ขอขอบคุณ คุณนริศรา ที่เอื้อเฟื้อหนังสือ
ทนายโหราศาสตร์
อ.อรุณ ลำเพ็ญ - หมอเถา(วัลย์)
หลวงตาชื้นและศิษย์ยังคงพํานักค้างแรมอยู่กุฏิมหาครื้นในกรุงเทพฯต่อมาเป็นคืนที่ 2 เพราะจะต้องรอกระเบื้องมุงหลังคาโบสถ์ ให้เขาจัดทําให้พร้อมเสร็จ มหาครื้นออกบิณฑบาตแต่เช้าและกลับเอาร่วม 8.00 น. สายเกินปกติเพราะต้องบิณฑบาตไปไกล เพราะหวังเผื่อแขกสงฆ์และฆราวาสที่มาพักร่วมด้วยอีก 3 ปาก 3 ท้อง พอตั้งวงฉัน 2 องค์กับหลวงตาชื้นเสร็จ ก็เหลือเป็นอาหารมื้อเช้าของหมอเถาและครูก้อน ล่วงเลยเวลาอาหารแล้ว ทั้งศิษย์ก็ตั้งวงสนทนาอยู่ชานหน้ากุฏิ ข้างหมอเถาตื่นความศิวิไลซ์ของกรุงเทพฯ ก็เอาแต่ตั้งหนาตั้งตาซักมหาครื้น ถึงเรื่องราวและสถานที่สารพัดเหมือนเด็กๆ ที่กําลังสอนพูดสอนเรียน อยากรู้ไปทุกสิ่งโดยเฉพาะสถานที่ที่สนใจมากที่สุดของหมอเถา คือ วัดโพธิ์ซึ่งมีตํารายาไทยเก่าแก่จารึกไว้ตามเสาระเบียงรอบพระอุโบสถ แห่งที่สองก็คือท้องสนามหลวงที่น่าสนใจก็คือ หมอดูโคนมะขามที่ข่าวมีมากมาย จนแดดเช้าส่องลามเข้ามาถึงวงสนทนา สองบ้านนอกเข้ากรุงทําท่าลุกขึ้น จะเลื่อนวงใหม่ หลวงตาชื้นจึงเอยขึ้นกับมหาครื้นเป็นธุระการงาน
"มหาจะต้องพาฉันไปกราบท่านเจ้าคุณในเช้านี้ก่อน เพราะมาพักในวัดท่าน ต้องไปเรียนให้ท่านทราบตามระเบียบ”
มหาครื้นลุกขึ้น คลี่จีวรออกครองใหม่ให้เรียบร้อย เพราะจะต้องเข้าพบพระผู้ใหญ่ซึ่งมีทั้งสมณศักดิ์และอํานาจปกครอง ไม่แต่ในขอบเขตวัดนี้เท่านั้น หากแต่เป็นเจ้าคณะภาคที่ปกครองสงฆ์ภาคใต้ซึ่งเป็นที่รู้กันว่าท่านเคร่งครัดในระเบียบวินัยอย่างยิ่ง หลวงตาครองจีวรลดไหล่คร่าวๆ ไม่ประณีตนักตามนิสัยพระแก่ และหันมาสั่งหมอเถาและครูก้อนที่นั่งมองหน้าแทนคําถาม
"หมอเถาและครูก้อน คอยอยู่กุฏิก่อน ไปกราบท่านเจ้าคุณสักครู่ เดี๋ยวจะกลับมา"
มหาครื้นออกเดินนําหน้าหลวงตาลงจากกุฏิไป ทั้งศิษย์อาจารย์เดินตามกันมาตามทางลาดซีเมนต์ระหว่างสองข้างเป็นกุฏิตึกถือปูนแบบเก่า ตามลักษณะของวัดหลังใหญ่ในกรุงเทพฯ กุฏิใหญ่เมื่อเปิดประตูนอกเข้าไปเป็นลานกว้างปูกระเบื้องแดง รอบลานเต็มไปด้วยกระถางตะโกดัดรายเรียงเป็นระยะดูงดงามภูมิฐาน เบื้องหน้าลานเห็นหอนั่งอันโอ่อ่าด้วยเครื่องประดับประดา เช่นโต๊ะหมู่บูชาชุดใหญ่ พระพุทธรูปปางต่างๆ ทั้งเก่าและใหม่ประดิษฐานเต็มทุกชั้น ทั้งตาเทียนไฟฟ้าสว่างจับผิวพระพุทธ ดูสุกอร่ามเหมือนทองแท้นพคุณและพัดยศปักดิ้นเงินใส่ตู้เคียงแท่นบูชา และขนาบด้วยนาฬิกาตู้ยืนทั้งสองข้าง
ท่านเจ้าคุณนั่งสนทนาด้วยแขกผู้ชายมีอายุอยู่หน้าที่บูชาอยู่ก่อนแล้ว เมื่อเหลียวมาเห็นมหาครื้นพระลูกวัดที่รู้จักหน้าอยู่ก็จําได้จึงกวักมืออนุญาตให้เข้าไปหา แม้จะจําภิกษุชราที่ติดตามเข้ามาไม่ถนัดว่าเป็นผู้ใด มหาครื้นนําหน้า จนถึงเบื้องหน้าท่านเจ้าคณะและกระทําคารวะ กราบเคารพ และหลีกไปนั่งข้างๆ หลวงตาชื้นไปทางที่บูชาคุกเข่ากราบพระพุทธรูปก่อนเป็นเบื้องแรก แล้วจึงกราบท่านเจ้าคุณ ถึงแม้อายุหลวงตาจะแก่กว่า แต่พรรษาหลวงตาอ่อนกว่า เพราะท่านเจ้าคุณบวชมาตั้งแต่เป็นเณร พอเงยหน้าท่านเจ้าคุณก็ทักเพราะจําได้ เพราะขึ้นไปตรวจวัดพบกันหลายคราว
“ อ้าว... หลวงตานั่นเอง ลงมาแต่เมื่อไร มีกิจจะให้ผมสงเคราะห์อะไรหรือ"
หลวงตาพนมมือรายงานว่าลงมากรุงเทพฯเพราะเจ้าอาวาส มอบหมายให้มาซื้อกระเบื้องมุงหลังคาโบสถ์หลังใหม่ที่กําลังก่อสร้างอยู่ และมาพักอยูกุฏิมหาครื้น จึงมารายงานให้ทราบ เพราะมาอาศัยในเขตวัดท่าน ท่านเจ้าคุณยิ้มแย้มอารมณ์ดีตามธรรมดาของพระผู้ใหญ่และถามถึงเจ้าอาวาสและโบสถ์ที่กําลังสร้าง หลวงตาชื้นเรียนตอบโดยสํารวมกิริยา
“ พระอุโบสถหลังใหมขึ้นเสาแล้ว ได้เร่งช่างเขาทําเครื่องบนเสร็จ ก็จะรีบมุงหลังคาให้แล้วเสร็จ เพื่อจะได้เป็นรูปร่างโบสถ์ ให้อุบาสกอุบาสิกาทั้งหลายได้เห็น จะได้มีความปิติในผลแห่งทรัพย์ที่เขาได้บริจาคมา และผู้พบเห็นอื่นๆก็จะได้มีจิตศรัทธาเต็มใจบริจาคเพิ่มเติม เพราะดูว่าประหนึ่งจะแล้วเสร็จในเวลาไม่ช้าขอรับ"
ท่านเจ้าคุณพยักหนายิ้ม นึกชมปัญญูาท่านเจ้าอาวาสอยู่ในใจ และหันมาทางแขกซึ่งเป็นข้าราชการเก่าสมัยดุลยภาพ เมื่อครั้งเปลี่ยนแปลงการปกครอง แนะนําขึ้น
“คุณหลวงคงจะไม่เคยรู้จัก หลวงตาชื้นนี่แหละโหรเอก ศิษย์ท่านเจ้าคุณใหญ่ภาคใต้ พวกกรุงเทพฯเคยลองไปหาท่านหลายราย บางรายก็เคยมาคุยให้อาตมาฟังถึงความสามารถของท่านให้อาตมาฟังบ่อย ๆ”
หลวงศรีซึ่งคุ้นเคยกับท่านเจ้าคุณมานานและไปมาหาสู่เป็นแขกประจํากุฏิ มองดูหลวงตาชื้นด้วยสายตาเย็นชาเฉยเมย เพราะคุณหลวงเป็นคนยึดมั่นธรรมะในทัศนคติของตนเอง
"ผมไม่ใคร่สนใจโหราศาสตร์ ถ้ายิ่งเป็นสงฆ์ผมก็ว่าไม่น่าจะมาสนใจในวิชาอันเป็นกิจของฆราวาส เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นทางสะสมกิเลส มิให้หลุดพ้นตามมติทางพุทธศาสนา"
หลวงตาชื้นมองดูผู้พูดเต็มตา ความรู้สึกของหลวงตาเหมือนถูกตบหน้าฉาดใหญ แต่ก็ต้องสํารวมนิ่งไม่กล้าตอบโต้เพราะเกรงใจท่านเจ้าคุณ ส่วนท่านเจ้าคุณตกใจ เพราะคิดไม่ถึงว่าหลวงศรีจะพูดโพล่งขวานผ่าซากต่อหน้าถึงเพียงนั้น อาจจะเพราะเห็นหลวงตาชื้นเป็นพระลูกวัดแก่ๆองค์หนึ่ง จึงรีบพูดประสานความรู้สึกระหว่างกัน
“อย่าคิดเป็นอย่างอื่นเลยหลวงตา คุณหลวงศรีท่านเป็นคนคิดเห็นอะไรตรงไปตรงมา ขอรับรองว่าท่านเป็นคนสุจริต ถือเสียว่าความคิดเห็นในทัศนะหนึ่ง ถ้าหลวงตาคิดเห็นต่างกันก็ย่อมจะแสดงความคิดเห็นได้ แม้จะเป็นความคิดเห็นที่ขัดแย้งกัน"
มหาครื้นนั่งฟังคิดเคืองๆอยู่ว่าถูกลบหลู่ เมื่อได้ยินท่านเจ้าคุณออกปากอนุญาตหลวงตา ก็นึกยิ้มในใจว่า เดี๋ยวได้ดูดีแน่ เพราะอยู่กับหลวงตามานานจนรู้นิสัยและอารมณ์หลวงตาดี หลวงตาชื้นได้ช่อง ยิ้มแย้มเหมือนไม่ถือสาและไม่มีอะไรเป็นข้อขุ่นเคือง
“ก่อนอื่น ขอชมคุณหลวงท่านว่าเป็นผู้ดีแท้แม้แต่การตําหนิก็นุ่มนวลสุภาพน่าฟัง เคยมีหลายๆท่านเขาตําหนิประณามแรงกว่าท่านมาก เขาว่าโหราศาสตร์เป็นเดียรถีย์วิชาไม่พึงควรแก่สงฆ์เสียด้วยซ้ำ"
เจ้าคุณเป็นผู้ใหญ่ที่มีความยุติธรรม จึงหัวเราะชอบใจและตั้งคําถามซักไซร้
“หลวงตาคิดเห็นอย่างไรละ ผมเองเคยสนใจในปัญหาข้อนี้อยู่ เพราะในปัจจุบันมีพระเป็นหมอดูกันมาก และมักมีผู้กล่าวว่าไม่สมควรอยู่เสมอๆ แต่ฟังๆลึกเป็นเหตุผลฝ่ายเดียว จึงยังมิได้คิดอะไร ถ้าได้ฟังเหตุผลของหลวงตาที่เป็นนักโหราศาสตร์คงจะได้ความรู้ขึ้นบ้าง บางทีในวันข้างหน้าอาจเป็นเหตุผลในการตัดสินใจของผม"
หลวงตามีความรู้สึกเหมือนอยู่ท่ามกลางศาล และตนจะต้องเป็นทนายแก้ต่างให้แก่โหราศาสตร์ซึ่งตกเป็นจําเลย เพราะถูกกล่าวโทษ หลวงตาชื้นจึงพนมมือ
"เป็นความกรุณาที่ยุติธรรมของพระเดชพระคุณ ทัศนะในเรื่องโหราศาสตร์เป็นสิ่งเลวและไม่พึงควรแก่สงฆ์ บ้างก็ชี้เอาตรงๆว่าเป็นสิ่งหลอกลวงเหลวไหล เป็นข้อโต้เถียงกันเสมอมา และผู้โต้เถียงมักเป็นบุคคลคนละฝ่าย คือ นักโหราศาสตร์กับผู้ไม่รู้โหราศาสตร์ ซึ่งเป็นบุคคลที่ยืนกันอยู่คนละที่ ฉะนั้นเหตุผลของแต่ละฝ่ายจึงตัดสินให้ยุติมิได้ เพราะผู้เป็นนักโหราศาสตร์ยืนหันหน้าเข้าหาโหราศาสตร์ย่อมเห็นย่อมรู้ในคุณค่าและเหตุผลของโหราศาสตร์ แต่ผู้ประณามนั้นมักจะยืนหันหลังให้โหราศาสตร์ ย่อมไม่รู้ไม่เห็น โหราศาสตร์จึงมักเถียงกันไปคนละเรื่อง มิได้พิสูจน์ในเรื่องเดียวกัน อย่างเช่นคุณหลวงท่านเป็นคนคิดตรงๆ แต่ก็ตรงในทางของท่านมิใช่ตรงกึ่งกลางของความเป็นธรรม เพราะท่านข้องอยู่ในสิ่งที่ท่านคิดท่านรู้เห็นเท่านั้น เสมือนท่านนั่งอยู่ในกุฏินี้ ย่อมจะเห็นแต่สภาวะของห้องนี้ตามที่มีอยู่ตามฝาผนัง เมื่อจะกล่าวกันถึงเรื่องของท้องฟ้า คุณหลวงท่านก็เห็นแต่ท้องฟ้าจากช่องหน้าต่างเป็นกรอบสี่เหลี่ยมแคบๆ ย่อมจะไม่ใช่อาณาเขตของท้องฟ้าอันกวางใหญ่ไพศาลทั้งหมด"
ทั้งท่านเจ้าคุณและหลวงศรีมีความรู้สึกอย่างหนึ่งเกิดขึ้นในหัวใจว่า พระภิกษุบ้านนอกแก่ๆ ที่ชื่อหลวงตาชื้นนี้มิได้มีความคิดและปัญญาคร่ำครึตามวัยชราและจีวรเก่าที่ครองอยู่ แต่ด้วยทิฏฐิคุณหลวงและความเชื่อมั่นในปัญญาความคิดของตัวเอง จึงกล่าวต่อไปอีกว่า
“โหราศาสตร์เป็นการเดาๆเอาตามมติของหมอดูมากกว่า เพราะชีวิตมนุษย์ย่อมเป็นไปตามพฤติกรรมดีชั่ว บุคคลได้รับผลชั่วเพราะประพฤติกรรมชั่ว บุคคลรับผลดีเพราะประพฤติกรรมดี ดวงดาวจะมีอํานาจอะไรแก่ชีวิตได้ ดาวบนฟ้าก็ส่วนดาว คนบนพื้นดินก็ส่วนคน ไม่เกี่ยวกัน"
หลวงตาชื้นเปรียบดังโคชนที่เคยสนามมาแล้วมาก เมื่อมาเจอโคดื้อเอาแต่ดัน ไม่มีเชิงเป็นโคชน ก็ไม่สู้หนักใจนัก
“การมีความเข้าใจว่าโหราศาสตร์ไม่มีกฎเกณฑ์เฉพาะ ใช้เดาเอาก็ดี หรือเชื่อว่าวิชาโหราศาสตร์คือดวงดาวมีอํานาจบันดาลคุณ บันดาลโทษให้แก่มนุษย์โดยตรงก็ดี เป็นการเข้าใจโหราศาสตร์ผิดถนัด เหมือนความเข้าใจของคนตาบอดคลําช้าง เมื่อตนคลําถูกต้องแต่หางช้าง ก็นึกเอาว่าช้างมีลักษณะเหมือนเส้นเชือก หรือตนคลําจับต้องแต่ลําตัวก็ จะมั่นใจว่าช้างมีลักษณะเหมือนฝาเรือน หรือถ้าคลําสัมผัสแต่ลําขาก็จะกําหนดว่าช้างมีลักษณะเหมือนเสาเรือนเป็นดังนี้แหละ และในส่วนที่ว่า โชคดีโชคร้ายหรือเคราะห์กรรมของมนุษย์ย่อมเกิดแต่พฤติกรรมความประพฤติแห่งเขาเป็นที่ตั้ง อาตมาก็นึกอยากจะเชื่อเช่นนั้น ถ้าไม่มีเหตุน่าสงสัยบางประการ เช่น นายแพทย์ที่รู้จักรักษาอนามัยตนเองอย่างดี ก็ยังรู้จักเจ็บไข้เช่นเดียวกับบุคคลอื่นๆ พระภิกษุสงฆ์ที่มีจริยาวัตรงาม ถูกผู้ร้ายฆ่าตายน่าอนาถ เด็กน้อยไร้เดียงสาไม่เคยเป็นศัตรูกับใคร ก็ถูกพิฆาตฆ่าตายบ่อยๆ เหล่านั้นเป็นพฤติกรรมของเขาเองหรือ” ท่านเจ้าคุณยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ในเหตุผลอุปมัยของหลวงตาชื้น และคอยหาโอกาสเข้ามีส่วนร่วมในการสนทนาด้วย เพราะจะเป็นสิ่งยับยั้งการโต้เถียงมิให้กลายเป็นทะเลาะกันรุนแรงไป
"มันอาจจะเป็นหนี้ชีวิตตามอดีตกรรมของเขาก็ได้นะหลวงตา"
หลวงตาชื้นหันมาทางท่านเจ้าคุณ ลดเสียงลงพูดเรียบๆ
"นี่แหละขอรับคือเหตุแห่งโหราศาสตร์ที่แท้จริง"
ท่านเจ้าคุณถูกหลวงตาพูดวกเข้าพันลําเอา ก็ชักฉงน จึงอดถามต่อมิได้
“หลวงตาต้องอธิบายให้ฟังชัดเจนสักหน่อย ตรงนี้แหละที่อยากจะรู้อยู่"
หลวงตามีอารมณ์ครึ้มๆเหมือนตอนขึ้นธรรมมาสน์คู่ มีทั้งปุจฉาวิสัชนา
“โหราศาสตรตั้งสมมุติฐานชีวิตของเจ้าชะตาขึ้นมาเป็นดวง โดยถือดวงนั้นเป็นท้องฟ้าและเมื่อกําเนิดมา ดวงดาวทั้งหลายโคจรอยู่ตําแหน่งใดบนท้องฟ้า ก็จะลงตําแหน่งดาวนั้นไว้ในดวงชะตา และคํานวณจุดกําเนิดตามเวลาเกิดเรียกว่าลัคนา เป็นตัวตนของเจ้าชะตา เรียกว่าดวงชะตากําเนิดอันเป็นพื้นฐานชีวิตของเขาว่า จะมีแนวโน้มอย่างไรในอนาคต จะยากจน ร่ำรวย ทุกข์ยาก สุขสบาย ด้วยเหตุแห่งอะไร เป็นการอ่านกรรมเก่า จะว่าเป็นอดีตกรรมอันจะส่งผลแก่ชีวิตของเขาก็ได้ เมื่อถึงปัจจุบันดวงดาวบนท้องฟ้าโคจรอยู่อย่างไร เป็นคุณหรือเป็นโทษในดวงชะตาอย่างไร ดุจการพิจารณากรรมใหม่หรือปัจจุบันกรรมฉะนั้น ถ้าทุกข์โทษก็ดี คุณโชคก็ดี สอดคล้องและประจวบบรรจบด้วยเหตุแห่งกรรมเก่าที่มีพื้นฐานอยู่แล้วในดวงชะตา เหตุนั้นกรรมนั้นก็ย่อมเกิดขึ้นเป็นแน่แท้ การพยากรณ์ในเรื่องโชคก็เพื่อให้เขาเกิดความมานะ ขวนขวายให้กิจนั้นสําเร็จ ส่วนพยากรณ์เหตุแห่งเคราะห์เพื่อให้เขาระมัดระวังหลบหลีกเสีย แต่จะอย่างไรก็ตาม ดวงชะตาก็ดี ดวงดาวก็ดี ล้วนแต่สมมุติขึ้นเป็นกฎเกณฑ์การพยากรณ์เท่านั้น มิได้หมายถึงดวงดาวจริงๆนั้น จะเกิดคุณเกิดโทษจากท้องฟ้ามาสู่มนุษย์โดยตรงก็หาไม่ กฎเกณฑ์การพยากรณ์ทางโหราศาสตร์เพียงอาศัยดวงดาวเป็นเครื่องชี้กรรมของเจ้าชะตา และกฎเกณฑ์การพยากรณ์ต่างๆ โบราณาจารย์ได้ตั้งขึ้นตามสถิติที่พบเห็นและตรวจสอบมามากตลอดเวลาในอดีตนับพันปี"
ท่านเจ้าคุณหันไปเปิดสวิตซ์พัดลมข้างๆตัว หันให้ตรงหลวงตาชื้น เพราะสังเกตเห็นหลวงตาเหงื่อซึมจนชุ่มจีวร และยังเห็นหลวงตาชําเลืองดูกาน้ำวนเวียนอยู่หลายครั้ง ก็เดาใจถูก จัดแจงรินน้ำชาถวายโดยมิได้ถือตัว หลวงศรีพบพระเจ้าเหตุเจ้าผล แวดล้อมด้วยหลักวิชาแตกฉานเข้า ก็ชักไขว้เขวไม่แน่ใจตนเอง เพราะมิได้ตระเตรียมเหตุผลข้อมูลไว้ เพื่อโต้แย้งกับใครๆไว้ก่อน แต่ถึงกระนั้นก็ยังพยายามอ้างตัวอย่าง ยังไม่ยอมแพ้เพราะเสียเกียรติคุณหลวง
"ผมเคยพบนักโหราศาสตร์หลายคน บางคนมีชื่อเสียงเป็นอาจารย์ใหญ่ มีผู้คนนับหน้าถือตามาก พยากรณ์เขาผิดๆพลาดๆ บางทีพยากรณ์ให้ผัวเมียเขาทะเลาะเบาะแว้งกันเพราะความระแวง บางทีก็ให้คําพยากรณที่สร้างความทุกข์ความหวาดกลัวค้างอยู่ในหัวใจเขา เป็นแรมปีโดยไม่มีเหตุ บ้างก็ให้คําพยากรณ์เขาจนเขาหลงระเริงหมดเนื้อหมดตัว หลวงตายังจะคิดว่าโหราศาสตร์เป็นสิ่งมีประโยชน์แก่มนุษย์อยู่อีกหรือ”
หลวงตายิ้มพราย ไม่ต้องเสียเวลาคิดหาเหตุผล เพียงแต่ชําเลืองตรวจดูสีหน้าท่านเจ้าคุณเจ้าของกฏิเสียก่อนเท่านั้น
“เหตุมันก็บอกผลอยู่แล้วนะคุณหลวง ต้นเหตุแห่งความผิดพลาดมันก็มีอยู่สองสิ่ง คือ วิชาโหราศาสตร์และผู้ใช้วิชาโหราศาสตร์ อันว่าวิชาโหราศาสตร์เป็นวิชาการบริสุทธิ์ คุณและโทษย่อมเกิดจากผู้ใช้เป็นสําคัญ เฉทเช่นเดียวกับอาวุธปืนซึ่งเป็นศาสตราในการประหาร ถ้าอยู่ในเมืองทหารทําสงครามฆ่าศัตรูเพื่อป้องกันประเทศชาติบ้านเมือง ผู้ใช้ก็เป็นวีรชนอันมีเกียรติ ถ้าอยู่ในมือตํารวจฆ่าผู้ร้ายเพื่อรักษาความสงบสุขของประชาชน ก็ได้รับยศศักดิ์เป็นบําเหน็จ แต่ถ้าปืนตกอยู่แก่มือโจร ก็ถูกใช้ให้เกิดโทษแก่มนุษย์ เป็นสิ่งชั่วผู้ใช้ย่อมได้รับโทษ ฉะนั้นวิชาใดๆไม่แต่โหราศาสตร์ คุณโทษย่อมเกิดจากผู้ใช้โดยเจตนาแห่งการใช้และผลแห่งการใช้ในวิชานั้นๆ”
คุณหลวงศรีใจร้อนจนไม่อาจคอยให้หลวงตาชื้นพูดจบเสียกอน จึงได้ขัดขึ้นกลางคัน
“ไม่ว่าจะอย่างไร สงฆ์ก็ควรอยู่ในกิจในวัตรของสงฆ์โดยเคร่งครัดเท่านั้น การยุ่งเกี่ยวกับกิจฆราวาสอันมีแต่กิเลส ยังแต่จะทําให้ศาสนาเกิดความเสื่อมเสียขึ้น"
หลวงตาชื้นชักได้ใจ เพราะเห็นสีหน้าท่านเจ้าคุณยิ้มละมัย ไม่มีแววการตําหนิติเตียนหรือไม่พอใจในเหตุผล ที่สุดไปแล้วจึงพูดเอาตามใจตนไม่ยับยั้ง
"อันที่จริงคุณหลวงกับอาตมาก็เป็นคนแก่ด้วยกัน อายุอานามก็ไม่ใกล้ไกลกันนัก แต่ความคิดเห็นแตกต่างไกลกันไปมากเกือบทุกเรื่องทุกกรณีเสียด้วย ในความคิดของอาตมานั้นว่าสงฆ์จําเป็นต้องเข้าเกี่ยวข้องกับชาวบ้านให้มากที่สุด นั่นแหละเป็นกิจของสงฆ์ส่วนหนึ่งอันจําเป็นเสียด้วยซ้ำ เมื่อจะว่ากันทางศาสนา ศาสนามิใช่ทางแห่งคุณความดีและหลุดพ้นเฉพาะตัวของผู้บวชเป็นสงฆ์เท่านั้น ศาสนาควรเป็นความดีงามของสังคมหรือของชุมชนชาวบ้านด้วย ควรเป็นทางเผยแพร่อบรมให้เขายึดมั่นปฏิบัติเพื่อเกิดความดีแก่ตนนั่นแหละ เป็นจุดมุ่งหมายของศาสนาที่แท้จริง แต่ถ้าจะคิดกันอย่างธรรมดา ชาวบ้านที่เป็นฆราวาสนี้แหละคือองค์ปัจจัยแห่งความเสื่อมความเจริญของศาสนา เพราะปัจจัยสี่อันดํารงชีพของสงฆ์ก็มาจากชาวบ้าน ภัตตาหารก็บิณฑบาตก็จากชาวบ้าน วัดและอุโบสถชาวบ้านก็สร้างถวาย สบงจีวรใช้ครองตนอยู่ ชาวบ้านก็จัดถวายให้ เจ็บป่วยใช้หยูกยาก็ต้องเป็นเรื่องชาวบ้าน ถ้าสงฆ์ทั้งอาณาจักรตัดขาดชาวบ้านเสีย ไม่สงเคราะห์ในกิจอันควรสงเคราะห์ ได้หันหลังให้ชาวบ้านเขาเสียหมด มุ่งแต่สวดมนต์ภาวนาหรือหลับตาท่องยุบหนอพองหนอแต่ประการเดียว ตามความคิดคุณหลวงว่าก็คงดีอยู่หรอก แต่ถ้าชาวบ้านเขาตัดขาดจากสงฆ์บ้าง หันหลังให้สงฆ์ทั้งหมด ความอนุเคราะห์ทั้งหลายก็ย่อมหมดสิ้นไป สงฆ์มิต้องออกไปอยู่ป่าเป็นสงฆ์อรัญญวาสี เที่ยวบิณฑบาตรภัตตาหารจากรุกขเทวดาตามต้นไม้ หรือไม่ก็ต้องดํารงชีพแบบฤๅษีเที่ยวปีนป่ายต้นไม้ เก็บผลไม้และผักหญ้าใบไม้กินเป็นอาหารดํารงชีพหรือ”
ท่านเจ้าคุณเบือนหน้าไปเสียทางหนึ่งแต่เห็นได้ชัดว่าท่านซ่อนกิริยากลั้นหัวเราะอยู่เต็มหน้า คุณหลวงศรีก็สังเกตเห็นอยู่เช่นกันไม่มีสิ่งใดดีกว่าเสแสร้งดูนาฬิกา แล้วอ้างกิจธุระจําเป็นต้องกราบลาท่านเจ้าคุณ เมื่อตอนลุกจากที่ นอกจากไม่ยกมือไหว้ผ้าเหลืองที่หลวงตาชื้นครองอยู่แล้ว ยังแถมค้อนจนตาคว่ำเสียอีก นิ่งอยู่อีกครู่ใหญ่ หลวงตาเกรงใจว่าจะเป็นการรบกวนท่านเจ้าคุณ จึงลุกขึ้นคุกเข่าทําท่าจะกราบลา เจ้าคุณท่านกลับยกมือห้าม
"รอเดี๋ยว หลวงตา" ท่านลุกเข้าไปในกุฏิสักครู่ก็กลับออกมา พอนั่งลงก็ยื่นถวายหลวงตา
“ไตรแพรนี้เขาถวายมานานแล้ว ของอาตมาก็บริบูรณ์อยู่ เก็บไว้อีกก็จะเป็นพระสะสมสมบัติ ขอถวายหลวงตาเป็นค่าทําขวัญโหราศาสตร์ เพราะแต่เดิมมาผมเองก็เคยมีฉันทาคติต่อโหราศาสตร์อยู่ แต่ขณะนี้ผมมีความเข้าใจดีว่า วิชาโหราศาสตร์ก็เหมือนวิชาแพทย์และวิชาครู ที่สงฆ์จําเป็นต้องใช้อนุเคราะห์ความทุกข์ของชาวบ้าน"
หลวงตากราบลากลับออกมา ในดวงใจพองโตคับอกด้วยความปิติยินดีเป็นล้นพ้น ที่ได้เป็นทนายแก้ต่างคดีโหราศาสตร์จนชนะในศาลท่านเจ้าคุณคณะภาค และได้รับบําเหน็จเป็นไตรแพร