ขอขอบคุณ คุณนริศรา ที่เอื้อเฟื้อหนังสือ
อ่านดาว
อ.อรุณ ลำเพ็ญ - หมอเถา(วัลย์)
ดวงตะวันยังไม่ทันเยี่ยมฟ้า อากาศเช้ามืดขมุกขมัว หมู่ไม้และบ้านเรือนห่างๆออกไป ดูเป็นสีดำมืดไปทุกสารทิศ ทุกบ้านข่องกำลังหลับไหลสุขารมณ์ แต่…อีกบ้านหนึ่ง ต้องตื่นขึ้นโดยกะทันหัน เพราะเหตุฉุกเฉิน มีผู้มาตบประตูบ้านเรียกเหมือนมีธุระร้อน ทั้งตบปึงปังและเรียกชื่อเจ้านของบ้าน
“ครูก้อนเว้ย ตื่นเถอะ”
ครูก้อนทั้งตกใจแปลกใจรำคาญใจที่ถูกปลุกจากที่นอนกำลังสบาย ออกจากมุ้งปิดไฟฟ้า เดินหลับๆตื่นๆจนถึงประตู พอถอดกลอนเปิดออกเห็นผู้เรียกก็ตาสว่างเพราะภาพที่เห็นเบื้องหน้า ประหลาดมหัศจรรย์ เป็นเงาตะคุ่มสูงใหญ่ผิดมนุษย์และส่วนหัวเป็นพุ่มไม้โตขนาดเท่าตุ่มครูก้อน ขนลุกเกรียวกระทั่งผมบนหัวประสาททั้งห้าสั่งประการเดียวพร้อมกันคือร้อง
“เฮ้ย…ผี”
พอขยับจะหันหลังวิ่งก็ถูกตะครุบข้อมือฉุดเอาไว้ ครูก้อนหัวใจแทบหยุดเต้นกระชากมือหนีสุดแรงเกิด มือหลุด..แต่เสียหลักหงายหลังล้มลงกลางเรือนดังสนั่นเสียงผีหัวร่อฮ่า…ฮ่า ชอบอกชอบใจและเอื้อมมือเปิดสวิทไฟฟ้าหน้าระเบียง
“ครูก้อนตาขาวไปได้ฉันเอง”
พอแสงไฟฟ้าหน้าระเบียงนอกเปิดสว่างเห็นถนัดว่าเป็นหมอเถาเพื่อนเกลอนั่นเอง ที่พิเรนก็คือหมอเถาถือกิ่งมะขามพุ่มใหญ่ประดับประดาเข้าของเครื่องใช้ สารพัด มองดูมือๆจึงดูน่าสะพรึงกลัวเสียงร้องเอะอะและเสียงล้มตึงๆ ปลุกลูกเมียครูก้อนตื่นกันทั้งบ้าน ออกมารุมดูเดาสาเหตุไม่ออกหมอเถาประคองกิ่งมะขามลอดประตูเข้ามา และเอาพิงข้างฝาไว้ก้มลงประคองครูก้อนลุกขึ้น
“ปัดโธ่ ครูก้อน รูปร่างออกจะใหญ่โตใจเป็นมดเห็นอะไรเป็นผีสางไปหมด”
ครูก้อนทั้งโกรธทั้งอาย
“อุว๊ะ มืดๆ ใครจะมัวไปพิจารณา หัวมันโตเท่าพ้อมจะมีใครเสียอีก”
หมอเถาปลอบ
“โถปากคอสั่น ถ้าจะยังไม่หายกลัว”
“ไม่ใช่สั่นเพราะกลัวเว้ย สั่นเพราะโกรธแกน่ะแหละ”
ครูก้อนปัดมือหมอเถาที่ลูบหน้าลูบหลัง
“เอ้า…ขอโทษไหว้ละ”
หมอเถายกมือไหว้เพื่อน
“มันมีธุระสำคัญเลยรีบมา”
“ธุระอะไรของแก ถึงรอเช้ารอสายไม่ทันใจต้องมาปลุกจากที่นอนแต่หัวมืด”
“คือยังงี้”
หมอเถาหันไปชี้กิ่งมะขามที่พิงฝา
“ฉันจะทอดผ้าป่าก็เลขจะมาชวนไปทำกุศลด้วยกัน ๒ คน”
ครูก้อนพิจารณากิ่งมะขามที่ผูกเครื่องอุปโภคพร้อมสรรพมีทั้งไม้ขีด เทียนไข และสบงผ้าอาบน้ำฝนสารพัดสิ่ง รวมทั้งธนบัตรทำเป็นธวัชฉัตร์ธง คำนวณในใจเป็นเงินหลายร้อยเกินฐานะหมอเถาน่าแปลกใจ
“ไปถูกหวยมืดมารึ จึงคิดทำบุญ หรือเป็นผ้าป่าสามัคคีเรี่ยไร”
“ไม่ใช่ทั้งสองอย่างแหละ ตัวเจ้าภาพผ้าป่าน่ะมีแน่”
“บ๊ะ…ดูมันซับซ้อนซ่อนเงื่อนจริงว๊ะหมดเถา”
ครูก้อนยิ่งไม่เข้าใจหมอเถาทรุดตัวลงนั่งขัดสมาธิกลางพื้นเรือน
“เรื่องมันยังงี้ครูเอ๋ย เรื่องเจ้าวัวตัวนี้แหละ ฉันเป็นทุกข์กินไม่ได้นอนไม่หลับมาหลายวัน วันหนึ่งตรองไปตรองมางีบหลับไปครู่หนึ่ง เทวดามาดลใจให้คิดวิธีออก”
“วิธีอะไรของแก หมอเถา”
“อ้าวก็วิธีเรียกค่าเสียหายคืนจากเจ้าวัวตัวนี้น่ะซี เป็นวิธีทันสมัยเปี๊ยบเชียวฉันรับรองใครๆ ก็คิดไม่ถึง”
ครูก้อนหมั่นไส้ท่าทางอวดฉลาดของหมอเถาก็เลยพูดแดกส่ง
“นั่นซีลงได้ปัญญาเทวดามาช่วย ใครเล่ามันจะคิดทันหมอเถา”
หมอเถาไม่ทันคิดว่าถูกเยาะก็เล่าต่อ
“คือว่าฉันเอาหมึกมาเขียนสีข้างวัวทั้งสองข้างประกาศโฆษณาว่า ข้าพเจ้าเป็นวัวพเนจรได้บุกรุกทำความเสียหายแก่ท่านผู้มีชื่อ เขาจับตัวไว้ และจะส่งไปขางโรงฆ่าสัตว์ในสามวันนี้เพื่อเอาเงินมาเป็นเบี้ยปรับสินไหม”
ท่านผู้ใจบุญทั้งหลายโปรดสละทรัพย์ช่วยชีวิตข้าพเจ้าด้วยเถิด วัวแดง (สัตว์ผู้ยาก)
“แล้วฉันเอากระป๋องเจาะช่องใส่เงินผูกคอเจ้าวัวไว้ จูงไปผูกไว้ข้างตลาดสด พอตกเย็นก็ไปจูงเอามา นับเงินในกระป๋องได้ถึง ๖๐๐ กว่าบาท ฉันหักค่าเสียหายบ้านที่ซ่อมไว้ ๒๐๐ บาท นอกจากนั้นก็เอามาซื้อข้าวของทอดผ้าป่าเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้เจ้าของเงินเขาคืนไป”
ครูก้อนขำก็ขำแต่ก็อดปลงสังเวชมิได้
“โธ่เอ๋ย หมอเถาคุยว่าปัญญาเทวดา ที่แม้มันก็ใช้สัตว์ไปขอทานชาวบ้านเขานั่นเอง”
“เหอะน่าได้เงินแล้ว มันดีทั้งนั้น”
ครูก้อนยังติดใจถึงเจ้าวัว จึงถามถึง
“แล้ววัวล่ะ เป็นอย่างไร”
“ก็ฉันได้ครบก็ปล่อยเขาเป็นไทน่ะซี ฉันลบประกาศเรี่ยไรเขียนใหม่ตัวโตๆ”
“ข้าพเจ้าเป็นวัวของชาวตลาดสด แล้วเอาไปปล่อยข้างตลาดอย่างเดิม แม่ค้าผักเอาผักเหลือตอนเย็นเลี้ยงเจ้าวัวเปรมไป เลยกินนอนอาศัยเป็นนิวาสน์สถานอยุ่ที่ตลาดนั่นเอง”
“แล้วเจ้าของวัว มันไม่แอบมาจูงเอากลับหรือ”
หมอเถาส่ายหน้า
“ฉับสืบได้ความว่าเป็นวัวแขก มันต้อนเดินทางผ่านจังหวัดเราเจ้าตัวนี้แตกฝูงหนีมา”
ลูกเมียครูก้อนมานั่งฟังหัวเราะกันคิกคัก เกิดใจกุศลช่วยกันเอาธนบัตรมาติดองค์ผ้าป่าได้เงินอีหลายบาท
ครูก้อนยังหาวหวอดไม่หายง่วง
“แล้วจะไปกันแต่หัวมืดยังงี้น่ะเรอะ”
“ก็ยังงั้นซี ทอดผ้าป่ามันต้องเช้ามืดยังงี้ ม่ายก็โพล้เพล้ไปเลยเพราะว่าต้องแอบๆเอาไปปักไว้ริมทางเปลี่ยวผู้คน และเจ้าของผ้าป่าก็ไปซ่อนเสีย พระออกบิณฑบาตรเช้าพบเข้าก็ชักผ้าป่าไป บางรายเขาใช้จุดประทัดบอกพระ ครูก้อนกระวีกระวาดลุกไปแต่งตัวลวกๆ ออกมาและยังสงสัยคำของหมอเถาทีแรก
“ไหนหมอเถาว่ามีเจ้าภาพทำไมเขาไม่มาด้วย”
“มาซี เขาคอยอยู่ข้างนอกแล้ว”
หมอเถาเหลียวออกไปนอกประตู
“ก็เจ้าวัวตัวเอกนั่นแหละ ฉันไปชวนเขามาด้วยกัน เพราะเขาเป็นเจ้าของเงินผ้าป่าโดยตรง ก็ดูเขาเต็มอกเต็มใจมาด้วย”
ครูก้อนหัวเระหึนึกอ่อนอกอ่อนใจในความพิเรนของหมอเถาเป็นที่สุด และก็ต้องออกเดินตามหมอเถาที่ประคองยกกิ่งมะขามองค์ผ้าป่าออกประตูไปสมทบกับ เจ้าวัวตัวเอกเจ้าภาพทที่ยืนรออยุ่ข้างนอกเคลื่อนขบวนไปหลังวัดพอตกบ่าย ตะวันคล้อยได้เวลาโรงเรียนเลิกแล้ว ครูสมศักดิ์ก็รีบแน่วมาวัดเพราะมีเรื่องร้อนอกร้อนใจที่จะต้องพบหลวงตาชื้น ให้ได้เดินพลางคิดพลางว่าป่านฉะนี้ เพื่อนเกลอทั้งสองซึ่งว่างงานคงจะพร้อมหน้ากันอยุ่ที่กุฏิหลวงตาแล้ว กระทั่วล่วงเข้าเขตวัดและเลี้ยวขึ้นบันไดกุฏิต้นมะยมคู่พอเปิดประตูนอกชาน ก็จริงอย่างคิดทั้งครูก้อนและหมอเถานั่งพับเพียบเรียบร้อยอยู่เบื้องหน้า หลวงตาเช่นเคยหมอเถาหันมาทักทายครูสมศักดิ์
“กำลังคิดถึง ก็มาพอดี”
ครูสมศักดิ์ยิ้มรับตรงเข้าไปกราบคารวะหลวงตาก่อนอื่นและเข้าไปนั่งชิดเพื่อน ทั้งสองหลวงตาชื้นเคลื่อนป้านน้ำชามาให้และมองดูครูศักดิ์เต็มหน้าและทัก ขึ้น
“ดูหน้าครูสมศักดิ์ มีเรื่องกังวลใจอยู่มีธุระเดือนร้อนอะไรหรือ”
ครูสมศักดิ์ถูกทายใจรงเผง ก็เลยระบายความทุกข์
“ผมได้รับจดหมายจากยาติในกรุงเทพฯผมไม่สบายใจเรื่องน้องชายขอรับหลวงตา”
หมอเถาและครูก้อน เห็นเป็นเรื่องส่วนตัวก็เกรงใจไม่กล้าซักถามแต่หลวงตาท่านถือว่าเป็นผู้ใหญ่จึงถามต่อไปอีก
“เรื่องมันอย่างไรหรือ ครูสมศักดิ์จึงเป็นทุกข์เป็นร้อน”
“ชีวิตเขากำลังจะยุ่งยากเดือนร้อนและผมอยากจะรบกวนหลวงตา”
ครูสมศักดิ์ล้วงกระเป๋าควักเอาดวงชะตาออกมา พนมมือไว้ส่งให้หลวงตารับดวงมาพิจารณาดูอยู่ครู่ใหญ่สีหน้าดูยิ้มๆมิได้พลอย เป็นทุกข์ไปตามครูสมศักดิ์จนหมอเถาและครูก้อนนึกสงสัยยอมเสียมารยาทเอียงตัว ชะโงกดูดวงบ้างหลวงตานึกรุ้ใจศิษย์ จึงหยิบกระดานมาลอกดวงลงกระดานให้ดูถนัดๆครูสมศักดิ์ออกตัว
“ผมดูดวงเขาแล้วพอจะพยากรณ์เขาได้ ตั้งแต่พบหลวงตาแล้วผมไม่แน่ใจความรู้ดหราศาสตร์ของตัวเองเลยกลัวผิดร่ำไป อยากจะขอคำพยากรณ์จากหลวงตาขอรับ”
หมอเถาเป็นคนคิดอะไรเก็บความคิดไว้ไม่อยู่จึงถามหลวงตา
“ครูสมศักดิ์แกเป้นทุกข์แต่หลวงตากลับยิ้มๆเหตุใดหรือคะรับหลวงตา”
หลวงตาเอาก้อนดินสอพองเคาะกระดานเล่น
“ไม่น่าจะเห็นเป็นเรื่องทุกข์ร้อนหนักหนาอะไร กะอีเรื่องได้น้องสะใภ้”
“ถูกขอรับ แต่เรื่องมันร้ายแรงยิ่งกว่านั้นอีก”
ครุสมศักดิ์เล่าหนักอกหนักใจ
“มันจะเกิดความเสียหายใหญ่หลวงซีขอรับ”
“เออว่าไป”
หลวงตาพยักหน้าหมอเถาเอียงหน้าเข้าไปกระซิบครูก้อนเบาๆ ข้างหูว่า
“เจอเอาดวงพินทุบาทว์เข้าอีกแล้ว”
ครูสมศักดิ์เล่ารายละเอียดให้หลวงตาฟัง
“น้องชายผมมีภรรยาอยู่เดิม มีบุตรด้วยกัน ๓ คน ฐานะดีพอสมควร สะสมเงินทองซื้อที่ดินไว้ ๒-๓ แปลงหวังจะไว้เป็นสมบัติของลูกๆ ในวันข้างหน้า เมื่อปีที่แล้วเมียเขาตายลงตกเป็นพ่อหม้ายเปล่าเปลี่ยวไม่นาน เมื่อเร็วๆนี้ไปคว้าสาวใหญ่คนหนึ่งมาเป็นเมีย หลงไหลเอามากมาย ถึงขนาดขายที่ขายทางสมบัติของลูกๆ เอาเงินมาบำเรอกันเหลวเหลกญาติๆ ก็ห่วงว่าจะถูกปอกลอกหมอตัวและวันข้างหน้าลูกๆ จะลำบาก นี่แหละขอรับญาติพี่น้องทุกคนเดือดร้อนไปตามกัน”
“นั่นนะซี มันเรื่องของคนอื่นเป็นทุกข์เดือดร้อนต่างหาก เจ้าตัวเขาเองสำเริงสำราญด้วยรสเสน่หาเป็นสุขอยู่”
หลวงตายืนยัน
“อันความทุกข์เพราะสมบัติหมดมันอีกนาน”
“ผมสงสัยอยู่ข้อหนึ่ง ขอรับหลวงตา”
ครูสมศักดิ์ชี้ดวงบนกระดาน
“ราหูจรทับเสาร์คู่มิตรในเรือนปัตนิ มันน่าจะดีมีคุณและพฤหัสจรก็เป็นเกษตรร่วมด้วย ไม่น่าจะสูญเสียสมบัติที่ทางเลย หรือว่าพฤหัสจนทับศัตรูเสาร์เดิม และเป็นศัตรูรับราหูจรเช่นนั้นหรือขอรับ”
หลวงตาส่ายหน้าปฏิเสธและอธิบายอย่างครูสอนศิษย์
“ครูจะเอาดาวคู่มิตรคู่ศัตรูไปบวกลบกันเหมือนตัวเลขไม่ได้ ดาวเป็นคู่มิตรเขาก็ให้คุณ เมื่อเป็นคู่ศัตรูก็ย่อมเกิดโทษ อาจเป็นคุณเรื่องหนึ่งเป็นโทษเรื่องหนึ่งได้ ต้องจับทีละเรื่องๆ อย่าเอาไปรวมๆกันมันจะยุ่งเหยิงจนทายไม่ออก อ่านดาวมันต้องอ่านเหมือนอ่านหนังสือ คือ ทีแรกดูว่ามันเป็นอักขระตัวอะไรและประสมสระอะไร มีตัวสะกดการันต์อะไรอ่านว่าอะไร แล้วจึงจะแปลความหมายว่าเป็นอย่างไร”
ทั้งครุสมศักดิ์ หมอเถา และครูก้อน นั่งนิ่งฟังตั้งใจจดจำไว้มิให้หลงลืมตกหล่นแม้แต่สักคำหลวงตาหยุดอยู่ครู่หนึ่งก็อธิบายต่อ
“อย่างเช่นดวงนี้ ดาวจรเข้าเรือนปัตนิ อย่าเพิ่งไปปุปปับทายเขาว่าเป็นเรื่องผัวเรื่องเมียมันต้องตรวจดูเสียก่อน ว่า ราหูเป็นเจ้าเรือนอะไรของลัคนาเป็นศุภะ และราหูเดิมอยู่เรือนอะไรเรือนลาภะก็ได้ความหมายว่าศุภะ ลาภะมาครองเรือนปัตนิ ซึ่งมันเป็นได้ถึง ๒ นัย คือ ได้ลาภ หรือสำเร็จผลได้ลูกเมีย หรือได้ลาภเป็นส่วนแบ่งคือร่วมหุ้นร่วมส่วนมีผลประโยชน์ก็ได้ เมื่อหันมาดูทางพฤหัสที่ร่วมราศีด้วย คือพฤหัสเป็นเจ้าเรือนปัตนิ และพฤหัสเดิมอยู่เรือนวินาสน์จึงย้ำความหายทางราหูว่าได้ลาภเมียแน่”
ครูสมศักดิ์นิ่งฟังจดจำแม่นยำ และพูดเบาๆเหมือนรำพึงกับตนเอง
“หลวงตาตรวจดาวถึงห้าตำแหน่งเพื่อทายความหมายในเรือนเดียวเท่านั้น”
หมอเถาเป็นคนช่างสงสัยและจดจำดีก็ถามบ้าง
“หลวงตาเคยมีรายละเอียดประกอบเป็นเรื่องเป็นราวจะต้องเอาอะไรอ่านอีกคะรับ”
“ช๊ะๆ พวกนี้”
หลวงตาชี้หน้ากราดไปทั้งสามคน สีหน้าท่านยิ้มๆ
“มันคิดจะถลกจีวรฉันล้วงเอาให้หมดตัวซีน๊ะ”
ครูสมศักดิ์จำวิธีของหมอเถาและครูก้อนมาใช้บ้าง คือ พนมมือประจบ
“พวกผมตั้งใจขอทานวิชา สุดแต่จะกรุณาขอรับ”
“พวกนี้มันเรียนปากหวานมาจากโรงเรียนเดียวกันหมด”
หลวงตาชื้นหัวเราะชอบใจและอธิบายต่อ
“ถ้าจะดูแบบทรงเครื่องครบมันก็ราหูตัวเก่านั่นแหละ แต่เปลี่ยนเอาตนุเศษดู ก็หมายถึงใจเขา มิได้คิดหมายมาก่อน ราหูจรมาเป็นมรณะแก่ตนุเศษก็หมายถึงขณะนี้ใจเขาโศกเศร้าสูญเสีญ”
ครูสมศักดิ์แทบจะนั่งไม่ติดเพราะความดีใจหนักหนา เหมือนได้ขุมทรัพย์มหาศาล
“ตนุเศษตัวนี้นี่เอง โหรเก่าๆเคยพูดเป็นลายแทงไว้ว่า แทนลัคนา แต่ไม่เคยบอกวิธีใช้ไว้เลย”
“คนโบราณเขาใช้กันมาเป็นร้อยๆปีแล้ว มิฉะนั้นเขาจะหาตนุเศษไว้เพื่ออะไร”
หลวงตาว่า
“อีกเรื่องหนึ่งขอรับ คือว่าคู่มิตรคู่ศัตรูนั่นแหละขอรับ”
ครูสมศักดิ์หวลกลับไปเรื่องเดิมอีก
“เออบ้าจี้ตามที่เขาถามจนเกือบลืมเรื่อง”
หลวงตาหันไปจุดบุหรี่สูบอัดเต็มแรง
“เมื่อดูเหตุเขารู้แล้วว่าได้เมีย ก็ต้องดูผลต่อไปว่ามันจะเป็นคุณหรือเป็นโทษ จับราหูจรดูก่อนที่ว่าทับเสาร์ คู่มิตรควรจะให้คุณอย่างที่ครูสมศักดิ์เข้าใจนั้นจริงหรือไม่ ราหูกับเสาร์นั้นคู่มิตรกันจริงแต่มันเป็นคู่มิตรกันระหว่างดาวต่อดาวมิใช่ คู่มิตรของเจ้าชะตาและเสาร์เดิมนั้นคือเจ้าเรือนมรณะมาแสดงโทษอยู่ในเรือน ปัตนิเมื่อได้ราหูคู่มิตรก็เท่ากับได้เพื่อนคู่หูมาร่วมกัน ทำให้เกิดโทษรุนแรงยิ่งขั้นไปอีก เพราะเสาร์เขาได้แรงเพื่อน มันจะเกิดโทษเรื่องอะไรก็ทายดีกินเอาได้ว่า เสาร์คือที่ดินหรืออสังหาริมทรัพย์มันก็เสียที่เสียทางนั้นแหละ”
“แล้วพฤหัสที่เป็นเกษตรร่วมด้วยล่ะคะรับ”
หมอเถาเปลี่ยนหน้าถามบ้าง
“เดี๋ยวว่ะ ขอหยุดหายใจก่อน”
หลวงตาหยุดพักเหนื่อย เพราะพูดมายืดยาวเป็นครู่ใหญ่
“พฤหัสนี้แหละตัวสำคัญ ความเป็นเกษตรให้ความหมายถึงมั่นคงถาวร เมื่อประกอบเรื่องมีคู่มีเมีย ก็เป็นผัวเมียกันตลอดไป นี่เป็นส่วนที่เป็นคุณ ส่วนที่เป็นโทษมีอยู่เพราะพฤหัสเดิมเป็นวินาสน์ลัคนาอยู่ ย่อมมีทาทางชะตาเดิมอยู่แล้ว”
หมอเถาและครูก้อนเคยได้ยินได้ฟังมา หลายครั้ง ส่วนครูสมศักดิ์เพิ่งได้ยินได้รู้ ความรู้สึกทั้งดีใจและเสียใจปนกันยุ่งไปหมด ดีใจที่ได้พบวิชาของจริงจากท่านที่แตกฉานอธิบายให้เห็นชัดเจนเสียใจที่ว่า ความรู้โหราศาสตร์ที่ ตัวเองร่ำเรียนมามากเป็นความรุ้ของเด็กนักเรียนไปเณรชั้วเข้ามาเตือนหลวงตา ถึงเวลานัดทานเจ้าอาวาสไว้ว่าจะไปร่วมประชุมเรื่องสร้างศาลา หลวงตาจึงลุกขึ้นคว้าจีวรมาครอง และมองดูศิษย์ทั้งสามแผ่เมตตาจิตครองจีวรเสร็จแล้วหลวงตาชื้นกลับนั่งลงอีก
“ครูสมศักดิ์ วันพฤหัสนี้เอาดอกไม้ธูปเทียนมาก่อนเพลนะจะรับเป็นศิษย์”
ครูสมศักดิ์ปลาบปลื้มใจจนตัวลอย ก้มตัวลงกราบกราบแทบเท้าหลวงตาด้วยความรู้สึกเป็นพระเดชพระคุรอันยิ่งใหญ่หลวง