ขอขอบคุณ คุณนริศรา ที่เอื้อเฟื้อหนังสือ
บุตรสุดที่รัก
อ.อรุณ ลำเพ็ญ - หมอเถา(วัลย์)
ตั้งแต่กลับจากกรุงเทพฯ หลวงตาชื้นไม่มีเวลาว่างอยู่กุฏิเลย เพราะต้องไปคุมพระมุงกระเบื้องหลังคาโบสถ์ให้แล้วเสร็จก่อนที่จะถึงฤดูฝน ทั้งหมอเถาและครูก้อน ก็เลยพลอยติดตามอาจารย์ไปเป็นกรรมกรลงแขกช่วยเขาสารพัด นับแต่ช่วยชักรอกส่งกระเบื้องขึ้นหลังคาตลอดทั้งวัน เป็นการทําบุญด้วยแรงกายเอากุศล จนเลยข้างแรมปลายเดือนไปหลายวันจึงแล้วเสร็จ วันนี้จึงเป็น วันว่างธุระ ทั้งศิษย์และอาจารย์จึงมีโอกาสประชุมกันอยู่บนกุฏิเหมือนอย่างเช่นวันก่อนๆ หมอเถาและครูก้อนนั่งพับเพียบเรียบร้อย แต่หลวงตาชื้นเอาเปรียบลูกศิษย์ลงนอนคว่ำเหยียดยาว ให้เณรชั้วเหยียบไล่ไปตั้งแต่บั้นเอวลงไปจนท้องขา ทั้งขึ้นทั้งลงหลายตลบ หลวงตาชื้นเอียงหน้ามาถามหมอเถาแพทย์ประจําตัว
“มียาอะไรดีแก้เมื่อยมั่งละหมอเถา เส้นสายมันยึดไปหมด ตั้งแต่ไปแกร่วคุมงานร่วมเดือน”
หมอเถาพนมมือตอบแสดงภูมิหมอทันที
"ต้องรักษาทั้งภายนอกภายในคะรับ คือว่าภายในนั้นต้องใช้ยาถ่ายกษัยเส้น ส่วนภายนอกต้องเอาไพล 1 การบูร 1 ตําให้แหลกแช่ลงในน้ำมันเบ็นซินสัก 3 วัน พอออกสีเหลืองแก่ๆ ชะโลมนวดตลอดเส้น ถูทา ถูทา หายแน่คะรับ"
"หมอเถามันสมเป็นหมอ คล่องปาก คล่องใจในตํารายาสารพัด" หลวงตาชื้นชมด้วยใจจริง
“ว่างๆช่วยจัดแจงให้ทีเถอะ" ครูก้อนแอบกระเถิบเขามาใกล้เจ้าตํารา “เอาค่ายาที่ฉันเถอะหมอเถา และฝากทําเพิ่มเผื่อด้วย ฉันให้แม่บ้านเหยียบมา 3 มื้อแล้ว ไม่บรรเทาเลย"
"เฮ้ย อย่างครูก้อนกินเหล้าได้น่าจะเอาอีกตําราหนึ่ง เจ้าของตําราท่านว่าหายเมื่อยหายขบแล้วยังหนุ่มแน่นขึ้นมื้อละ 10 ปีเทียว"
ครูก้อนตาลุกวาว “ก็ดีซิเสียเท่าไหร่ไม่ว่าเลย จะได้เตะปี๊บเล่นมั่ง” หมอเขาก็สาธยายตัวยาให้ฟังไม่ปิดบัง “เลือดค้างคาวแม่ไก่สดๆ เชือดใส่เหล้าขาว พอเป็นสีน้ำผึ้งแก่ๆ ดื่มรวดเดียวให้หมดมื้อละแก้ว ฟิตปั๋งเลยวะครูเอย"
ครูก้อนเคยเป็นนักเลงสุราบาลมาก่อนหลับตามองเห็นภาพ ถึงกับเลียริมฝปาก และเกิดความคิดต่อไปอีก
"เนื้อค้างคาวนั่นก็เลยผัดเผ็ด ใส่เครื่องเทศจัดๆเป็นกับแกล้มไปด้วยวะ เข้าท่าแฮ่ะหมอเถา”
.png)
"เออ... พอดื่มเสร็จ กินเสร็จ ก็จูงมือกันลงนรกไปเลย" หลวงตาชื้นแช่งส่ง “คนใกล้พระใกล้เจ้าคิดใจบาปหยาบช้าเหมือนยักษ์ กินเลือด กินเนื้อเขาสดๆ”
ยักษ์เถาและยักษ์ก้อน ทําหน้าม่อยเพราะพูดไปกําลังอยากไม่ทันคิด และไม่ทันจะแก้ตัวก็ได้ยินเสียงใครเคาะประตูชานกุฏิแสดงว่า มีแขกมาหาหลวงตาแน่ หมอเถาจึงถือโอกาสเลี่ยงไปเปิดประตู ผู้เป็นแขกเป็นชายวัยกลางคนจูงเด็กชายข้างละ 2 คนวัย10 กว่าขวบก้าวล่วงประตูเข้ามาและถาม
“หลวงตาชื้น องค์ที่นอนอยู่นั่นใช่ไหมพ่อลุง"
หลวงตาชื้นเห็นแขกก็บอกให้เณรชั้วลงจากเหยียบ ลุกขึ้นครองจีวรคร่าวๆตามมารยาทสงฆ์ ชายผู้นั้นจูงมือเด็กข้างละคนตรงเข้ามาหา ก้มลงกราบนอบน้อม เด็กน้อยทั้งสองคนก็พลอยปฏิบัติตามไปด้วย ดูน่ารัก หมอเถาเดินตามหลังมา ลงนั่งใกล้ๆพินิจดูแขกที่มาหาหลวงตา นึกเดาในใจจากภูมิฐาน คงจะมีฐานะยากจนและดูสีหน้าหม่นหมอง เพราะความทุกข์ที่ได้รับ แขกที่มาหาพนมมือบอก
“ผมรับจ้างเขาเป็นลูกเรือตังเกจับปลาอยู่ปากน้ำปราณขอรับ แม่ของเด็กมาเสียชีวิตเมื่อเดือนที่แล้ว ผมก็เลยขึ้นจากเรือมาเลี้ยงลูก ญาติที่ไหนก็ไม่มีเพราะผมเป็นคนเมืองอื่น การงานก็ไม่มีลําบากเหลือทน ที่ต้องเลี้ยงปากเลี้ยงท้องตัวเองและลูกๆ 3 ชีวิต”
หลวงตาชื้นนั่งนิ่งฟัง ได้แต่พยักหน้าด้วยความเห็นใจยังงงๆ ไม่รู้เขาจะมาไม้ไหน ชายผู้ยากไร้ยกมือที่พนมสูงจนจรดหน้าผากเอ่ยชัดถอยชัดคํา
"ผมพาลูกมาขอทานหลวงตา" หลวงตาชื้นร้องอ้าวเต็มเสียง “เอาฉันเข้าแล้ว พ่อทูนหัว ฉันเองเป็นพระมีอาชีพบิณฑบาตรชาวบ้านเขากินเหมือนกัน ถ้าจะเอาแค่ข้าวปลาอาหารแก้หิว อาหารเหลือฉันเพลมีทุกมื้อ”
หมอเถาและครูก้อนหัวเราะคิ๊ก นึกในใจว่า วันนี้หลวงตาเจอคนดีเข้าแล้ว
"มิได้ขอรับ - เปล่ามิได้" เขารีบปฏิเสธพัลวัน เพราะเห็นหลวงตาเข้าใจผิด “ผมจะพาลูกๆสองคนมาให้หลวงตาสงเคราะห์นึกวาเอาบุญเถอะขอรับ"
"เอ้า หนักเข้าไปอีก” หลวงตาชื้นชักฉุนหมดความเกรงใจ“ ฉันไม่ได้ตั้งโรงเลี้ยงเด็กจ๊ะ จะได้รับลูกของพ่อมาเลี้ยงเอาบุญ ครูก้อนสะกิดหมอเถาเอียงหน้ามากระซิบข้างหู
“หมอเถาไม่รับเอาไรอีกเร๊อะ ส่งไปให้มหาครื้นที่กรุงเทพฯก็ได้"
"ช๊ะ... ช่างยุดีนัก" หมอเถาเอานิ้วจิ้มหน้าครูก้อนออกไปห่างๆ "ลําพังเลี้ยงเจ้าถวัลย์คนเดียว มหาครื้นยังสั่งเก็บปัจจัยที่สวดมนต์ได้ ใส่กระปุกไว้คอยจ่ายอยู่แล้ว ถ้าส่งนายถวัลย์ 2 ถวัลย์ 3 ไปให้อีก มหาครื้นต้องสึกออกไปรับจ้างหาเงินมาเลี้ยงลูกศิษย์แน่" ชายผู้นั้นหน้าแดง จะเพราะผิดหวังหรืออับอายก็ไม่รู้กลับอุทาน “โธ่... ขอรับหลวงตา" "อย่าโธ่..เว้ย” หลวงตาชื้นชักขึ้นเสียงดังไม่พอใจ“อยู่ๆจะมายัดเยียดเด็กให้พระเลี้ยงเป็นห่วงผูกคอนะมันเรื่องอะไรกัน"
“ปล่าว...ขอรับ" “อ้าว” "ผมพาลูกสองคนมาขอทานสติปัญญาของหลวงตา ช่วยสงเคราะห์ดูดวงชะตาให้ขอรับ"
หลวงตาชื้นและหมอเถา ครูก้อน ถอนหายใจดัง ๆ 3 เฮ้อพร้อมกันด้วยโล่งอก หลวงตาชื้นส่ายหน้าอ่อนใจ
“เออแน่ะจะบอกธุระเสียตรงๆก็รู้เรื่องกัน พูดอ้อมไป 7 คุ้งน้ำ เกือบทำให้เสียคน พับผ่าเถอะ" หมอเถาคันปากอดสอดไม่ได้
"เมื่อตอนรักใคร่จะได้เสียแม่เจ้าหนูนะ พูดอ้อมค้อมอย่างนี้หรือเปล่านะ" ชายผู้นั้นตอบด้วยสีหน้าและน้ำเสียงทื่อๆว่า “ไม่ได้พูดกันเลยสักคํา ผมใช้วิธีล็อคคอแล้วขัดขาให้ล้ม มันเลยตกลงกันโดยอัตโนมัติ"
หมอเถาและครูก้อนปลอยก๊ากไม่ยั้ง ส่วนหลวงตาชื้นก็พลอยหัวร่อ จนชานหมากร่วงจากปาก แม้ชายเจ้าของเรื่องเองก็หัวเราะหึๆกะเขาไปด้วย บรรยากาศที่ตึงเครียดอยู่เมื่อครู่ก็คลี่คลายแจ่มใส เพราะความเข้าใจเรื่องกันแล้ว หลวงตาชื้นเอนหลังพิงฝาเฟี้ยม พยักหน้าเรียกหมอเถาและครูก้อนให้เข้ามาและหยิบกระดานโหรส่งให้ผูกดวงเด็กทั้งสองพี่น้อง หมอเถาและครูก้อนช่วยกันพลิกปูมโหรวางตําแหน่งดาว ตามวันเดือนปีที่พ่อเด็กเป็นคนบอก ทําเป็นดวงคู่กันลงบนกระดาน หลวงตาชื้นยังไม่หายเมื่อย คงนั่งพิงพยักหน้าอนุญาตให้ศิษย์ทั้งสองแสดงภูมิ พ่อเด็กซึ่งมีสีหน้าซื่อๆปนเซ่อ อธิบายเสียงเรียบๆ
"3 ชีวิตกอดคอกันอยู่อย่างนี้คงอดตายแน่ ลูกคนหนึ่งจะต้องจากพ่อไปอยู่กับคนอื่นเขา ผมจึงต้องการดูดวงชะตาของลูกว่าคนไหน จะมีดวงอุปการะไปอยู่กับคนอื่นเขาแล้วจะได้ดี เพราะถ้าส่งไปผิดคนก็จะเป็นการทําร้ายลูกให้ลําบาก”
หมอเถาและครูก้อนชําเลืองดูเด็ก เห็นแววตาที่ไร้เดียงสาทั้งสองคนสลด บอกถึงความรู้สึกอาลัยอาวรณ์ที่จะต้องจากพ่อ จึงก้มหน้าลงพิจารณาดวงดาวอยู่ครู่หนึ่ง ครูก้อนมีนิสัยชอบสะกิด จึงสะกิดเอวจนหมอเถาตัวคด
“ไง...จะเอาซ้ายหรือขวา” โดยปกติหมอเถาหัวทื่อ แต่วันนี้อารมณ์ไวเป็นพิเศษ ย้อนตอบทันควัน "ถามยังกะนักการเมืองเชียวนะ ถ้าว่าถามดวงเด็กก็ขอดูให้ถี่ถ้วนเสียก่อน แต่ถ้าถามเรื่องอื่น ขอตอบว่าเอาขวาแน่ เพราะเกิดจากท้องพ่อทองแม่ ส่วนอีซ้ายนั้นใช้แต่เช็ดก้น"
หลวงตาชื้นถูกใจ “เออ วันนี้คงข้างขึ้นแก่ๆ หมอเถาจึงฉลาด ตอบสมใจนัก"
ครูก้อนเสียท่าเพื่อน ก็เลยไม่ตอแยอีก ก้มหน้าอ่านดวงต่อ "ดวงที่ข้างซ้ายนี่ ตนุลัคนตัววาสนาเป็นศุกร์ได้คู่มิตรอังคารซึ่งเป็นนิจ รวมในภพกัมมะเรือนจันทร์ ศุกร์ไม่มีตําแหนงเด่น แต่ดวงน้องข้างขวา ตนุลัคน์คือพฤหัส เป็นมหาอุจในภพมรณะเห็นท่าจะดีกว่าแน่ เพราะความหมายของดาวเรือนนี้มันหมายถึงว่า จากไปแล้วจะได้เป็นใหญ่แน่"
หมอเถามัวแต่งุ่มง่ามนับนิ้วทางทักษาอยู่จึงไม่ทันครูก้อนเช่นเคย "แต่คนพี่นั้น ศุกร์ตนุลัคน์เป็นศรีไปร่วมคู่มิตรอังคารซึ่งเป็นมนตรีมันดีนา ถึงอังคารจะเป็นนิจก็เถอะ เด็กคนนี้ไปอยู่กับผู้อื่นจะได้ที่พึ่งอุปการะ ไม่มีใครรังเกียจ ส่วนดวงน้องนั้นจริงอยู่ว่าจะมีวาสนาดี เพราะตนุลัคน์เป็นอุจแต่เป็นอุจในเรือนมรณะเมื่อดาวสองจังหวะ ตามที่หลวงตาสอน ดาวเจ้าเรือนมรณะมาสถิตอยู่ภพกัมมะ อ่านได้ว่าตนุลัคน์อุจ - มรณะ - กัมมะ มันหมายถึงตัวเองยิ่งใหญ่แล้วไม่เอาธุระการงาน แล้ว มันจะอาศัยคนอื่นเขาอยู่ได้ยังไงนะครูก้อน”
ครูก้อนถูกขัดคอ ชักอึดอัดคิดหาเหตุผลตอบโต้หลวงตาชื้น ชะเง้อมองลอดช่องแขนดูดวงบนกระดานและปรารภเปรยๆ
"เจ้าสองคนนี้ปล่อยให้ดูดวงทีไร อ้ายคนหนึ่งขึ้นเหนือ อ้ายคนหนึ่งลงใต้ ไม่เคยดูเหมือนกันสักที นี่ถ้าครูสมศักดิ์อยู่ก็คงแยกไป ตะวันออกเฉียงเหนืออีกสายหนึ่งเป็นแน่ เออนะ ลูกศิษย์อาจารยเดียวกันแท้ๆ”
ทั้งหมอเถาและครูก้อนได้ช่องหลีกทางให้หลวงตาชื้นเขาหน้ากระดานเอง หมอเถานั้นหันไปบริการทางที่ถนัดคือรินน้ำชาใส่ถ้วย ประเคนอย่างเคย หลวงตาชื้นรับประเคนน้ำชาดื่มพลางตรวจดูดวงเล็กทั้งสอง และเงยหน้าดูหน้าเด็กด้วยความพินิจพิเคราะห์เปรียบเทียบดวงดาวที่เห็น อยู่ เมื่อแน่ใจก็หันมาสอนศิษย์
"การพยากรณ์ดวงชะตา มันต้องรู้จุดประสงค์ของเจ้าของชะตาเขา มิใช่ว่าพอจับดวงขึ้นมาก็ทายตั้งแต ก.ไก่เพ้อไปจนถึง ฮ.นกฮูก เหนื่อยเปล่า เรื่องเด็ก 2 คนนี้พ่อเขาต้องการรู้เพียงว่า คนไหนเหมาะสม ที่จะไปฝากฝังอยู่กับผู้อื่นเขา มันต้องจับประเด็นให้ถูกเรื่อง หมอเถาน่ะ มันดูเข้าเค้าดี เด็กที่จะไปอาศัยเขา มันต้องมีอัธยาศัยดีอ่อนน้อม ขยันขันแข็งใช้คล่อง เขาถึงจะรักและเมตตา”
หลวงตาพูดยืดยาวจนต้องหยุดพักจุดบุหรี่สูบอยู่ครู่ใหญ่ จึงพูดต่อ “ที่สําคัญก็ต้องดูอุปนิสัยใจคอของเด็กจากตนุเศษเสียก่อน เจ้าคนพี่ ตนุเศษคือศุกร์ในเรือนจันทร์มันอ่อนหวาน มีอารมณ์แช่มชื่น หัวอ่อน ว่าง่าย และศุกร์ตนุเศษเป็นศรี มันรักดีใฝ่ดีแม้ร่วมอังคารก็ไม่แรงเพราะเป็นนิจไปเสียแล้ว ศุกร์เป็นทั้งตนุลัคน์และตนุเศษ เป็นคนเปิดเผย สุจริต เมื่อตนุเศษมาอยู่ในภพกัมมะ มันรักเอาใจใส่การงานดี ส่วนเจ้าน้องชายนั้น ตนุเศษคืออังคารในเรือนอาทิตย์ ใจมันกล้าหาญ ร้อนแรงอยู่ข้างจะไม่เรียบร้อย ยิ่งติดเรือนอาทิตย์ถ้าจะดื้อมันถือทิษฐิ รั้นเอาการ ยิ่งร่วมมฤตยูมันดึงดันหัวชนฝาทีเดียว มิหนําซ้ำราหูตัวอารมณ์ครองราศีเมษเรือนอังคาร ทําให้อังคารตัวนี้วู่วามขาดความยับยั้ง แต่ถ้ายามดีมันก็ขยันหมั่นเพียรอาสาการงานดีเพราะตนุเศษเป็นอุตสาหะ คนที่ตนุลัคน์เป็นอุจนั้นไม่ใคร่ยอมลงใครง่ายๆหรอก”
ครูก้อนมองตามดาวที่หลวงตาชื้นอ่านไปทุกภพจนจบกระแสความ
“ถาหลวงตาดูแบบนี้ผมก็เห็นชัดว่า เจ้าคนพี่ควรจากพ่อไปอยู่กับผู้อื่น เพราะจะทําให้เขาเมตตาได้ ส่วนคนน้องเห็นทีจะเกิดภัยแก่ตนมากกวา”
หมอเถาหน้าบานที่หลวงตาชมและทายสนับสนุนมาข้างความเห็นของตัว “ผมก็เห็นอย่างหลวงตาว่า แต่มันพูดไม่ถูก”
หลวงตาชื้นชี้ดาวบนกระดานย้ำให้ศิษย์ฟังอีกวา “ดาวอื่นในภพทั้งหลาย ยังมีความหมายแก่ชีวิตอนาคตของเขาที่จะเป็นอีกมาก เพราะคนเรามันไม่ต้องอาศัยใครเขากินไปตลอดชีวิตหรอก วาสนามันต้องดิ้นรนไปเป็นตัวของมันเองจนได้ ขั้นนี้แก้ปัญหาเฉพาะหน้าให้ลุล่วงไปก่อน”
ผู้พ่อมีสีหน้าหม่นหมองยิ่งไปกว่าเดิม พนมมือถามเสียงเครือ
"คนพี่ควรจะไปอยู่กับผู้อื่นเขาเช่นนั้นหรือขอรับ"
"หลวงตาชื้นนัยน์ตายังจับอยู่กับดวงบนกระดาน ก็ตอบไปโดยไม่ทันคิดอย่างอื่น
"เจ้าคนพี่ นั่นแหละเหมาะแล้ว" เจ้าเด็กคนพี่ที่นั่งเบียดพ่อคอยตั้งใจฟังอยู่เหมือนฟังคําตัดสิน ประหารชีวิต สะอื้นฮักๆและปล่อยโฮออกมาด้วยความเสียใจ ทําให้ทั้งอาจารย์และศิษย์ผู้พยากรณ์ทั้งสามคนหัวใจระส่ำระส่ายเพราะเวทนา เจ้าเด็กน้อยไม่ร้องไห้เปล่า ยังสั่งเสียพ่อด้วยน้ำเสียงสะอื้น
“พ่อขายผมได้เงินมาแล้ว พ่อต้องให้น้องเขาโรงเรียนนะ แล้วทําบุญให้แม่ด้วย"
หลวงตาชื้นฟังผิดหูจึงจ้องหน้าเข้าคนพ่อถามตรงไม่เกรงใจ
“นี่เราจะขายลูกเรอะ"
"ก็ไมเชิงขอรับ” เขาตอบเลี่ยงๆและหลบตาหลวงตา
"คนจีนในตลาดเขาไม่มีบุตร เขาขอไปเลี้ยง จะให้ค่าเลี้ยงดูแปดพันบาท ยามนี้เงินแค่นี้ก็มากโขขอรับ ผมตั้งใจว่าจะเอาเงินก้อนนี้เป็นทุนทํามาหาเลี้ยงดูเจ้าคนน้องต่อไป”
หลวงตาชื้นหมดความสํารวมที่จะทนฟังขว้างชอล์กลงบนกระดานดังโป๊ก “นรก เอานรกมาให้พระแท้ๆ มันเอาลูกมาให้พระดูดวงคัดขาย เหมือนวัวเหมือนควาย คนสิ้นคิด”
ทั้งหมอเถาและครูก้อน ทั้งตกใจและคิดไม่ถึง ได้แต่นิ่งอึ้งมองหน้าเด็กคนพี่ร้องไห้หัวใจแป้วสงสาร ส่วนพ่อเด็กถูกหลวงตากราดใส่หน้า ทําท่าทางกระสับกระส่ายทําทีเหมือนจะลากลับ หนีหน้าไปเสียให้พ้น หลวงตาชื้นเหมือนจะได้สติยกมือลูบหัวเจ้าหนูน้อยที่จะต้องจากพ่อ
"ข้าเคยใช้วิชาโหราศาสตร์เป็นกุศลปลดเปลื้องให้คนเขาสิ้นทุกข์ แต่ในครั้งนี้ข้าเอาวิชาโหราศาสตร์มาทําบาป สร้างกรรมสร้างทุกข์ให้แก่เจ้า เอาเถอะ ข้าบวชมาแต่หนุ่มจนนับพรรษไม่ถ้วน ข้าจะตรวจน้ำอุทิศอานิสงส์ให้เจ้าทั้งหมด จะเป็นกุศลส่งเขาได้ดิบได้ดีไปเบื้องหน้า"
ด้วยทีท่าหลวงตาลูบหัวเด็ก กระงกกระเงิ่นตามความรู้สึกของคนแก่ที่กําลังเสียใจ ทั้งหมอเถาและครูก้อนต้องเบือนหน้า ตื้นตันหัวใจ จนแทบจะพลอยเสียน้ำตาตามเด็กไปดวย หลวงตาชื้นก้มหน้าลบดวงเด็กบนกระดานออก พยายามสะกดกลั้นความรู้สึกสะเทือนใจที่มีอยู่เต็มอก ความรู้สึกก็ย้อนไปถึงเมื่อวัยเด็ก ที่อาศัยผู้อื่นอยู่ ความทรงจําเก่าเรื่องหนึ่งหวลกลับมาสู่ความคิด
"ก่อนจะกลับนี่อยากจะเล่าอะไรให้ฟังไว้สักเรื่องหนึ่ง เป็นเรื่องพ่อและลูกที่เกิดขึ้นจริงๆ เมื่อสมัยอาตมายังเป็นเด็ก ไม่ได้สรรค์แต่งมาพูดเทศนา ฟังแล้วจะไม่ยึดถือเอาทิ้งไว้ชานกฏินี้ก็ได้ เมื่อเห็นพ่อเด็กนิ่งเหมือนยอมรับฟังโดยดุษฎีหลวงตาก็เริ่มเรื่องขึ้น
“เมื่ออาตมายังเด็ก อายุคราวๆเจ้าสองคนนี่แหละ โยมป้าแช่ม แกเป็นสาวแก่ ขออาตมาซึ่งเป็นหลานมาเลี้ยง แกจับอาตมาบวชเณรที่วัดตีนเลน เดี๋ยวนี้เขาเรียกวัดบพิตรภิมุข ส่วนตัวแกเองอยู่บ้านถัดวัดเข้าไป เป็นสะพานยาวตามที่ชายเลนลงริมแม่น้ำ อาชีพแกทําขนมฝรั่งขายส่งเจ้าจํานําอยู่สะพานหัน ซึ่งส่งกันเป็นประจําทุกวัน การส่งขนมเจ้าจํานําของแกแปลกประหลาดไม่เหมือนใคร คือใช้สุนัขเป็นผู้ส่งและรับเงินค่าขนมกลับมาเสร็จ เจ้าสุนัขตัวนี้รูปร่างพิกล เป็นสุนัขตัวผู้สีขาวปลอด แต่ตอนศีรษะเหมือนใครเอาถุงผ้าดํามาคลุมไว้ แกเลยตั้งชื่อตามลักษณะของมันว่า “อ้ายโม่ง” วิธีส่งขนมฝรั่งของแกคือ พอทําเสร็จก็เรียงบรรจุลงในตะกร้าหวายสําหรับถือไปจ่ายกับข้าว เอาผ้าปิดกันฝุ่นไว้ เขียนจดหมายบอกราคาเงินใส่ไปด้วย ส่งให้อ้ายโม่งคาบไปส่งเจ้าจํานําที่เชิงสะพานหัน เมื่อเจ้าจํานํารับขนมฝรั่งครบก็เอาสตางค์ใส่ตะกร้า ส่งให้อ้ายโม่งคาบกลับมา ปฏิบัติเช่นนี้มาทุกวัน ที่มันฉลาดรอบรู้ทําได้ดี เพราะตอนมันเล็กๆ มันติดสอยห้อยตามโยมป้าไปส่งขนมฝรั่งเจ้าจํานําคนนี้เป็นประจําร่วมปี จนมันโตเป็นหนุ่มจําได้แม่น ระยะทางจากบ้านปลายสะพานยาวมาร้านเจ้าจํานําที่สะพานหันนั้นมันไกลพอดู จากบ้านต้องผ่านวัดและเลี้ยวอ้อมโบสถ์มาหลังโรงเรียนบพิตรภิมุข และเลียบตึกแถวริมคลองโอ่งอ่างมาจนถึงสะพานหัน ชาวบ้านสองข้างทางทุกบ้านรู้จักอ้ายโม่งดี เวลามันคาบตะกร้าขนมฝรั่งมาพอหยุดพักหน้าบ้านใครเขา เขาก็แกล้งล้อมันว่าขอขนมฝรั่งกิน มันทําตาเขียวโกรธ รีบคาบตะกร้าหนีไปหน้าบ้านอื่นทันที ถ้าเป็นเด็กๆทําวอแวมาคว้าขนมฝรั่งมันฮือฮาจะกัดเอาจริงๆ ส่วนตัวมันเองสัตย์ซื่อถือขันติไม่เคยแตะต้องขนมฝรั่งในตะกร้าเลย และเวลาขากลับได้สตางค์มามันจะวิ่งแน่วไม่ยอมหยุดที่ไหนกลับถึงบ้านทันที มันส่งมาแรมปี"
“อยู่มาวันหนึ่งเกิดเหตุประหลาดขึ้น เจ้าจํานํารับขนมเขียนหนังสือต่อว่า ว่าขนมขาดจํานวนไป 2 อัน คุณโยมป้าแช่มไม่สงสัยอะไร คิดว่าตัวเองอาจเผลอเรอนับผิดมากกว่า จึงพยายามนับอย่างถี่ถ้วน จนครบแล้วส่งไปก็ถูกต่อว่ายังขาดเช่นเดิม โยมป้าคิดอะไรไม่ถูก หาเหตุผลไม่ได้จะว่าหายระหว่างทาง ก็ไม่น่าจะเป็นได้เพราะอ้ายโม่ง มันรักษาหน้าที่เคร่งครัดมาตลอดเวลาร่วมปี ไม่เคยบกพร่อง เพื่อตัดปัญหาแกก็นับเกินไป 2 อันเผื่อหายไว้ ครั้งนี้ไม่มีการต่อว่าการขาดอีก จนสองสามวันต่อมา ความสงสัยของโยมป้าไม่มีสิ้นสุด ความอยากรู้สาเหตุวันหนึ่งแกนับขนมมอบอ้ายโม่งไปแล้ว แกก็แอบสะกดรอยตามหลังอ้ายโม่งไปด้วย อ้ายโม่งออกจากบ้านก็ตรงแน่วไม่แวะที่ไหน ผ่านถนนในวัดตรงไปสู่โบสถ์แต่ตอนจะเลี้ยวหลังโบสถ์ผานลานทรายไปทางริมคลอง โยมป้ากลับเห็นอ้ายโม่งเลี้ยวข้างกําแพงโบสถ์ เข้าไปหลังเจดีย์ซึ่งเป็นที่ลับตา สักพักอ้ายโม่งก็กลับออกมาและมุ่งหน้าไปตามเส้นทางส่งขนมตามเคย
“โยมป้าแอบเข้าไปดูปรากฏว่าหมาแม่ลูกอ่อน ออกลูกโทน สีสรรค์เหมือนอ้ายโม่งไม่มีผิด ไม่มีใครบอกก็ต้องรู้ว่าเป็นลูกอ้ายโม่งชัด และมีขนมฝรั่งที่แกทําวางไว้สองก้อน”
“นับแต่วันนั้นมา โยมป้าก็ต้องนับขนมฝรั่งให้เกินไว้ 2 อัน เพื่อให้อ้ายโม่งได้ทําหน้าที่พ่อที่ต้องเลี้ยงดูลูกเมียหมาๆของมัน จนกระทั่งลูกหมาได้อายุหย่านมแล้ว โยมป้าจึงติดตามไปเอาสายเลือดของเจ้าโม่งมาเลี้ยงเป็นสมาชิกครอบครัวเพิ่มขึ้น เรื่องนี้ชาวบ้านแถบนั้นเขารู้เรื่องโจทก์ขานกันอยู่หลายปี คนเก่าแก่แถวนั้นเดี๋ยวนี้ก็ยังคงพูดถึงอยู่เสมอ"
เมื่อหลวงตาชื้นเล่าจบเงียบลง ทั้งหมอเถา ครูก้อน พ่อเด็กไม่มีใครออกความเห็นอะไร ต่างคนต่างนั่งคิดในใจด้วยความรู้สึกที่ไม่มีใครรู้ได้แม้แต่ความรูสึกของผู้เล่าเอง ไม่มีเสียงพูดคุย มีแต่เสียงเจ้าเด็กคนพี่ ที่ถูกตัดสินให้จากพ่อยังคงสะอื้นร้องไห้เบาๆ และพาเจ้าคนน้องที่รู้เรื่องบ้างไม่รู้บ้างพลอยร้องไห้ตามพี่ไปด้วย จนครู่ใหญ่พ่อเด็กกระเถิบเข้ามาพนมมือบอกลา และก้มลง กราบ เจ้าลูกน้อยทั้งสองคนก็กราบตาม เมื่อเงยหน้าขึ้น พื้นกระดานตรงหน้าเปื้อนหยดรอยน้ำตาเป็นสามดวงทั้งของพ่อและลูกๆ ก่อนจะถอยจากไปพ่อเด็กพนมมือพูดเสียงเครือ น้ำตาอาบแก้ม
“ผมตัดสินใจไม่ขายลูกแล้วขอรับ อายอ้ายโม่งมัน" หลวงตาชื้นยิ้มปิติทั้งๆที่นัยน์ตาพร่า เพราะม่านน้ำตาคนแก่เอ่อเต็มเบ้าท่าน ดึงเจ้าเด็ก 2 คนเข้ามากอดเอาจีวรเช็ดน้ำตาให้และแอบล้วงเงืนในย่ามแบ่งยัดใส่กระเป๋าเสื้อเจ้าเด็กน้อยทั้งคู่ เป็นการปลอบขวัญก่อนจะจากกัน