ขอขอบคุณ คุณนริศรา ที่เอื้อเฟื้อหนังสือ
ดวงพระ
อ.อรุณ ลำเพ็ญ - หมอเถา(วัลย์)
พ้นข้างขึ้นเดือน ๑๑ ออกพรรษามาแล้วหลายวันจนย่างเข้าเดือน ๑๒ กฐินหลวง กฐินราษฎร์ ก็ทอดกันทั่วแล้วทุกวัด พระบวชใหม่เมื่อครบพรรษาก็ลาสึกขาบทกลับไปครงเหย้าครองเรือนตามฆราวาสวิสัย เสียเป็นส่วนมาก ฝนปลายฤดูตกพรำมาตั้งแต่สายตกๆหายๆเรื่อยมาจนบ่ายก็ยังไม่ขาดเม็ด เป็นละอองโปรยเปียก ชายสองคนที่มุ่งหน้าเดินเร่งร้อนเข้ามาในวัด และมุ่งสู่กุฏิหลวงตาชื้นพอขึ้นบันไดเปิดประตูระเบียงก็ถูกทักทาย
“เออน่ะ หมอเถา ครูก้อนกำลังคิดถึง”
ครูสมศักดิ์ซึ่งนั่งอยู่กับหลวงตาชื้นทักทายดีใจ
หมอเถาหัวร่อฟันขาว แต่ครูก้อนไม่ว่ากระไรทั้งคู่ตรงเข้าไปกราบหลวงตาถึงตัว
“เป็นอย่างไรไปหรือ หมอเถากะครูก้อน ได้ข่าวว่าป่วย หายไปเสีย ๒ วัน เป็นอะไรไปหรือ”
หลวงตาทักถามอารมณ์ดีหมอเถาหันมาสบตาครูก้อน ครูก้อนพยักหน้า หมอเถาจึงตกเป็นหน้าที่หมอเถาเป็นผู้ตอบ
“ผมและครูก้อน ผิดสำแดงคะรับหลวงตา”
“บ๊ะ พูดภาษาหมอไม่เข้าใจ”
หลวงตาหัวเราะ
“อ้ายโรคผิดสำแดงมันเป็นยังไงฟังดูยังกะโรคของเด็กๆแล้วทำไมมันจะต้องป็นพร้อมๆกันยังกะนัดเป็นทีเดียว”
ถูกซักรายละเอียดหมอเถาก็ต้องตอบ
“ท้องเดินแรงถึงขนาดคลานไปส้วมนั่นแหละขอรับ ถ่ายเสียวันหนึ่ง พักเสียวันหนึ่ง ผมกะครูก้อนเลยหายไปสองวัน”
“สองคนแอบไปกินอะไรด้วยกันมาหรือ”
ครูสมศักดิ์ถามมั่ง
หมอเถารับหน้าที่ประชาสัมพันธ์
“กินยาอายุวัฒนะ แต่ยามันแรงไปจนเกือบกลายเป็นยาอายุหายนะไป”
หลวงตาสนใจ
“ยาอะไรน๊ะหมอเถาลองบอกมั่งซีเผื่อจะได้ลองฉันดูมั่ง”
หมอเถานิ่งคิดว่าจะตอบให้รู้ดีหรือไม่ จนหลวงตาต้องถามซ้ำอีก
“ต้องปกปิดกันเป็นความลับด้วยหรือหมอเถาไม่นึกว่าจะหวงวิชา”
หมอเถาตกใจที่ถูกเข้าใจผิดรีบก้มลงกราบ
“ไม่ได้ปิดคะรับผมอายหลวงตา”
“บ๊ะ…ยาอะไรมันต้องน่าอายบอกเถอะว๊ะหมอเถา”
หมอเถาตัดสินใจโพล่งตอบชื่อยา
“ตับแร้ง คะรับ”
ทั้งหลวงตาและครูสมศักดิ์หัวเราะก๊ากนึกไม่ถึง
“อ้อ…แร้งมันอายุยืน ถือเคล็ดกินตับมันให้อายุยืนยังงั้นซี”
“เป็นตำราเก่าในสมุดข่อยคะรับ”
หมอเถาเจ้าตำรายาวิเศษอธิบาย
“ต้องกินสดๆ ๓ ชิ้น ขนาดชิ้นเท่านิ้วชี้ ๓ ชิ้น ก็เก้าองคุลีตามตำรา”
ครูก้อนยังจดจำภาพตอนกินตับแร้งได้ส่ายหน้าระทดระทวย
“กว่าจะกินได้เกือบตายครูสมศักดิ์เอ๋ย หลงคารมหมอเถาเกือบเอาชีวิตไม่รอด”
ครูสมศักดิ์สงสัย
“มันยากเย็นแสนเข็ญสักเท่าไรเชียว มันก็เหมือนตับหมู ตับวัวสดๆ มันก็คาวหน่อย”
ครูก้อนเมินหน้า
“เช๊อะ ครูสมศักดิ์ไม่ลองก็ไม่รู้ อ้ายสดอ้ายคาวน่ะพอทน แต่กลิ่นสาบแร้งน่าซีมันฉุนเฉียวจนสำลัก ชิ้นที่หนึ่งหยอดลงคอไปแล้วกลิ่นมันฟุ้งจมูกไปหมดพอหยอดชิ้นที่สองลงไปเท่านั้นอ๊อบ”
ครูก้อนกระอ๊อกทำท่าจะอาเจียนจริงๆ รู้สึกว่ากลิ่นสาปมันฟุ้งขึ้นมาอีกเลยไม่อยากเล่าต่อ
“หมอเถาเล่าเถอะยิ่งพูดถึงยิ่งชวนออกเสียให้ได้”
หมอเถาก็สาธยายเป็นฉาก
“อ้ายชิ้นที่สองพอหย่อนถึงคอ ครูก้อนก็กระอ๊อกจูงเอาชิ้นแรกออกมาอีก แล้วยังจูงอะไรต่ออะไรอาเจียนตามออกมาหมด”
หลวงตาส่ายหน้าสังเวชใจ
“โธ่ มันช่างริพิเรนกันแท้ๆ”
หมอเถาเล่าต่อ
“ต้องค่อยๆ เก็บเอามล้างเพราะได้มาจำกัดล้างเสร็จก็มาลองวิธีใหม่ใช้อมเหล้าแหงนคอแล้วหยอดลงไปจะได้ดับกลิ่นสาบได้”
ครูสมศักดิ์ฟังไปหัวร่อไป
“เออปัญญาหมอเถาฉลาดดี”
ครูก้อนตั้งสติได้ก็เล่าต่อ
“มันไม่ง่ายยังงั้นซีอมเหล้าไว้พอหยอดตับแร้งลงไปกลืน เจ้าตับแร้งมันติดคอเพราะคอหอยมันตีบ เพราะเหม็นสาบ มันล่วงคอลงไปแต่เหล้าต้องกรอกเหล้าเข้าไปใหม่อีกหลาย อมกว่าจะได้สักชิ้นและต้องคอยผลัดกันช่วยบีบจมูกไว้ไม่ให้ได้กลิ่นพอครบทั้งสามชิ้นทั้งสองก็พอดีกัน”
ทั้งหมอเถาและครุก้อนหัวร่อกิ๊กพร้อมกันทั้งสองคน
“เหล้าหมดไปค่อนขวดเลยเมากลับอยู่โคนไม้กลางทุ่งนั้นเอง กว่าจะพื้นร่วมเย็นถึงโผเผกลับบ้านได้”
ครูก้อนซึ่งอาการหนักกว่าเพื่อนเล่า
“พอกลับมาถึงบ้านท้องมันลงยังกะอหิวาต์ร่วม ๒๐ ครั้ง บางครั้งทั้งลงทั้งราก ผมเลยนั่งอยู่ในห้องส้วมตลอดคืน มันจะได้ไม่ต้องเข้าๆ ออกๆ”
ครูสมศักดิ์และหลวงตาหัวเราะจนน้ำตาไหล
“แล้วหมอเถาล่ะ”
“ผมก็ท้องเดิน แต่ไม่ต้องเข้าห้องส้วม เพราะพอนึกจะไปมันก็ไหลเสียแล้ว พอขยับตัวมันก็ไหล นอนสวดอิติปิโสทั้งคืนนึกว่าเสร็จเสียแล้ว”
ครูสมศักดิ์หันมาทางครูก้อน
“ผมแวะบ้านเห็นแม่บ้านบอกแต่ว่าไม่สบายเลยไม่ทราบเรื่อง”
ครูก้อน
“ผมบอกให้แม่บ้านเขาปิดเรื่องไว้เพราะอายๆ”
เสียงประตูชานกุฏิลั่นเอี๊ยด หลวงตายืดตัวมองข้ามหัวหมอเถาดูว่าใครมา ทุกคนก็พลอยเหลียวดูบ้างผู้เปิดประตูเข้ามาเป็นสมณเพศ เช่นเดียวกับหลวงตา และถือดอกบัวกับธูปเทียนใส่พานมาด้วย ท่าทางดูเคร่งครัดเดินช้าๆ สำรวมตรงเข้ามาหาหลวงตา ปูผ้าแล้วกราบเคารพตามผู้อาวุโสน้อยกว่า
“อ้อท่านเพียรเชิญนั่งตามสบาย”
หลวงตาชื้นบอกอนุญาตพระที่บวชใหม่เมื่อต้นพรรษานี้ โดยหลวงตาเป็นคู่สวดให้
"มีกิจอะไรเชิญ"
"ตามที่ผมเคยปราวณาไว้”
ภิกษุเพียร มองหน้าคนที่นั่งอยู่ข้างๆหลายคน
“ผมใคร่จะมาปรึกษาหลวงตา ขออาศัยปัญญาเพราะผมเวียนนึกเวียนคิดมา ๗ วันแล้วตรองมิตก”
หลวงตาเห็นสีหน้าทุกข์ร้อนของภิกษุเพียรก็รู้ว่าเป็นเรื่องสำคัญจึงบอก
“คนเหล่านี้มิใช่คนแปลกหน้า เป็นศิษย์คนสนิททั้งนั้นมีอะไรก็จงเล่าสู่กันฟังเถิดท่านเพียร”
พระภิกษุเพียรก็ค่อยเริ่มลำดับเรื่อง
“พระบวชใหม่พรรษานี้ ๑๐ องค์ ออกพรรษารับกฐินแล้วสึกกันไปจนหมดเหลือแต่ผมคนเดียวคนสุดท้าย ทางบ้านก็มารบเร้าให้สึกอยู่ทุกวันผมเองก็ยังตัดสินใจไม่ถูก”
หลวงตาย้อนถาม
“ท่านคงจะคิดไม่สึกละซี”
“ขอรับหลวงตา”
ภิกษุบวชใหม่รับคำจริงจัง
“อยู่ในชีวิตใต้ผ้ากาสาวพัตร์ มีความสุขสงบสบายใจเหลือเกินใจไม่อยากคิดสึก แต่ไม่รู้ว่าดวงชะตาจะอำนวยให้มีชีวิตเช่นนี้ได้หรือไม่จึงมากราบรบกวนหลวงตาช่วยดูให้ด้วย”
หลวงตาคว้ากระดานโหรถามวันเดือน ปีและเวลาเกิด และผลักกระดานมาข้าหน้าครูก้อน ให้เปิดปูมวางดาวในดวง เป็นการฝึกศิษย์ไปในตัว ครูก้อนรับมาผูกดวงวางดาวด้วยความแคล่วคล่องถูกใจ หลวงตาพิจารณาดูดวงชะตาภิกษุเพียรนิ่งอยู่ศิษย์ทั้งสามก็จับตานิ่งดูเช่นกัน หูคอยฟังคำหลวงตาพยากรณ์จะได้อ่านดาวตามไปด้วย หลวงตาถอนใจยาว
“เออชีวิตทางฆราวาสมันยุ่งๆมากนักก็น่าหนีบวชยึดครองผ้าเหลืองเป็นที่พึ่งหรอก”
ภิกษุบวชใหม่รับคำ
“ชีวิตชาวบ้านของผมหาความสุขมิได้เลยขอรับ”
หลวงตาหันมาลองภูมิศิษย์
“ครูสมศักดิ์ลองดูพื้นชะตาเขาซิว่าจะลำบากหรือสบายไปข้างหน้า”
ครูสมศักดิ์พนมมือขออภัย
“ผมติดใจดาว ๒ ดวง คือ อาทิตย์ เป็นนิจกุมลัคน์ และเล็งยันกับเสาร์ที่เป็นนิจอยู่ราศีเมษ ชีวิตน่าจะดีเด่นเพราะเสาร์กับอาทิตย์เป็นคู่ธาตุแลกเรือนอุจจ์กันอยู่”
“ช๊ะๆครูสมศักดิ์มันชอบเล่นผาดโผน”
หลวงตาตำหนิ
“ถ้าจะเอาแบบโหรแขกโหรฝรั่งอาตมาไม่รู้ แต่ทางโหรไทยๆเขาไม่เล่นกัน เพราะเรือนอุจจ์ของตนนั้นเป็นเรือนที่ตัวอาศัยเขาอยู่เป็นอุจจ์ไม่ใช่บ้าน ของตนเอง จะเที่ยวเอาไปแลกกะใครไม่ได้ มันไม่เหมือนสลับเรือนเกษตรหรือประแลกเรือนและการดูดาวลอยด้วยตำแหน่งอย่างนี้ มันไม่มีรายละเอียดดูเขาแต่เพียงว่าดีหรือไม่ดีเท่านั้นเอง"
ครูสมศักดิ์รีบออกตัว
“เห็นเกจิอาจารย์เขาเล่นๆกันผมเลยตามๆเขาไป”
“เคยพบดวงอย่างนี้มาหลายๆดวง”
หลวงตาว่า
“สังเกตมามักพบว่าพอเกือบๆจะดีมันก็หักพังลงเสมอ แต่ก็ยังไม่กล้าถือเป็นกฎเกณฑ์ทายเขา เพราะมันต้องดูต้องเห็นมามากๆ พอ”
หมอเถาขออนุญาตหลวงตาแล้วก็พยากรณ์มั่ง
“ถ้าเอาทางเจ้าเรือน ก็จะได้ความว่าเสาร์เจ้าเรือนพันธุคือญาติไปอยู่เรือนปัตนิเป็นนิจและเจ้าเรือนปัตนิก็ไปเป็นอริ ญาติของเมียมาอาศัยอยู่ทำให้เจ้าชะตาลำบากตกต่ำ”
พระภิกษุเพียรรับว่าจริง
“ทั้งพ่อตาแม่ยายมาอาศัยผมอยู่ทั้งคู่การงานตักน้ำผ่าฟืนก็มิได้เคยช่วยให้เบาแรงผมเลย พูดจากับเมียเข้าก็ต้องทะเลาทุ่มเถียงกัน”
ครูก้อนไม่ยอมน้อยหน้าหมอเถา
“อาทิตย์ที่เป็นนิจกุมลัคนานั้นมาจากเรือนปุตตะมาครองอยู่ ถ้าจะอ่านอย่างหลวงตาสอนก็ว่า เจ้าชะตามีบุตรเป็นลาภ คือมีมากและทำให้ลำบากมาก”
พระภิกษุเพียรก็รับว่าจริงอีก ท่านมีบุตรถึง ๕ คน หลวงตาถูกใจตบเข่าฉาดชมเชยศิษย์
“เออหมอเถากะครูก้อนตั้งแต่กินตับแร้งมานี่ฉลาดขึ้นเป็นกองทายถูกใจว่ะ”
ครูสมศักดิ์ครางอ่อยๆ
“ผมไม่ได้กินตับแร้งเลยเขลาไปหน่อย”
ภิกษุเพียรรำพรรณเหมือนปรับทุกข์
“ชีวิตผัวเมียก็หาความสุขไม่ใคร่ได้ มักขี้ระแวงหึงหวง ทะเลาะกันบ่อย พ่อตาแม่ยายที่มาอาศัยก็พลอยเข้าข้างลูกสาว และลูกเต้าผมมันก็ดกเสียจริง มันหลายปากหลายท้องคอยกินอยู่ แต่ผมมีสองมือทำอยู่คนเดียว หนีมาบวชคราวนี้เพราะโกหกว่าแก้บน จึงมาบวชได้ นี่ก็มาเร่งอยู่ทุกวันให้สึก เพราะย่างเข้าเดือนอ้ายข้าวก็จะสุกเกี่ยวได้แล้ว”
“เออมันช่างยากหัวใจแท้ๆ”
หลวงตาหนักใจ
“สนับสนุนให้บวชต่อไปหรือก็บาปเพราะเท่ากับยุให้ตัดช่องน้อยเอาตัวรอดแต่ผู้เดียว ทิ้งลูกเมียให้ลำบากเดือนร้อนเป็นการละทิ้งหน้าที่ของมนุษย์ทีเดียว ได้ครั้นจะยุให้สึกก็เท่ากับทำลายบุตรตถาคตให้สิ้นไปจากพระศาสนามันเสียทั้ง ขึ้นทั้งล่อง”
“ตามดวงผมจะบวชตลอดไปได้หรือไม่ขอรับ”
ภิกษุเพียรถามย้ำอีก
ครูสมศักดิ์ไม่แน่ใจก็ถามหลวงตาก่อน
“ทางพระทางสงฆ์พอจับพฤหัสทายได้ไม๊ขอรับ”
“เออได้ เพราะพฤหัสหมายถึงความดีงาม คุณธรรมเมื่อไปรวมกับมฤตยูก็แปลว่าทางดับศูนย์”
“พฤหัสติดมรณะเสียเช่นนี้เกรงจะไม่มีผลน๊ะขอรับ”
ครูสมศักดิ์ตั้งข้อสังเกต
“ก็เรือนมรณะเรามันแปลว่าตายอย่างเดียวจึงว่าไร้ผล”
หลวงตาอธิบาย
“เราแปลเรือนมรณะว่าหลุดพ้นทุกข์ไปมั่งมิได้หรือ เมื่ออยู่เรือนศุกร์ก็ยังเหมาเอาว่าพ้นจากกิเลศก็ได้ และลองดูทางตนุเศษเขาบ้าง อย่าปักหลักดูแต่ทางลัคนาท่าเดียว ตนุเศษคือใจเขาเป็นศุภะกับพฤหัสและมฤตยู แสดงว่าใจเขายึดมั่นเด็ดเดี่ยวในเรื่องนี้อยู่และพฤหัสก็สลับเรือนกับศุกร์ ตนุลัคน์ที่ครองอยู่ราศีธนู คงจะมีโอกาสในภายหน้าแน่นอนเมื่อถึงวัยของพฤหัสนั้น”
พระภิกษุเพียรหน้าเสีย
“หมายถึงคราวนี้ผมคงจะบวชต่อไปมิได้แน่ ที่มานี้ถ้าหลวงตาดูว่าจะบวชมิได้ก็จะมาลาสึกด้วยขอรับและจะเลขไปลาอุปฌายะ”
เมื่อพระภิกษุเพียรคุกเข่าประเคนพานดอกได้ถวาย หลวงตาก็รับไว้และเทศนาให้โอวาทปลอบใจ
“มาตาปิตุอุปฎฺฐานํ ปุตฺตทารสฺสสงฺคโห อนากุลา จ กมฺมานฺตา เอตมฺมงฺคลมตฺตมฺ”
“ถ้อยคำนี้เป็นพุทธวจนะ แห่งพระผู้มีพระภาคย์เจ้าทรงดำรัสไว้ในมงคลสูตร เพื่อสอนแก่มนุษย์และเทวดาและพรหมทั้งปวงว่า
การบำรุงเลี้ยงบุตรบิดามารดาและภรรยาแห่งตนนั้น ย่อมเป็นมงคลคือความดีงามของมนุษย์ที่พึงกระทำ
และพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงพระราชนิพนธ์เป็นมงคลสูตรคำฉันท์
แจกแก่ข้าราชการบริพารแห่งพระองค์ให้ประพฤติมงคลว่า
บำรุงบิดามา- ตระด้วยหทัยปรีย์
หากลูกและเมียมี ก็ถนอมประหนึ่งตน
การงานกระทำไป บมิยุ่งและสับสน
ข้อนี้แหละมงคล อดิเรกอุดมดี."