถาลูกศิษย์ของอาตมาคงจะช่วยสงเคราะห์ได้” หมอเส็งเหลียวดูหน้าศิษย์ทั้งสามของหลวงตา ไม่แน่ใจวาคนไหนคือหมอเถา จึงถามเปรย
“ออ! เป็นหมอดูหรือหมอยาละ” หมอเถายิ้มตอบเรียบๆ “เป็นหมอยาแต่มาเรียนเป็นหมอดูคะรับ”
หมอเส็งจองหน้าดูสารรูปที่แต่งกายพะรุงพะรังนึกดูถูก ยิ่งรู้ว่าเป็นอาชีพเดียวกัน ก็เลยถือโอกาสพูดแบบตัดไม้ข่มนามไว้ก่อน
“เป็นหมอยาคงจะเอาตัวไม่รอดกระมังจึงหันมาเอาดีทางหมอดู” หมอเถาทั้งโกรธทั้งอายจนหน้าแดง หันไปมองสบตาหลวงตา แล้วก็ไม่กล้าตอบโต้ เพราะเกรงใจว่าชอบพอกับอาจารย์จึงได้แต่จ้องหน้าเฉยอยู่ หมอเส็งเป็นคนพูดจาไม่เกรงใจคน จึงพูดต่อไปอีก อวดบารมีของตัวเอง
“เป็นหมอยาไทยมันต้องเรียนรู้มากกว่าหมอดู เช่น ต้องรู้รสแห่งยาทั้งหลาย รสขม,รสหวาน,รสเค็ม,รสเผ็ดร้อน มีสรรพคุณรักษาโรคอยางใด และต้องรู้สรรพคุณแห่งสมุนไพรนับตั้งแต่ใบ, ดอก,ผล, เปลือก, แก่น, และราก อย่างใดสงเคราะห์แก่โรคอะไร”
หมอเถาขัดใจขยับปากจะพูดบ้างแต่ก็คงงุ่มง่ามไม่ทันอ้าปาก หมอเส็งจึงถือโอกาสพูดต่อไปอีก
“ที่สําคัญก็คืออาการแห่งโรค ซึ่งจะต้องรู้ชนิดแม่นตาแม่นใจจริงๆ จึงจะรู้เล่ห์แห่งโรคที่จะรักษา ว่างๆไปหาที่บ้านซิ จะช่วยอบรมสั่งสอนให้ อาการโรคมันรอยแปดพันประการ คัมภีร์ท่วมหลังช้างทีเดียว”
หมอเถาอัดลมหายใจจ้องจะพูดเสียจนเหนื่อย พอได้ช่องก็รีบพูดเร็วปรื๋อกลัวถูกแย่งพูดอีก
“อาการแห่งโรค อาจารย์สอนว่ามีเพียง 3 ประการเทานั้น”
“เชอะ...” หมอเส็งหัวเราะก๊าก “เกิดมาพึ่งได้ยิน มิน่าละถึงเป็นหมอได้ง่ายๆ” ครูก้อนกับครูสมศักดิ์ใจหายวาบมองหน้าหมอเถาเพื่อนเกลอ นึกว่าปล่อยขี้เท่อออกไปเต็มเปา แต่ดูท่าหมอเถายิ้มกริ่มไม่สะดุ้งสะเทือนก็ยิ่งสงสัย
“ฟังให้ดีนะหมอเส็งคะรับ อาการแห่งโรคร้อยแปดนั้นมันกระพี้ แต่แก่นแท้ๆนั้นมี 3 ประการจริงๆ”
หมอเถาพูดขึงขังจนหมอเส็งต้องหยุดหัวเราะฟัง
“ประการที่หนึ่ง คือ โรคที่รักษาก็หาย ไม่รักษาก็หายคือ โรคที่มีสาเหตุเล็กๆน้อยๆ หยุดพักผ่อนนอนหลับไม่ต้องรักษามันก็หายเอง ประการที่สอง โรคที่รักษาจึงหายไม่รักษาตาย คือโรคที่ร้ายแรง แต่มีทางรักษาได้ ประการที่สาม โรคที่รักษาก็ตายไม่รักษาก็ตาย เช่น โรคร้ายแรงและยังไม่มีวิธีรักษา เช่น มะเร็ง เป็นต้น”
หมอเส็งนิ่งคอแข็งเถียงไม่ออก หลวงตาชื้นยิ้มปากกว้างจนเห็นเพดาน ครูสมศักดิ์ถูกใจหันมาตบเข่าครูก้อนและพูดดังๆเป็นนัยที่ไมมีใครรู้
“ผมเห็นจะต้องหาตับแร้งมากินมั่ง มันจะได้ฉลาดๆเหมือนหมอเถา” หมอเถาถือโอกาสตอนหมอเส็งนิ่งคิดจึงรีบพูดต่อ “ที่ว่าจะช่วยสอนให้นั้นขอขอบใจล่ะ แต่อื่นผมก็พอจะเรียนรู้มาบ้าง ถึงไม่มากก็พอกันผีหลอกได้บ้าง มาเจออาจารย์ดีอย่างหมอเส็งอยากจะเรียนรู้สิ่งเดียว คืออาการแห่งคนไข้จะเป็นหรือตาย เพราะจะได้รู้ว่าเขาเอาผีหรือเอาคนมาให้รักษา”
“เอ๊ะ หมอเถาพูดแปลก” หมอเส็งไม่กล้าหัวเราะอีก จ้องหน้าผู้พูด จะว่าพูดโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ตามรูปร่างหน้าตาโง่ๆที่เห็นอยู่ก็ไม่เชิง เพราะหมอเถายิ้มเป็นเลศนัยชอบกลอยู่”
“ไม่เคยได้ยินบ้างเลยหรือ หมอใหญ่อย่างหมอเส็งน่าจะเคยรู้แน่” หมอเถาเห็นท่าหมอเส็งงันอยู่เลยรุกใหญ่
“ก็เคยได้ยินมาบ้าง”
หมอเส็งอ้อมแอ้มรับคําไว้ก่อนกลัวเสียภูมิ ชักไม่สบายใจไม้รู้ว่าหมอเถาที่ตัวเองข่มไว้เมื่อกี้จะมาไม้ไหน หลวงตาชื้นยิ้มพรายออกมาพออกพอใจปัญญาศิษย์ที่คนทั้งหลายมักนึกว่าโง่เขลา จึงพูดเสริมขึ้นเป็นกลางๆ
“หมอเส็งน่าจะได้เรียนรู้นา เคยได้ยินหมอเถา มักเอ่ยถึงเสมอ เป็นคัมภีร์เก่าแก่”
หมอเส็งไม่นึกว่าจะถูกซักถามสิ่งที่ตนไม่เคยรู้มาก่อน แต่อาศัยไหวพริบกู้หน้าไว้ก่อน
“เคยได้ยินอาจารย์ท่านพูดถึงอยู่ ท่านว่าเป็นวิชาชั้นสูงของหมอโบราณ ท่านว่าจะสอนให้พอดีท่านเสียๆก่อน และหมอเถาจะมีปัญญาไปหาเรียนได้ที่ไหน อย่าหวังเลย”
หมอเถาดีใจที่หมอเส็งตกหลุมอย่างที่คิดไว้จึงนั่งยืดอกวางท่า ภาคภูมิแข่งรัศมีหมอใหญ่มั่ง
“คัมภีร์นี้ท่านเรียกว่า ตํารามรณญานสูตร เดิมท่านเขียนไว้เป็นภาษาบาลีบอกอาการและลางนิมิตแห่งคนไข้ขึ้นต้นด้วยคาถา ยทา จกาเล ก็ในกาลใด คิลาโน อันว่าคนไข้ปสฺสติได้ทอดทัศนาการ นิมิตฺตํ ซึ่งลางนิมิต นามปฺปกาเรน โดยประการต่างๆดังนี้
1. โลหิตวตฺถํ เห็นซึ่งคนมีผ้านุ่งผ้าห่มอันแดงดังโลหิต อาคตํ มาแล้วทางประตูหน้าต่าง หรือโดยช่องหลังคาก็ดี ปุริสํจ อนึ่งเห็นเป็นบุรุษแล้วกลับกลายเป็นสตรี สตรีกลับกลายเป็นบุรุษมากวักมือชักชวนร้องเรียก สุนฺทรวาจาย ด้วยวาจาอันสุนทรอ่อนหวาน อยมฺป อาการนี้ท่านกล่าวว่า นักการ คือ พระยามัจจุราชสําแดงให้รู้ไข้นั้นจะถึงมรณะเป็นแท้ บ่มิได้แปรผันเลย
2. รสฺจ นปฺปชานาติ อนึ่ง คนไข้นั้นบ่มิรู้อยู่ซึ่งรสอันเปรี้ยวหวานเค็มเผ็ดร้อนด้วยชิวหาประสาทของอาตมาก็ดี ผสฺสนปฺปชา นาติ บ่มิรู้อยู่ซึ่งผัสสะอุ่นร้อนเย็นกายด้วยกายประสาทของอาตมาก็ดี อถ วา ฟันแห้งคอแห้ง ณ กาลใด อยมฺป แม้อาการนี้ท่านกล่าวว่า ผู้ไข้นั้นจะมรณะในสองวันเป็นแท้
3. คนฺธฺจ นปฺปชานาติ อนึ่ง คนไข้นั้น บ่มิรู้อยู่ซึ่งกลิ่นอันหอม เหม็นต่างๆ ด้วยฆานประสาทของอาตมา และหายใจเข้าน้อยออกมาก และหายใจเข้ามากออกน้อย บ่มิสม่ำเสมอกันก็ดี อีกประการหนึ่ง ท่านให้ผู้ไข้นั้นเอานิ้วชี้กดหัวตาข้างขวา ดูถ้าแลมิเห็นหิ่งห้อยตาในการใด คือเพลิงธาตุของผู้นั้นขาดสูญไปเสียแล้ว อยมฺปแม อาการอันนี้ท่านกล่าวว่า ผู้ไข้นั้นจะมรณะในสามวันเป็นเที่ยงแท้
4. ตสฺส จ องคชาติ อนึ่งองคชาติของผู้ไข้นั้นหดเสีย จะปัสสาวะก็มิโชนออก คือ ปถวีธาตุของผู้นั้นขาดสูญไป อยมฺป แม้อาการอันนี้ท่านกล่าวว่า ผู้ไข้นั้นมรณะในห้าวันเป็นเที่ยงแท้แล
5. โส จ คิลาโน อนึ่งให้คนไข้นั้นหลับตาซ้ายลืมตาขวาลืมตาดู ปลายจมูกของอาตมาเอง สเจ ถ้าว่าเห็นสีดําแดงไซร้ท่านว่าจะเป็นไข้หนักมาก ถ้ามิได้เห็นปลายจมูกอาตมาเองไซร้ อยมฺปแมอาการอันนี้ ท่านกล่าวว่า ผู้ไข้นั้นจะมรณะในเจ็ดวันเป็นเที่ยงแท้แล
6. โส จ คิลาโน ให้คนไข้นั้นยกมือขึ้นหว่างคิ้วของอาตมาเอง แล้วชอนตาดูข้อมือของตนเองทั้งสองตา ผิเห็นคอดเรียวอยู่เป็นปกติ ท่านว่าบ่มิเป็นไร ผิว่าขาดออกไปจากกันท่านว่าจะมรณะในเจ็ดวัน ถ้าแลข้อมือนั้นใหญ่โตเท่าเท้า อยมฺป แม้อาการอันนี้ท่านกล่าวว่า ผู้ไข้นั้น จะมรณะในสิบห้าวันเป็นเที่ยงแท้แล เมื่อหมอเถาทองคัมภีร์มรณะญาณสูตรจบลง วงสนทนาเงียบกริบ แต่ภายในหัวใจของทุกคนอึงคนึง หมอเส็งตกใจเหมือนถูกผีหลอกกลางวัน เพราะนึกไม่ถึงว่าหมอเถาเงอะงะโง่ๆ จะปราดเปรื่องถึงเพียงนี้ คิดแล้วอายแทบแทรกแผ่นดินหนี ครูสมศักดิ์และครูก้อนมีความรูสึกเหมือนกําลังดูมวย และเมื่อเพื่อนของตนต่อยหมัดเด็ดได้ก็ดีใจ เผลอตัวตบมือกันทั้งคู่กราวใหญ่จนหลวงตาเองขยิบตาห้าม หลวงตาชื้นพยายามซ่อนความดีใจไว้แต่ก็ไม่วายยิ้มน้อยยิ้มใหญเมื่อเห็นหมอเส็งวางหน้าไม่ถูก ก็จําเป็นต้องยุติเรื่องราวเสีย โดยเปลี่ยนมาพูดถึงเรื่องธุระที่มา
“หมอเส็ง ขอวันเดือนปีเด็กที่จะตั้งชื่อเถอะ เดี๋ยวจะมีเวลาไม่พอ จะต้องไปสวดมนต์”
หมอเส็งดีใจที่มีทางออก จึงรีบส่งกระดาษที่จดวันเดือนปีและเวลาเกิดให้ หลวงตารับมาวางดาวเฉลิมรูปดวงชะตาขึ้นในกระดาน หมอเถา, ครูก้อน, ครูสมศักดิ์ค่อยๆกระเถิบเข้ามาใกล้เพื่อจะได้ดูดวงได้ถนัด หมอเส็งพอรู้อยู่บ้างก็กระเถิบเข้ามาเช่นกัน หลวงตาตรวจดูดวงอยู่ครู่หนึ่งก็เงยดูหน้าหมอเส็งโดยไม่มีใครเดาใจหลวงตาออก หมอเส็งเป็นคนปากเบา อดพูดอวดรู้มิได้
“ตามธรรมดาหลักการตั้งชื่อด้วยทักษา เด็กชายก็ตองใช้อักษรวรรคเดชครับ” หลวงตาชื้นผู้แตกฉานในวิชาโหราศาสตร์มองหมอเส็งอย่างไม่มีฉันทาคติ ท่านเปรยขึ้นตั้งใจจะสอนศิษย์มากกว่าสอนหมอเส็ง
“การตั้งชื่อโดยใชัทักษาเป็นหลักนะถูก แต่ภูมิทักษานั้นย่อมมีดาวประจําภูมิอยู่ ระบบทักษามีหน้าที่กําหนดความหมายชั่วดีให้แก่ดาวประจําภูมิ ฉะนั้นการใช้ทักษาก็คือใช้ดาวนั่นเอง เพราะฉะนั้นจึงต้องดูดาวในดวงชะตาเป็นหลัก เด็กเกิดวันจันทร์เดชก็คือพุธ เมื่อพุธครองอยู่ ราศีธนูเป็นประก็เท่ากับว่าเสื่อมสิ้นกําลังเสียแล้ว เหมือนประทีปสิ้นเชื้อ จะมีประโยชน์อะไรกับแสงสว่าง”
หมอเส็งแจ้งใจในความรักของหลวงตาจึงไม่กล้าโต้แย้ง แต่ก็อดแสดงความเห็นต่อไปอีกไม่ได้
“งั้นก็ควรเอาศรีซิขอรับ ชีวิตจะได้มั่งมีทรัพย์สิน คนเราถ้าไม่ได้เกียรติไม่ได้ยศศักดิ์ก็ต้องเอาเงินไว้ก่อน”
“หมอเส็งนะดูดวงให้ดีเสียก่อน” หลวงตาชี้ดาวในดวง “ศรีก็ คือ เสาร์นั้นเป็นอย่างไร เสาร์ได้ตําแหน่งมหาจักรก็จริง แต่ตกอริแก่ลัคนา เป็นศัตรูกับตนไปเสียแล้ว ยังจะคิดพึ่งศัตรูเขาให้คุณหรือ”
หมอเส็งถูกขัดคอถึงสองครั้งสองหน ก็เลยนิ่งคอแข็ง เพราะหมดเดชหมดศรีที่เคยตั้งชื่อเด็กหากินมานักต่อนักก็เลยหมดปัญญาจะคิด ครูสมศักดิ์เอียงหน้าเขาไปใกล้กระดานโหรพึมพํา
“เหลืออีกตัวเดียว มนตรีคือศุกร์แต่ศุกร์ก็เป็นประในราศีพิจิกเสียอีก แล้วจะตั้งกันอย่างไรขอรับหลวงตา” หลวงตายิ้ม “มันต้องตั้งได้แน่และตั้งให้ดีเด่นเสียด้วย”
ครูก้อนชอบเล่นทักษา จึงแย้มความคิดของตัวเองวิจารณ์
“มีแต่ พฤหัสเท่านั้นเป็นเกษตรกุมลัคนาอยู่ แต่ก็เป็นมูละ มิได้ให้คุณแก่ชีวิตการก้าวหน้าของเจ้าชะตามากนัก”
หมอเถาคิดช้ากว่าเพื่อนจึงต้องเป็นคนสุดท้าย
“ครั้นจะเอาอังคารซึ่งเป็นเกษตร ก็เป็นอายุไปเสีย และวินาศแก่ลัคนาหมดกัน”
หลวงตาหัวร่อชอบใจลูกศิษย์ที่พูดเองเออเองเสร็จ
“ไล่ดาวไปทีละดวง จนครบทุกราศีแหละว่ะ มันต้องถูกเข้าซักดวงจนได้ การตั้งชื่อโดยใช้ทักษาอย่างเดียวโดยมิได้ดูดวงในชะตามันจึงมีผลบ้างไร้ผลบ้าง เพราะเหตุนี้”
สองหมอสองครูรวมเป็น 4 คน มองหน้าหลวงตา เดาใจท่านไม่ถูกว่าจะตั้งชื่ออย่างไร เพราะดาวที่ให้คุณก็เสื่อมสูญสิ้นอํานาจหมด หลวงตาชื้นเดาใจลูกศิษย์ได้ทุกคน จึงชี้ดวงในกระดานให้ดู
“มันต้องดูเสียก่อนว่าดวงชะตาเขาอะไรมันเป็นคุณอะไรมันเป็นโทษ เพราะชีวิตเขาจะเป็นไปตามอํานาจดวงดาวส่งผล ดวงเด็กคนนี้ กาลกิณีกุมลัคนาแน่อยู่ไม่น่าหวั่นเกรงมันหรอกหรือ มัวแต่เที่ยวหาเดช , ศรี, มนตรีซึ่งอยู่ห่างตัวทั้งนั้น”
เสียงร้อง “ออ...” แต่ดังกระหึ่มเพราะครางพร้อมกันทีเดียวทั้ง 4 คน หลวงตาเห็นศิษย์นั่งนิ่งทําตาแป้วอยู่ก็รู้ว่าสิ้นคิดไปตามๆกัน จึงอธิบายต่อ
“กาลกิณีกุมลัคน์เหมือนเอาผู้ร้ายเข้าไว้ในบ้าน มันต้องหาคนเก่งปราบให้หมดฤทธิ์เสียก่อนชีวิตเขาจึงจะเอาดีได้”
หมอเถาปัญญาแล่นขึ้นมาทันทีตามคําอธิบายของหลวงตา จึงพูดด้วยเหตุผลประสาหมอ
“จริงคะรับ เหมือนคนป่วยด้วยโรคร้ายแรง มัวแต่ให้กินของดีๆ บํารุงท่าเดียว ไม่ใช้ยารักษาโรคร้ายให้สงบเสียก่อน มันก็ต้องตายแน่ๆ ครูสมศักดิ์อดสัพยอกเล่นไม่ได้ “บะ วันนี้ตับแร้งมันออกฤทธิ์ใหญ่ หมอเถาเก่งเป็นพระเอกไปเลย”
ครูก้อนได้ยินชื่อตัวแร้งทําท่าพะอืดพะอม ท้องไส้ปั่นป่วนจนต้องรีบยกมือห้ามไม่ให้พูดอีก หมอเส็งละพยศความเก่งลงไปแยะ ยกมือไหว้หลวงตา
“ผมขอทานปัญญาของหลวงตา ควรจะใช้ดาวอะไรตั้งชื่อขอรับ จึงจะได้ อย่างหลวงตาว่า” หลวงตาชี้โครมลงบนกระดาน “เอาอังคารตัวอายุนั่นแหละตั้งชื่อให้”
หมอเส็งก็คือหมอเส็งเผลอตัวอดค้านไม่ได้
“อังคารเป็นเกษตร แข็งแรงก็จริงแต่เป็นวินาศนะขอรับ”
“เออนั่นแหละตัวสําคัญนักละ” หลวงตายืนยันมั่นคง “อาตมาตั้งให้อย่างนี้จะเอาหรือไม่เอาละ ถ้าไม่เอาก็ไปตั้งเอาเอง”
“เอาซีขอรับ โธ่” หมอเส็งถูกทั้งสับทั้งโขกร้องอุทธรณ์ “ผมอยากขอความกรุณาได้คําอธิบายเท่านั้น ไปวันข้างหน้ามีนักโหราศาสตร์อื่นๆเขาตําหนิผมจะได้มีเหตุผลเถียงเขาได้”
หลวงตาใจอ่อนจึงยอมอธิบาย “อันว่าทักษานั้นเขาเล่นกันอยู่หลายระบบ ระบบหนึ่งใช้วันเกิด ก็มีปีเกิดก็ได้ หรือใช้การกําเนิดเป็นบุตรคนที่เท่าใดเป็นที่ตั้ง เรียกว่า “ทักษานามกําเนิด” เพราะถือเอาการกําเนิดมาโดยธรรมชาติ ซึ่งเจ้าชะตามิอาจเลือกเป็นเองได้ อีกระบบหนึ่งใช้นามอันถูกเรียกขานเป็นที่ตั้ง เรียกว่า “ทักษานามอันเกิดแต่กรรม” คือการเกิดของชื่อโดยกรรม อันเป็นการกระทําของมนุษย์แต่งตั้งให้เกิดขึ้น” หลวงตาชื้นหยุดพักหายใจ เพราะพูดติดต่อกันยืดยาว เมื่อจุดบุหรี่สูบแล้ว หลวงตาก็อธิบายตอนสําคัญ “เมื่อถือเอาวันเกิด คือ วันจันทร์นับตามภูมิทักษา อาทิตย์ ก็คือ กาลกิณีซึ่งกุมลัคนาอยู่ เพราะฉะนั้นจึงต้องแก้ไขโดยตั้งชื่อด้วยอักษรวรรคอังคาร เมื่อนับตามภูมิทักษา พฤหัสก็คือศรีซึ่งเป็นทั้งตนุลัคน์และเป็นเกษตรอยู่เรือนตนเอง และร่วมราศีด้วยกาลกิณี ฉะนั้นจึงเท่ากับทั้งกาลกิณีและศรีกุมลัคน์อยู่ด้วยกัน แต่ศักดิ์ของพฤหัสซึ่งเป็นศรีดีกว่า เพราะเป็นเจ้าเรือนเจ้าของบ้าน ก็ยอมจะควบคุมกาลกิณีคืออาทิตย์ ซึ่งอาศัยอยู่ไว้ได้ทั้งอาทิตย์และพฤหัสเป็นคู่มิตรกัน กาลกิณีจึงมิอาจหักล้างพฤหัสได้ ดังนี้จึงเรียกว่าการแก้ไขดวงชะตาของเขาจากร้ายเป็นดีด้วยการตั้งชื่อ จงจําไว้ให้ดีเถิด”
หมอเส็งแม้เป็นคนมีปมเขื่อง ก็ไม่วายยกมือไหว้ขอบพระคุณหลวงตาที่ให้ทานวิชา ครูก้อนและหมอเถานั้นเป็นศิษย์ที่ถูกสั่งสอนอบรมจากหลวงตามาตั้งแต่ต้น จึงเพียงแต่เคารพว่าเป็นวิชาอาจารย์ให้ แต่ครูสมศักดิ์นั้นรู้มามาก เห็นมามากจึงรู้ว่าวิชาของหลวงตานั้นเป็นสิ่งมีค่าอันเลิศล้ำโดยไม่มีใครเหมือน ดีใจที่ได้ความรู้จนขนลุกซ่าเพราะความปิติก้มลงกราบแล้วกราบอีก
“อย่าลืมนะหมอเส็ง เอาอักษรวรรคอังคารใช้ตัวอักษร จ ฉ ช ซ ญ นําหน้าชื่อ ส่วนชื่อจะตั้งว่ากระไรสุดแต่ใจพ่อแม่เขาจะตั้งให้คล้องจองกับเขาตามใจชอบ”
หลวงตาย้ำทบทวนกันลืม และบอกขอตัวเพราะจะได้เวลาเตรียมตัวไปสวดมนต์แล้ว หมอเส็งไม่กล้าเซ้าซี้ ต้องจําใจกราบบอกลาหลวงตา และคณะที่มาด้วยก็เลยต้องบอกลากลับไปด้วยเช่นกัน และสิ่งที่ไม่มีใครคิดว่าจะเป็นไปได้ก็คือ หมอเส็งยกมือไหว้หมอเถา
“ลาก่อนนะหมอเถา เอาไว้ว่างไข้ จะหาโอกาสลงมาคุยด้วยอีก”
หมอเถาตกใจเหมือนถูกผีหลอก ยกมือกับไหว้ประหลกๆท่วมหัวเงอะงะ รับคําว่า คะรับ คะรับ คะรับ จนหมอเส็งลงจากกุฏิไป