ขอขอบคุณ คุณนริศรา ที่เอื้อเฟื้อหนังสือ
ชีวิตโหรเก่าที่ผมรู้จัก
อ.อรุณ ลำเพ็ญ - หมอเถา(วัลย์)
ชีวิตโหราศาสตร์ของผมเริ่มต้นมาแต่เด็กวัย ๑๐ ขวบเศษ ผมเกิดและเติบโตจากหมู่บ้านที่ติดกับวัดเชิงเลน (วัดบพิตรภิมุข) บิดาผมคุ้นเคยกับพระรูปหนึ่งในวัด โดยไปมาหาสู่และถวายภัตตาหารเสมอมา ผมว่างผมก็ตามบิดามาเล่นบนกุฏิท่าน ส่วนบิดาก็เสวนาเรื่องโหราศาสตร์ตามที่ท่านชอบกับพระรูปนั้น พอผมหมดเรื่องเล่น ผมก็มานั่งฟังรู้เรื่องมั่งไม่รู้เรื่องมั่งเป็นกิจวัตรประจํา ภิกษุรูปนั้นก็คือโหรแดง แห่งวัดบพิตรภิมุข ผู้โด่งดังในวงการโหรยุคเมื่อ 50 ปีก่อน โหรรุ่นเก่า ทุกท่านรู้จักท่านดีว่า ท่านเชี่ยวชาญในการใช้ดาวใหญ่ คือ เสาร์ ราหู พฤหัส เท่านั้นในการพยากรณซึ่งเป็นที่แม่นยําน่าพิศวง พอชีวิตเริ่มเป็นหนุ่ม ๒๐ เศษ ได้เข้าฝึกงานหนังสือพิมพ์สยามนิกรยุคซึ่งคุณโชติ แพร่พันธุ์ (ยาขอบ) เป็นคนคุมหนังสือฉบับนั้น และมีเพื่อนสนิทคนหนึ่งทํางานกองบรรณาธิการหนังสือพิมพ์ไทยใหม่ คือ คุณจํานง วงศ์ข้าหลวง (ต่อมาท่านได้เป็นนักประพันธ์ผู้มีชื่อเสียงมาก) ผมได้ไปมาหาสู่ จนได้พบนักโหราศาสตร์ท่านหนึ่งในยุคนั้นถือกันว่ามี ชื่อเสียงเป็นที่รู้จัก เพราะท่านเขียนเรื่องโหราศาสตร์ไทยไว้เป็นเล่มมากเลย เป็นนักโหราศาสตร์ร่วมยุคกับท่านอายัณโฆษ ใช้นามปากกาว่า ธงดํา ผมเรียกชื่อจริงของท่านว่า พี่ชอุ่ม ท่านชอบเสพสุราและผมก็กําลังหัดกินเหล้าจึงถูกชักชวนมาร่วมวง ขณะกินเหล้าพี่ชอุ่มมักชอบสาธยาย ความรู้ทางโหราศาสตร์เสมอ ไม่เอาใจใส่ก็เหมือนต้องเอาใจใส่ เพราะต้องเอาใจพี่ชอุ่มซึ่งเป็นเจ้าของเหล้า เสวนากันเป็นแรมปี จนบางครั้งเรามาตั้งวงกินเหล้ากันลําพัง พอใครเอ่ยเรื่องดวงเรื่องดาวขึ้นมา มักถูกเรียกเป็นพี่ชอุ่มเสมอ ต่อมาได้ย้ายงานหนังสือพิมพ์มาทําอยู่หนังสือพิมพ์สยามรีวิว ของนายชอ้อน อําพล ผู้เป็นน้าชาย เป็นหนังสือพิมพ์รายสัปดาหผ์ออกทุกวันเสาร์ฉะนั้นวันจันทร์ถึงวันศุกร์จึงเป็นวันที่เร่ร่อนเที่ยวไปทุกแห่ง เพื่อพบผู้คนมากมายเพื่อหาข่าวมาเขียนในวันเสาร์ น้าชอ้อนเป็นคนกว้างขวางมีเพื่อนมาก ได้ไปทุกแห่ง แต่พอตกบ่ายมักจะมา หยุดลงที่วัดยานนาวา ที่กุฏิริมแมน้ำ อันเป็นกุฏิของพระมหาบุญช่วย เพราะที่นี่เป็นที่ชุมนุมผู้คนไปมามากหน้าหลายตาทั้งแขกขาประจําและแขกจรได้เรื่องราวมาเขียนมาก พระมหาบุญช่วยก็คือ ญาณโชติยศาสตร์ นักโหราศาสตรฺซึ่งต่อมาเขียนตําราโหราศาสตร์ไว้มากมายหลายเล่ม และนักโหราศาสตร์รุ่นเก่ารู้จักกันทุกคน แขกขาประจํามักจะมาสนทนาโต้แย้งสนับสนุนกันถึงเรื่องโหราศาสตรืไทยกันอย้างสนุกสนาน บางครั้งร้วมวงกว้า ๑๐ คน ส้วนแขกจรมักเป็นคุณหญิงคุณนายและผู้ใหญ่ที่มาดูดวงกัน ท่านชอบทายต่อหน้านักโหราศาสตรอื่นๆ พอทายถูกโดยไม้เด็ดเคล็ดลับ บ้างหัวร่อเฮฮากันจนคนมาดูอายม้วนก็เคยมีหลายๆครั้ง พอเจ้าตัวกลับไป ท่านก็จะอธิบายดวง โดยนักโหราศาสตร์อื่นๆดูเป็นความรู้ติดตัวไปเสมอ ต่อมาผมได้ย่ายบ้านมาอยู่กับน้าชอ้อนที่บ้านถนนข้าวสาร น้าชอ้อนคุ้นเคยอยูกับโหรใหญ่ทานหนึ่ง ผู้ลาออกจากกรมโหรหลวงในขณะที่เป็นรองเจ้ากรมโหรฯ เหตุที่ลานัยว่าเพื่อหนีตําแหนงเจ้ากรมโหรฯ เพราะได้รับการทาบทามแล้ว แต่ท่านต้องการที่จะหลีกทางให้เพื่อนรัก คุณพระญาณเวทท่านชอบเสพสุราเป็นนิจ จึงถูกอัธยาศัยกับน้าชอ้อนเป็นอันดี บ้านท่านอยู่หลังวัดบวรนิเวศนซึ่งห่างจากบ้านผมเพียงถนนเดียวเอง น้าชอ้อนมักมาติดแหมะอยู่บ้านคุณพระญาณเวทตั้งแต่เย็นจนดึกดื่นเสมอ และเมื่อผมถูกใช้ให้มาตามกลับ มักติดแหมะอยู่ด้วยอีกคน เพราะท่านเป็นคนคุยสนุก ท่านเป็นคนแปลกกว่าผู้มีความรู้ทางโหราศาสตรทั่วไป ถ้าไม่ถามเรื่องโหราศาสตร์ท่านก็จะไม่พูดเรื่อง โหราศาสตร์เลย แต่เวลาท่านพูดท่านจะพูดและบอกให้อย่างจริงจังและแจ่มแจ้ง ผมชอบเลียบเคียงถามเรื่องโหราศาสตรืกับท่าน มิใช่ประสงคืจะเรียนรูเเอาจริงเอาจัง เพียงแต้เดสังเกตเห็นว้าคราวใดที่ท้าน ได้พูดคุยถึงโหราศาสตร์สีหน้าท่านจะเบิกบานมีความสุขเป็นอันมาก และสิ่งที่ผมต้องการคือ จดจําขี้ปากท่านไว้สนทนากับวงสนทนาอื่นแสดงภูมิเท่านั้น ยังมิได้คิดจะเรียนรู้อย่างจริงจังประการใด มีอยู่ครั้งหนึ่ง น้าชอ้อนได้มีนัดกับคนจังหวัดนนท์ที่บ้าน แต่คอยอยู่จนบ่ายก็ยังไม่มา ใช้ให้ผมไปถามคุณพระญาณเวทย์ว่าเขาจะมาหาหรือไม่ คุณพระญาณท่านใช้ยามทางดวงดาวบอกวาคนกําลังเดินทางมาใกล่ถึงแล้ว ผมกลับไปคงได้พบแน่ ผมถามท่านว่าจริงหรือขอรับ ท่านว่าจริง และเขาเอาทุเรียนมาด้วย ๒ ผลนั้นผลหนึ่งใหญ่ ผลหนึ่งเล็ก พอผมกลับมาบ้านก็พบกับคนที่นัดไว้ตรงประตูจะเข้าบ้าน หิ้วทุเรียนมาจริงๆ ผลเล็กเป็นทุเรียนก้านยาว ผลใหญ่เป็นกบแม่เฒ่า พอแขกกลับแล้ว ผมต้องหิ้วทุเรียนผลใหญ่ไปให้ท่านตามสัญญา อยู่มาวันหนึ่ง สุทธิเพื่อนผมซึ่งอยู่ทางถนนสิบสามห้างลูกชายหายไปจากบ้านตั้งแต่เช้ากระทั่งบ่าย เที่ยวตามหาที่ต่างๆก็ไม่พบ เป็นห่วงหนักเขาก็ไปหาคุณพระญาณทานใช้ยามทางดวงดาวซึ่งท่านถนัด บอกให้สุทธิไปตามที่ท่าน้ำริมคลอง ลูกชายกําลังมีอันตรายในน้ำ สุทธิรีบลาจากวิ่งไปที่รู้ว่าลูกชายชอบไปเล่นน้ำคือ ท่าน้ำเชิงสะพานบางลําพูก็ไม่พบอะไร เป็นครั้งแรกที่สุทธิเล่าว่าท่านทายผิด จึงกลับมาหาท่านอีกครั้งแล้วว่าไม่พบ ท่านจุ๊ปากไม่สบอารมณ์และกลับดุสุทธิว่าไปช้าไป ให้ไปตามใหมที่โรงพัก สุทธิรีบไปโรงพักชนะสงคราม พบลูกที่โรงพักเนื้อตัวเปียกปอนไปหมด สอบถามได้ความว่าไปเล่นน้ำที่ศาลาท่าน้ำวัดบวร ข้างสมาคมโหร ขณะที่เล่นบนแพซุงหน้าโรงเลื่อยตกลงไประหวางท่อนซุง ถูกหนีบไว้ขึ้นไม่ได้ร้องให้คนช่วย ตํารวจพบเข้าจึงนํามาโรงพักเพื่อดูวาถ้าเจ็บ จะได้ส่งโรงพยาบาล ต่อมาหนังสือพิมพฺสยามรีวิวเลิกไป ผมก็เร่ร่อน แต่ส่วนใหญ่ก็มารวมกลุ่มนักสุราบาลที่บ้านถนนดํารงรักษ์ อันเป็นบ้านของ ม.ล.บัว มารดาคุณก้าน พึ่งบุญ ณ อยุธยา (ไม้เมืองเดิม) สมาชิกแต่ละท่านล้วนเป็นนักเขียนชื่อดังทั้งสิ้น เช่น สุมทุม บุญเกื้อ มนัส จรรยงค์, ยศ วัชรเสถียร, พาณี นานครั้งคุณเลียว ศรีเสวก (อรวรรณ) คุณเหม เวชกร ก็เคย มาร่วมด้วย ขณะนั้นมีสมาชิกใหม่คือคุณสะอาด จันทรกานตานนท์เป็น ผู้จัดการโรงพิมพ์รองเมือง ชวนให้ตั้งคณะออกหนังสืออ่านเล่น พวกเราจึงตกลงรับปากตั้งคณะรองเมือง มีจดหมายแฟนหลั่งไหลเข้ามามาก คุณก้านเป็นผู้ตอบจดหมาย ตั้งนามปากกาผู้ตอบว่า “นายเถาวัลยฺ” หนักๆเขาคุณก้านก็โอนให้ผมเป็นผู้ตอบแทน ประมาณปี ๒๔๙๐ เศษ น้าชอ้อน อําพลได้ลงสมัครผู้แทนราษฎรจังหวัดประจวบฯ ความผูกพันที่ผมมีอยู่จึงทิ้งงานไปชั่ว ระยะหนึ่งเพื่อไปช่วยหาเสียงช่วยน่าชอ่อน นับต้ังแต่ปิดใบปลิวปิดโปสเตอร์ ปาฐกถาและพูดจาแสดงคารมชักชวน เมื่อเข้าตัวจังหวัด สถานที่ชักจูงคนระดับแนวหน้าของจังหวัดนั้น ที่ไหนก็ไม่เหมาะเท่าวัด ของหลวงพ่อวัดเกาะหลัก เพราะศิษย์ของท่านไปมาหาสู่ท่านไม่ขาด ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นคนสําคัญของจังหวัดทั้งสิ้น น้าชอ่อนเคยรับราชการอยูจังหวัดประจวบ และเป็นศิษย์ของหลวงพ่อวัดเกาะหลัก บางครั้งมากินมานอนอยู่ที่วัดหลายวันหลายๆครั้ง ผมก็ได้ติดตามมาด้วยทุกครั้ง บนกุฏิของหลวงพ่อเวลาค่ำลงเหมือนมีงานมหรสพ ผู้คนไปมามากมาย ส่วนใหญ่จะเป็นศิษยทางด้านโหราศาสตร์และทางธรรม น้ำชากาแล้วกาเล่า หลวงพ่อนั่งบนอาสนะ รายล้อมไปด้วยศิษย์ จําได้ว่าศิษย์ท่านคนหนึ่งคือ คุณอํานวยพร เป็นผูจัดการโรงแรมรถไฟหัวหิน เป็นศิษย์โหราศาสตร์มักไต่ถามมากกว่าคนอื่นๆ ท่านก็จะชี้แจงให้ฟังเหมือนครูสอนศิษย์ในชั้นเรียน บรรดาศิษยที่สนใจก็จะรุมกันซักสารพันปัญหา ท่านก็จะชี้แจงแตกฉานรอบรู้สมกับเป็นปราชญ์ทางโหราศาสตร์อย่างแท้จริง ผมไปค้างหลายครั้งเข้า จึงเกิดความกล้าไต่ถามท่านบ้าง ความคิดของผมขณะนั้นนึกในใจว่า ปัญหาโหราศาสตร์ของผมที่ถาม ท่านคงทื่อชะมัด เพราะถามท่านทีไรท่านหัวร่อก๊ากก่อนตอบทุกที จนผมกระดากๆ เย็นวันหนึ่งเจ้าของเรือประมงฝั่งจังหวัดเขามาหาท่าน เล่าว่าหยุดจับปลาไป ๒-๓ วันฤดูเห็นวาปีนี้ปลาชุม พวกประมงเขาทํามาหากินคล่อง จึงไปกู้เงินเฒ่าแก่ปลามา หาผู้คนจะออกเรือใน ๒-๓ วัน ข้างหน้า ขอให้ท่านดูดวงชะตาว่า จะได้เงินมาคืนเฒ่าแก่เขาหรือไม่ ท่านพิจารณาดวงอยู่ครู่ใหญ่ จึงเงยหน้าบอกว่าเอาเงินไปคืนเฒ่าแก้ปลาเขาเสียดีกว่าอย่าออกเรือเลย เหนื่อยเปล่า และเมื่อถูกย้อนถามว่าจะจับปลาได้ไม่คุ้มทุนหรืออย่างไร ท่านตอบยิ้มๆเป็นปริศนาว่า
“ปลานะจะจับได้เต็มลํา แต่ไม่ได้ขาย” ต่อมาอีก ๒ วัน ประมงคนนั้นก็ออกเรือโดยมั่นใจว่าเมื่อได้ปลาเต็มลํา ก็ต้องไดทางคืนแน่ ข่าวต่อมาปรากฏว่า คืนนั้นลงอวนลอยได้ปลาเต็มลําจริงๆ แต่พอจะหันหัวเรือเข้าฝั่ง เกิดพายุใหญ่ตลอดคืนแทบเอาตัวไม่รอด ต้องหวิดปลาทิ้งทะเลจนหมดเพื่อให้เรือเบา จะได้โต่พายุรอดไปได้กระทั่งเช้าพายุจึงสงบเข้าฝั่ง โดยสมคําพยากรณ์ของท่านทุกประการ ต่อมาประมาณปี ๒๔๙๕ ผมก็เปลี่ยนเข็มชีวิตจากนักเขียนและนักหนังสือพิมพ์ เข้าทํางานที่บริษัทนิวอีสต์เอเชีย เป็นบริษัทเดินเรือลําเลียง ผมทําหน้าที่เป็นหัวหน้าชิปปิ้ง การทํางานครั้งนี้ได้พบโหรดังเข้าอีกทานหนึ่ง คือ "อาจารย์เทอม เสตะกสิกร" ในยุคนั้นท่านดังมาก เพราะผลการพยากรณ์แม่นยําเป็นที่เล่าลือมาก คุณเทอมเป็นโหรสมัครเล่น เข้ามารับหน้าที่ในบริษัทเป็นคนไปติดต่อกรมเจ้าท่าเพื่อตรวจเรือของบริษัท คุณเทอมสามารถทํางานนี้ได้ดีเป็นพิเศษ เพราะอาศัยความคุ้นเคยชอบพอกับคุณหลวงดรณีซึ่งท่านเป็นผู้รอบรู้วิชาโหราศาสตร์เป็นเอกอีกท่านหนึ่งในสมัยนั้น ขณะนั้นท่านมีตําแหน่งนายช่างใหญ่หรือรองอธิบดีกรมเจ้าท่า ผมก็เลือนๆไปบ้าง ตอนนั้นเนื่องจากผมถูกโหราศาสตร์ครอบงํามาก จึงสนใจอาจารย์เทอมมาก เลียบเคียงจะขอเรียนด้วย แต่คุณเทอมมักปิดประตูหมด จนผมไม่มีโอกาสจนแล้วจนรอด จน ท้อไปเอง ปัจจุบันอายุ 70 เศษ หูตาฝ้าฟางเต็มทีและเป็นคนดีที่น่านับถือมาก คนสุดท้ายนี้ประหลาดกว่าท่านอื่นๆเป็นอันมาก คือ มิได้เป็นทั้งโหร มิได้เป็นหมอดู แต่เป็นช่างก่อสร้างในปี 2500 ผมมาดําเนินธุรกิจของตนเอง โดยได้รวมหุ้นตั้งบริษัทโรงพิมพอําพลพิทยา จํากัด ขึ้นที่บ้านน้าชอ้อน ที่ถนนขาวสาร จําเป็นต้องปลูกสร้างตัวโรงพิมพ์และต่อเติมบ้านผมเองในบริเวณที่ว่างในบ้านใหญ่ มีเพื่อนชักนําช่างรับเหมาก่อสร้างมาให้คนหนึ่ง ท่าทางเป็นคนต่างจังหวัดเต็มตัว ดูท่าทางขยันขันแข็งดีทั้งๆที่วัยล่วงเข้า 50 ปีเศษแล้ว ช่างไม้ช่างปูนล้วนแต่เป็นลูกหลานทั้งสิ้น ทานชื่อว่า "อิน" ผมเลยเรียกวา ครูอิน การก้อสร้างต่อเติมบ้านจําเป็นต้องรื้อ้หองหนังสือผมออกเสียก่อน ครูอินแกยืนคุมให้รื้อและช่วยผมยกย้ายหนังสือต่างๆในตู้ซึ่งมีอยู่ร่วมพันเล่ม เมื่อแกได้เห็นหนังสือโหราศาสตร์ที่ผมสะสมไว้ทั่วทุกสารทิศมีมากมาย แกยิ้มๆถามผมว่า ถ้าคงจะเก่งโหราศาสตร์ ผมตอบแกตามตรงว่า ยังไม่ได้เรื่องอะไรเลย ยิ่งเรียนยิ่งโง่ลงทุกทีคิดจะเลิก หลายหน ครูอินกลับซักไซร้ผมว่า เรียนมาทางสายไหน ผมยิ่งงงหนัก ไม่เข้าใจว่าโหราศาสตร์มีสายมีทางเหมือนทางดนตรีไทยหรือไร ครูอินอธิบายให้ฟังว่า โหราศาสตร์มีหลายสายคือสายทางภาคเหนือ สายทางภาคกลางและสายทางภาคใต้ ส่วนสายทางภาคอีสานมีน้อยมักเป็นเลข ๗ ตัวเสียมาก แต่ละภาคมักจะมีทางเล่นทางพยากรณ์แตกต่างกันบ้างในวิธีการพยากรณ์ ผมชักเอะใจ ครูอินเป็นช่างก่อสร้าง ทําไมดูรอบ้รูเรื่องราวของโหราศาสตร์กว้างขวางนัก ผมจึงถามเอาตรงๆว่า ครูอินมีความรู้ ทางด้านโหราศาสตร์บ้างหรือเปล่า แกรับโดยไม่ลังเลเลยว่า เมื่อหนุ่มๆเคยเรียนมาเพราะถูกบังคับ ให้รับถ่ายทอดจากน้าชายซึ่งขณะนั้นอยู่นครศรีธรรมราช และครูอินท่านมีพื้นเพเป็นคนนครฯ ครูอินท่านว่า เรียนมาแล้วก็มิได้ใช้เป็นกิจลักษณะ นอกจากเข้าวงอับวงรา จําเป็นจึงใช้ทั้งนี้เพราะท่านไม่ชอบเป็นหมอดู ท่านว่ามักอาภัพไม่ร่ำรวยเหมือนอาชีพอื่น ผมซักไซร้ทุกด้านทุกมุมของโหราศาสตร์เท่าที่ปัญญาและความรู้ที่ผมมีอยู่ขณะนั้น ข้อความที่อธิบายสูงข้ามหัวผมไปทุกเรื่องทุกปัญหา จนผมเองยอมรับว่า ครูอินมีความรู้ความสามารถในวิชาโหราศาสตร์ไทยอย่างเจนจัดแท้จริง ผมเอ่ยปากขอเรียนกับท่าน แต่ท่านไม่รับปากทันทีกลับย้อนถามผมว่า อาชีพผมก็ร่ำรวยแล้ว จะเรียนเอาไปทําอะไร ผมตอบตามจริงว่า เอาไว้ช่วยทุกข์ของคนที่เขามีทุกข์มาจะได้รู้ทันชีวิต ครูอินท่านว่า ถ้าความตั้งใจเรียนเป็นกุศลจิตก็พอจะเรียนได้ ท่านรับปากจะสอนให้จนหมดพุง ส่วนจะดีเลวกว่าทางโหรกรุงเทพหรือเปล่าท่านไม่รู้ รุ่งขึ้น ครูอินให้ผมจัดธูป เทียน ดอกไม้อย่างละ ๙ ดอก พากันไปในโบสถ์วัดชนะฯ ท่านให้จุดธูปเทียนบูชาพระประธานในโบสถ์และรับสัจจะทีละข้อ
๑. อย่านําเอาวิชานี้ไปใช้ในทางทุจริตผิดศีลธรรม ทั้งเพื่อตนเองหรือผู้อื่น
๒. เวลาพยากรณ์ผู้ใด อย่าพึงมีโลภะ โทสะ โมหะ เพราะจะทําให้จิตเอนเอียง จะทําให้พิจารณาผิดพลาด
โลภะ - คือเห็นเขาเป็นเศรษฐีหรือผู้มีอํานาจ หวังได้ลาภยศเกินกว่าควรจะได้
โมหะ - คือมีความหลงผิดในผู้มาให้พยากรณ์หรือหลงว่าตนเก่ง
โทสะ - คืออย่าเกิดความโกรธ ความเกลียด ความรัก ผู้มาให้พยากรณ์จะเกิดจิตใจเอนเอียงในคุณในโทษ ทําให้พยากรณ์ผิด
๓. ข้อสุดท้ายเป็นข้อที่สําคัญยิ่งคือ เมื่อดาวพฤหัสเดินครบรอบ จากวันที่ผมเรียนนี้ให้สอนถ่ายทอดวิชานี้ไว้แก่ศิษย์ให้จงได้เพราะวิชานี้เป็นกุศล เมื่อศิษย์คนใดใช้เป็นกุศลแก่ผู้อื่น อาจารย์เก่าต้นตํารับท่านจะได้กุศลด้วยเสมอ การเรียนโหราศาสตร์ไทยกับครูอินครั้งนี้ เป็นการเรียนครบถ้วนกระบวนความทุกประการ กฎเกณฑ์การอ่านดวงเดิมและการพยากรณ์จร อันเป็นวิธีที่วิจิตรพิสดารอย่างมิได้เคยเรียนรู้มาก่อน นับแต่นั้นเป็นต้นมา ชีวิตโหราศาสตร์ของผมก็ได้แตกฉานรอบรู้เป็น หมอเถา(วัลย) ตั้งแตนั้น ได้พยากรณ์แก่ผู้ใกล้ชิดและเพื่อนฝูงเสมอมามิได้ขาด แต่มิได้เป็นหน้าเป็นตา เพราะขณะนั้นผมมีกิจธุระทําโรงพิมพ์ของตนเอง โหรเอกคนสุดทายที่ได้พบกันคือ คุณประทีป อัครา ผมได้สมัครเข้าเป็นสมาชิกของสมาคมโหรแห่งประเทศไทย ประมาณปีพ.ศ.๒๔๙๗ แต่มิได้มาสมาคม ต่อมาปี ๒๕๑๒ จึงได้มีโอกาสมาสมาคมบ่อยครั้ง ได้สังสรรค์เสวนากับคุณประทีป อัครา ก็เป็นที่ต้องอัธยาศัยกันตามประสาเพื่อน เพราะเป็นคนถ่อมตัวและปกปิดชีวิตแต่หนหลัง ไม่ชอบเล่าเรื่องเกี่ยวกับตัวเอง จึงดูเหมือนคนโง่ โดยเฉพาะในวิชาโหราศาสตร์ผมยิ่งปกปิดเป็นพิเศษ เพราะกลัวว่าตัวอวดฉลาดจะไม่ได้รู้จากคนอื่น โดยเหตุนี้คุณประทีป อัครา จึงได้มีความกรุณาชี้แจงเรื่องโหราศาสตร์ไทยให้ฟังบ่อยๆ ขณะคุยกันมิได้ร่ำเรียนเป็นกิจจะลักษณะ เป็นการบอกกล่าวกันฉันท์เพื่อนมากกว่าศิษย์ ระหว่างการคบหากันนี้ผมแตกแยกกับเพื่อนโหราศาสตร์ไปเสียมากคน เพราะความรักประทีป อัครา แม้แต่ อาจารยเทพย์ สาริกบุตร ซึ่งเคยเป็นเพื่อนร่วมชั้นเรียนมาแต่เด็ก พอตกปลายปี ๒๕๑๓ ผมก็เขาป่าลึกจังหวัดราชบุรีไปทํางาน เป็นผู้จัดการเหมืองใหญ่ ทั้งนี้ด้วยความอนุเคราะห์ของคุณประทีป อัครา สนับสนุนฝากนั้นเอง ผมอยู่ในป่าเป็นเวลา ๒ ปีเศษ ออกจากเหมืองเข้ากรุงเทพฯกลางปี ๒๕๑๖ ว่างงานก็มามั่วสุมอยู่สํานักคุณประทีป อัคราอีก ในระยะนั้นคุณประทีป อัคราได้ออกวารสารโหราศาสตร์รายเดือน “ดวง” เห็นคุณประทีปทําอยู่คนเดียวจึงช่วยเขียนแบ่งเบาภาระเพื่อน ได้เขียนเรื่อง “โฮ๋ราสาด” นอกระบบขึ้น โดยใช้นามปากกา หมอเถา(วัลย) ซึ่งเป็นนามเก่าแก่ของผม โดยใช้ความรู้และประสบการณ์ในโหราศาสตร์ที่ผมพบจากโหรเก่าๆที่ผ่านชีวิตมาแต่อดีตเขียน ปรากฏว่าคนอ่านติดเนื้อพึงใจกันมาก…