ขอขอบคุณ คุณนริศรา ที่เอื้อเฟื้อหนังสือ
ดาวลอย
เช้าวันอาทิตย์ หมอเถา ครูก้อน ครูสมศักดิ์ ออกจากร้านกาแฟเจ้าโก ต่างคนต่างว่างธุระจึงสมคบชวนกันมากุฏิหลวงตา
หมอเถาออกเดินนำหน้า ครูก้อนเดินกลาง และครูสมศักดิ์รั้งท้าย เดินเข้าแถวเรียงหนึ่ง ครูก้อนเห็นทางทางหมอเถาเดินอกแอ่นผึ่งผาย ก็เลยให้จังหวะทหาร หนึ่ง-สอง หนึ่ง-สอง ครูสมศักดิ์ก็ผสมผิวปากเพลงมาร์ชเข้าจังหวะเดิน ต่างคนมีอารมณ์ครึกครื้นเหมือนเด็กหนุ่มๆ กำลังสนุกคะนองพอถึงทางแยก แถวทหารสามเกลอก็เลี้ยวมาตามทางแยกเข้าวัด หมอเถากำลังครึ้มเกิดความคิดอุตริก็ร้องเพลงทหารมั่ง
“ตั้ง-ตั้ง-ตั้ง ตะริดติ๊ดตั้ง ทหารเมืองนอก…อุ๊บ”
ปากหมอเถาถูกอุดฉับพลัน เพราะมือครูก้อนที่เอื้อมมาจากข้างหลัง
“เฮ้ย…หมอเถาไม่ต้องร้องตอนได้บั้งหรอก นี่มันเขตวัด ร้องเพลงลามกนรกจะกินหัว”
หมอเถาแกะมือเพื่อนออก หัวเราะยิงฟันขาวชอบใจเถียงว่า
“เพลงเก่าแก่น๊ะฮิตทั้งเมืองไทยเชียวแหละ”
“เออน่า เพลงเก่าอื่นถมไปไม่ร้อง คนเรามันส่อนิสัย”
ครูก้อนพลอยหัวเราะไปด้วย
“งั้นเอาเพลงใหม่ เพลงรักโศกกินใจดีไม๊”
หมอเถาเสนออีก
ครูสมศักดิ์เดินท้ายชักไม่ไว้ใจ
“ลองบอกชื่อเพลงก่อนเถอะ”
หมอเถายิ้ม ตอบหน้าตาย
“ชื่อนางครวญ”
ครูก้อนพยักหน้า
“เออชื่อเพราะดี เอาร้องได้”
หมอเถาตะเบ็งเต็มเสียง
“แม่…จ๋า หนู-ทน-ม่าย-ไหว-”
ปากหมอเถาถูกอุดเป็นหนที่สอง
“บ้า…ยิ่งหนักกว่าเพลงเมื่อกี้เข้าไปอีกหนีไม่พ้นเรื่องสัปดนจนได้ ถุย”
ต่างคนต่างหัวร่อเฮฮาทั้งผู้ร้องและคนฟังเป็นที่ครึกครื้นจนหัวแถวถึงหน้า กุฏิหลวงตา จึงสงบเสียงสำรวมกิริยาย่างขึ้นบันได เมื่อเปิดประตูเข้าไปก็เห็นว่ามีแขกนั่งสนทนาอยู่กับหลวงตา เป็นคนที่ทั้งสามรู้จักดีคือนายอำเภอซึ่งพาพี่ชายที่พึงใจในอัธยาศรัยของ หลวงตาตั้งแต่วันทำบุญบ้าน จึงหาโอกาสมาสังเสวนาเพื่อจะได้ไต่ถามความรู้ทางโหราศาสตร์ที่ตนสนใจมาก่อน หมอเถาและเพื่อนๆ ทำท่าจะเดินแยกไปทางหอฉัน เพราะความเกรงใจ ก็ถูกนายอำเภอกวักมือเรียก
“เอา…จะไปไหนกันล่ะ หมอเถากะครู กันเองทั้งนั้น เข้ามาร่วมวงด้วยกันเถอะ”
ทั้งสามคนยกมือไหว้คารวะ แล้วค่อยเลียบเคียงเข้าไปนั่งห่างๆ ทีท่าเกรงๆ ใจจนนายอำเภอต้องคะยั้นคะยอให้ร่วมวงใกล้เข้าไปอีก
“ผมพาพี่ชายมาคุยกับหลวงตาเรื่องโหราศาสตร์ หมอเถาและครูก็เป็นศิษย์หลวงตาซึ่งมีความรู้ดี จะได้ช่วยกันแนะนำบ้าง”
คุณพิชิตพี่ชายนายอำเภอ เขยิบตัวให้ที่ว่างแก่หมอเถาและสองครู ยิ้มแย้มเป็นไมตรีและถ่อมตัวตามแบบสุภาพบุรุษ
“ผมสนใจทางโหราศาสตร์มานาน แต่ไม่แตกฉานสักที เพราะขาดคนแนะนำสั่งสอน ได้ยินกิติศัพท์ของหลวงตามามาก และหาโอกาสมานานแล้ว หมอเถาและครูๆอยู่ใกล้หลวงตาโชคดีเหลือเกินความรู้ทางโหราศาสตร์ต้องดีกว่าผมมาก”
หมอเถาถูกยอ ยิ้มหน้าบานเป็นดอกลำโพง
“ผมเป็นคนปัญญาทึบคะรับ หลวงตาสอนบาทหนึ่งผมจำได้สลึงเดียว”
ครูก้อนสนิทกับนายอำเภอมาก่อน จึงกล้าพูดสอดสัพยอก
“หมอเถาไม่เต็มบาทเสมอ”
หมอเถาได้แต่ขมึงตามองไม่กล้าต่อปากต่อคำต่อหน้านายอำเภอทั้งรู้ตัวว่าไหว พรับไม่ทันเพื่อน รังแต่จะเสียท่าเข้าเนื้อตัวเองอีก หลวงตากวักมือให้เข้าไปนั่งล้อมวงใกล้ๆ
“สามคนนี้เป็นศิษย์อาตมาก็จริง แต่ก็สอนกันไปวันละเล็กวันละน้อยตามบุญตามกรรมนึกอะไรขึ้นมาได้ก็บอกๆ ไว้ หลักเกณฑ์ก็มีเท่าที่จดจำมาจากครูบาอาจารย์ท่านเดียวไม่แน่ใจ ว่าเหมือนของอาจารย์อื่นเขาหรือไม่ จะเรียกคนทั้งสามเป็นนักโหราศาสตร์ยังไม่สนิทปาก เพราะยังรู้น้อยนักหนาทั้งศิษย์ทั้งครู”
คุณพิชิตยิ้มเมื่อเห็นหลวงตาถ่อมตัว
“ผู้คนเขากล่าวขวัญถึงหลวงตาไม่เหมือนหลวงตาพูด แม้ในหมู่นักโหราศาสตร์เขาก็เล่าลือถึงหลวงตาในทางพยากรณ์ ขั้นอาจารย์ใหญ่”
“อาตมามีศิษย์คนบ้านนอกกะเขาเพียง ๓ คน จะเป็นอาจารย์ใหญ่ได้อย่างไร”
หลวงตาค้านเต็มเสียง
“นักโหราศาสตร์เขามีอยู่ ๔ ระดับ คือ ๔ นัก นักที่หนึ่งคือ นักเรียนพบตำรับตำราก็ซื้ออ่านดะ จดจำเอาไว้หมดพบทานผู้รู้ก็ถามและจดจำไว้อีก เพื่อนฝูงใครแนะนำไม่ได้ จดจำเอาไว้แม่นยำ บางคนเรียนรู้มากๆเข้าทำให้สติปัญญาเคยฉลาดปราดเปรื่องกลายเป็นโง่ไป เพราะเอาแต่จดจำ ถ้าใครถามจะตอบหลักเกณฑ์คล่องปร๋อตามตำราเปรี้ยะ เขาเรียก นักเรียนโหราศาสตร์”
คุณพิชิตพี่ชายนายอำเภอถูกใจสำนวนหลวงตาจึงถามต่อ
“แล้วนักที่ ๒ เล่าขอรับ”
หลวงตาจึงวิสัชนาต่อ
“นักที่ ๒ คือ นักเล่น ถ้าผ่านนักเรียนที่เรียนรู้มา นำเอาหลักเกณฑ์โหราศาสตร์วิธีนั้นบ้างวิธีนี้บ้างมาลองใช้ทายเขาถูกบ้างผิด บ้างเป็นเครื่องสอนตนเองไป หัดดูดวงลูกหลานและเพื่อนๆ ไปพลางก่อนเป็นการเล่นๆไม่จริงจังดวงใดดาวใดเข้า กฏทายได้ก็ทายไปตามตำราเขาว่าไว้ ดาวใดภพใดมันซับซ้อนเงื่อนอ่านไม่ออกก็เฉยเสีย เลือกทายเอาแต่ที่พอรู้เขาเรียกนักเล่นโหราศาสตร์”
นายอำเภอชอบใจความคิดของหลวงตาชื้นในการจิดอันดับชั้นนักโหราศาสตร์จึงช่วยถามต่อ
“แล้วนักที่ ๓ ล่ะขอรับหลวงตา”
หลวงตาชื้นอธิบายต่อคล่องปากคล่องใจไม่ติดขัด
“ชั้นที่ ๓ นี้ เขาเรียก นักเลง เป็นขั้นใช้งานได้แล้ว ขั้นนี้เป็นขั้นสำคัญตอนนักเล่นจะเลื่อนชั้นเป็นนักเลงนั้นยากมากและมีน้อย นักเล่น ๑๐ คนจะได้เป็นนักเลงสักคนก็ทั้งยาก ส่วนมากมักจะวนเวียนเป็นนักเล่นโหราศาสตร์ไปตลอดชีวิต บางคนมีความรู้ความสามารถเป็นนักเล่นหนักๆ เข้าลดชั้นหวลกลับไปเป็นนักเรียนเสียอีกก็มี บางคนเบื่อหน่ายไม่มีทางก้าวหน้าเลยเลิกเล่นไปเสียก็มาก ขั้นนักเลงนี้เป็นขั้นที่พบว่ากฎเกณฑ์ใดใช้ไม่ได้ก็ทิ้งไปยึดถือกฎเกณฑ์ที่ ถูกทางใช้ได้ไว้พยากรณ์เขาได้ทั้งทางเดิมทางจร คล่องตัวบ้างก็ก้าวไปถึงขั้นอาชีพเป็นหน้าเป็นตามีชื่อเสียง ส่วนจะเป็นนักเลงเล็ก นักเลงใหญ่ นักเลงเก่า นักเลงใหม่ สุดแต่อัจฉริยะและประสบการณ์ของแต่ละบุคคล”
หลวงตาไม่ต้องรอให้ใครซักก็อธิบายต่อไปอีก
“นักที่ ๔ นี้เป็นนักสุดยอดแล้ว คือ เป็นนักปราชญ์ ซึ่งเป็นผู้รอบรู้โหราศาสตร์โดยแตกฉาน ทั้งเจนจบในหลักเกณฑ์และคัมภีร์ทั้งปวง รอบรู้ทั้งภาคพื้นฟ้าอันเกี่ยวแก่การโคจรของดวงดาวทั้งหลาย และภาคพื้นดินคือการพยากรณ์ชีวิตมนุษย์ได้โดยถูกต้องและแม่นยำ แต่โบราณทานแบ่งวิชาโหราศาสตร์ไว้ ๓ ภาค คือ
ภาคคำนวณ รู้การคำนวณดาวเดือนบนท้องฟ้าและฤกษ์ยามทั้งปวง
ภาคพยากรณ์ รู้เหตุอันจะเกิดจะเป็นของชีวิต และให้ฤกษ์ให้ยาม
ภาคพิธีกรรม รู้การบวงสรวงและพิธีกรรม ในกรมโหรสมัยก่อน
แบ่งกันเป็นแผนกๆตามภาคพื้นความรู้ พนักงานโหรมักรอบรู้เพียงแต่ละภาคเป็นส่วนใหญ่ ผู้แตกฉานทั้ง ๓ ภาคมักจะได้ตำแหน่งพระยาโหรา เจ้ากรมโหร”
หมอเถารู้ใจอาจารย์ตอนพูดมากๆจึงจุดบุหรี่และรินน้ำชาประเคนติดๆกันถึง ๒ ถ้วย คุณพิชิตชมเชยหลวงตาอย่างจริงใจ
“ผมเคยวิสาสะกับนักโหราศาสตร์ขั้นครูบาอาจารย์ในกรุงเทพฯมาบ้าง แต่ยังไม่เคยพบใครแบ่งชั้นและความรู้นักโหราศาสตร์ได้อย่างมีเหตุมีผลและถูก ต้องเหมือนหลวงตาเลย อย่างหลวงตานี้สมควรเป็นชั้นนักปราชญ์โดยแท้”
หลวงตาหัวเราะกระดากๆ ที่ถูกชมซึ่งๆ หน้ารีบโบกมือห้ามทันควัน
“ขอทีเถอะคุณเกินวาสนาพระบ้านนอก ขั้นนั้นเป็นชั้นโหรอาตมาเป็นเพียงพระหมอดูเท่านั้น เล่าเรียนมากับครูบาอาจารย์ก็ได้ รู้แต่ทางที่เอามาใช้งานได้บ้าง ยังไม่เรียนรู้เจนจบทุกแขนง โหราศาสตร์อันมีอยู่มาก อาตมาเพียงแต่ ชั้นนักเลง กำลังจะเป็น นัก-โลง เท่านั้น”
ทั้งนายอำเภอและคุณพิชิต ยิ้มแย้มชอบใจอารมณ์สนุกของหลวงตา ทั้งชอบใจทีท่าของหลวงตา เวลาจะพูดอธิบายท่านนั่งตัวตรงอย่างกับนั่งบนธรรมาสน์เทศน์ พูดชัดถ้อยชัดคำแจกแจงละเอียดคุณพิชิตเอ่ยถึงเรื่องที่ตั้งใจมา
“จริงอย่างหลวงตาว่าผมเรียนรู้โหราศาสตร์มานาน เป็นได้แค่นักเล่นเท่านั้น จะทำนายทายทักใครเขาดูห้วนๆ พอดีพอร้ายเจอคนช่างซักเข้าพาลเหงื่อแตกอับจนปัญญาเอาง่ายๆ”
หลวงตาชื้นหัวเราะหึอารมณ์ดี
“คุณก็เรียนรู้มามาก ไม่น่าจะถึงเพียงนั้นเลย”
“จริงๆ ขอรับหลวงตา”
คุณพิชิตยืนยันแข็งแรง
“ผมทายเขาเหมือนปืนลูกโดดพอยิงโป้งนัดเดียวก็หมดกระสุน เมื่อคราวก่อนผมแวะมากราบหลวงตาครั้งหนึ่งเห็นหลวงตาพยากรณ์ดวงชะตาแขกที่มา มีรายละเอียดแจกแจงไปได้หลายสถาน ข้อนี้แหละผมจึงมาขอกราบเท้าขอความกรุณาจากหลวงตา”
หลวงตาชื้นนิ่งมองหน้าคิดหาเหตุและผลและปรารภว่า
“ไม่น่าเลยความรู้โหราศาสตร์เรื่องดาวเรื่องภพมันก็มิใช่เรื่องลี้ลับอะไร ใครต่างก็รู้เท่าๆ กันทั้งนั้นทุกคนไม่น่าจะทานเขาติดขัดมากนัก”
คุณพิชิตพนมมือไหว้
“ผมมิได้เท็จพูดเลยขอรับหลวงตา ทุกวันนี้ใครเขายื่นดวงให้ทายชักเลี่ยงๆหลบๆกลัวเขาซักจนมุมท่าเดียว”
หลวงตานิ่งตรึกตรองและเกิดความคิดแยบคาย หันไปหยิบกระดานโหรที่วางแอบไว้ข้างตู้ออกมาวางมีดวงชะตาเขียนด้วยชอล์กไว้แล้ว
“เมื่อวานมีคนมาดูหมอ ขอเอาเป็นดวงครูเสียเถอะ”
คุณพิชิตกระเถิบเข้าใกล้กระดานโหรทั้งหมอเถา ครูก้อน ครูสมศักดิ์ ดีใจที่จะได้ฟังหลวงตาอธิบายเป็นความรู้ จึงกระเถิบเข้าไปรวมกลุ่มแทบจะเบียดกัน
“ขออภัยอย่าถือเป็นการลองภูมิเลยออกจะทดสอบความเข้าใจของคุณจะได้รู้ที่ติดขัดแก้ไข”
หลวงตาชี้ลงบนกระดานโหรตรงภพกดุมภะของดวงชะตา
“คุณลองอ่านดูฐานะการเงินของเขาดูทีหรือว่าเป็นอย่างไรดีหรือชั่ว”
คุณพิชิตนิ่งดูดวงชะตาอย่างตั้งใจ เหลียวดูพวกหมอเถา ชักกระดากเพราะจะต้องพยากรณ์ต่อหน้าผู้รู้โหราศาสตร์ด้วยกัน ครั้นถูกหลวงตาเตือนก็ตัดใจพยากรณ์ตามกฎเกณฑ์ที่เคยใช้มาจนชิน
“ภพกดุมภะนั้น เสาร์สถิตอยู่ราศีพิจิกอันเป็นเรือนอังคาร คู่ศัตรูของเสาร์ เสาร์เป็นบาปเคราะห์ตัวโทษทุกข์อยู่แล้ว เมื่อมาอยู่ภพกดุมภะเรือนแห่งการเงินของเขา จึงทำให้เหนื่อยยากเป็นทุกข์หรือยากจนนั้นเอง”
หลวงตาชื้นนิ่งฟังใช้ นิ้วเคาะกระดานตรึกตรอง แม้คุณพิชิตพยากรณ์ไปแล้วหลวงตาชื้นก็ยังคงนิ่งคิดขรึมๆอยู่ จนคุณพิชิตต้องค่อยๆถามเบาๆไม่แน่ใจตัวเอง
“ผมทายถูกหรือผิดขอรับ หลวงตา”
“ขอให้ทายอีกสักครั้งเถอะคุณ”
หลวงตาก้มลงดูดวงในกระดาน
“การงานในชีวิตของเขาจะเป็นอย่างไรดีหรือชั่ว”
คุณพิชิตก็ตรวจดูด้วยความพินิจพิเคราะห์
“กัมมะของเขาคือจันทร์ มาสถิตราศีมังกรเรือนเสาร์อันเป็นคู่ศัตรูสถานหนึ่งและมาร่วมด้วยอาทิตย์คู่ ศัตรูของจันทร์อีเป็นสถานที่สิงอันคู่ศัตรูย่อมขัดแย้ง หักล้ายทำลายต่อกันจะหาความเจริญรุ่งเรืองได้ยาก”
สีหน้าหลวงตายิ้มๆ แต่พยายามสกดกลั้นไว้ เพื่อรักษามารยาทผู้ใหญ่และคราวนี้เจ้าตัวยังไม่ทันซักท่านก็เอ่ยขึ้นว่า
“คุณพยากรณ์มานั้นถูกต้องตามหลักเกณฑ์ที่เขาเล่นๆกันอยู่หรอก ส่วนที่จะถูกกับชีวิตจริงของเขาหรือไม่นั้น อาตมาไม่ถือเป็นเรื่องสำคัญนัก อยากรู้แต่เพียงวิธีพยากรณ์ของคุณว่าเป็นทางใดพอจะสงเคราะห์ทางใดเพิ่มได้บ้าง”
คุณพิชิตพนมมืออ่อนน้อม
“เป็นพระเดชพระคุณขอรับหลวงตาผิดถูกโปรดตำหนิติเตียนได้เต็มที่ ขอให้ถือว่าผมเสมือนศิษย์คนหนึ่งของหลวงตาด้วยขอรับ”
หลวงตายังถามอ้อมๆ ต่อไปอีก
“คุณยังจะพอพยากรณ์ให้ละเอียดถี่ถ้วนต่อไปอีกได้หรือไม่”
“ไม่…แล้ว ขอรับ”
เขาสั่นหน้าปฏิเสธ
“จบสิ้นกระแสความแค่นั้นขอรับ”
หลวงตาชื้นพยักหน้าเนิบๆ เข้าใจ
“ทางพยากรณ์ของคุณก็เป็นทางหนึ่งในหลายๆ ทาง ที่มีผู้นิยมเล่นกันอยู่แพร่หลาย เสียแต่ว่าคำพยากรณ์ห้วนๆ รู้แต่ว่าดีหรือชั่วเหมือนคำพยากรณ์ในใบเซียมซีตามศาลเจ้า ไม่มีรายละเอียดและเค้าเรื่องหลักการพยากรณ์มักจะมีปัญหาอยู่ ๓ ข้อ คือ
๑. เรื่องนั้นดีชั่วอย่างไร
๒. เพราะอะไร
๓. เมื่อใด
เราเป็นนักพยากรณ์จะต้องตอบเขาได้ การพยากรณ์ทางโหราศาสตร์มันต้องเป็นวงกลมเหมือนดวงจักรราศีนี้แหละ หมุนวนไปได้รอบตัวไม่ติดขัดจนแต้ม”
คุณพิชิตรู้ตัวเองทันทีว่าตัวเอง ตัวเล็กลงถนัด ความรู้ทางโหราศาสตร์ที่เรียนมากลายเป็นสิ่งกระจ้อยร่อยไป เมื่อได้ฟังคำวิจารณ์ทั้งเหตุและผลของหลวงตาชื้น ความนับถือเคารพที่ไม่ต้องมีใครขอร้องก็เกิดขึ้นเองในหัวใจเต็มเปี่ยม
“ข้อนี้แหละขอรับที่ผมติด อับจนอยู่จนทุกวันนี้ ครั้นจะเล่นทางทักษาเอาเดชศรีกาลีเข้าช่วยมันก็ขัดเขิน ขยายความไม่ออกเช่นกันเพราะไม่ถนัด”
“อาตมาพอจะมีทางแก้ไขแนะนำได้บ้าง คุณเป็นคนมีความรู้มีปัญญาเข้าใจได้ไม่ยากเย็นอะไรนัก”
นายอำเภอนั่งนิ่งอยู่นาน ฟังดูก็รู้ว่าหลวงตาชื้นมีเมตตาจะแนะนำให้ก็สนับสนุนพี่ชายอีกแรงหนึ่ง
“หลวงตากรุณาชี้ทางให้สักคนเถอะขอรับ พี่เขารำพรรณมานานเหลือเกิน”
“อาตมายินดีสนองคุณนายอำเภอด้วยความเต็มใจ”
หลวงตาพูดโดยจริงใจ
“แต่จะต้องใช้แบบของพระคือ ตั้งปุจฉา แล้วจึงวิสัชนาจึงจะเข้าใจง่าย”
คุณพิชิตอารามดีใจพนมมือก้มกราบแทบตักหลวงตา
“เป็นบุญของผมแล้ว”
หลวงตาจับมือยึดไว้ หัวเราะชอบใจ
“อย่าเพิ่งชำระค่าเล่าเรียนล่วงหน้าเลยคุณ ฟังวิธีของพระบ้านนอกเอาไปใช้ก่อน ใช้ได้ถูกความต้องการคุ้มค่า ค่อยว่ากันทีหลัง”
คุณพิชิตดื้อกราบซ้ำจนถึง ๓ หน เหมือนไหว้พระพุทธเงยหน้าตอบมั่นใจ
“ผมแน่ใจว่าต้องดีแน่ขอรับ”
หลวงตาเริ่มต้นถาม
“เมื่อคุณทายเรื่องฐานะการเงิน คุณจับเอาเสาร์ที่สถิตในภพกดุมภะ ซึ่งเป็นดาวลอยอาศัยเรือนเขาทาย แต่พอคุณทายเรื่องงานคุณจับเอาเจ้าเรือนภพกัมมะ แต่พอมาอยู่อีกเรือนหนึ่งคุณก็เปลื่ยนจับเล่นเป็นดาวลอยไปอีก และเล่นดาวลอยต่อดาวลอยกระทบกัน มันจึงขาดห้วนอยู่แค่นั้นเอง เมื่อเล่นทางเจ้าเรือน ความหมายของภพมันจะขยายความหมายของดาวออกไปกว้างขวางมากกว่าเล่นทางดาวลอยนัก”
คุณพิชิตตั้งอกตั้งใจฟังอยู่ก็รับคำ
“ขอรับ”
ศิษย์ทั้งสามคือหมอเถา ครูก้อน ครูสมศักดิ์กำลังตั้งใจฟังเพลินก็เลยเผลอตัวรับคำ
“ขอรับ”
พร้อมกันทั้งสามขอรับตามเขาไปด้วย
“อาตมาจะลองอ่านในทางของอาตมาคือจับเจ้าเรือนเป็นหลักถ้าคุณสงสัยไม่เข้าใจก็ซักถามได้เต็มที่”
หลวงตาชี้นิ้วลงบนกระดานโหรตามภพในดวงชะตา
“เมื่อจะดูการงานก็จับเอาเจ้าเรือนกัมมะคือจันทร์ เมื่อจันทร์สถิตภพพันธุเรือนเสาร์ และเสาร์มาสถิตอยู่ภพกดุมภะ มันก็ต่อเนื่องกันเหมือนสายไฟฟ้าเส้นเดียวกัน ตอนนี้ต้องค่อยๆ แยกอ่านทีละตอนทั้งความหมายของดาวเพราะจะให้ความหมายหลายอย่าง”
คุณพิชิตตั้งใจฟังอย่างจดจ่อ เมื่อหลวงตาหยุดเว้นระยะและมองหน้า เหมือนจะอนุญาตให้ถามคุณพิชิตจึงเอ่ยขึ้นอย่างระมัดระวัง
“จันทร์ในเรือนเสาร์คู่ศัตรูจะเป็นอย่างไรขอรับ”
หลวงตาพูดช้าๆ อธิบาย
“จันทร์กับเสาร์คู่ศัตรูมักให้ผลในทางพลัดพรากจากไปเมื่อความหมายไปประกอบ การงานของเขาก็คือการงานของเขาต้องจากไป ยิ่งความหมายของเสาร์คือ เก่า แก่ นาน ก็คือการทำงานของเขาต้องจากไปนานๆ”
คุณพิชิตกำลังหิวโหยวิชา จึงรบซักต่อเพื่ออยากรู้ว่าสิ่งที่ตนทายได้หลวงตาจะคิดเห็นอย่างไร
“เมื่อจันทร์ร่วมอาทิตย์เล่าขอรับ”
หลวงตาตอบคำถามโดยไม่ต้องตรึกตรอง
“เมื่อจันทร์คือเจ้าเรือนแห่งกัมมะคือการงาน อาทิตย์ก้คือเจ้าเรือนแห่งลาภะ ซึ่งหมายถึง ลาภผล หรือความปรารถนา ย่อมพยากรณ์เขาได้ว่า การงานของเขาคือการจากไปหาลาภผลนั้นเอง และยิ่งเสาร์เจ้าเรือนที่จันทร์และอาทิตย์ครองอยู่มาสถิตภพกดุมภะก็ยิ่งยืนยันว่า การงานของเขาคือการจากไปนาน เพื่อลาภผลเป็นรายได้เงินทอง ฟังๆ ดูมันรุ่มร่ามหน่อยเพราะต้องการอ่านความหมายของภพของดาวตรงๆ เพื่อให้คุณเข้าใจ ถ้าพยากรณ์รวบรัดเพียงแต่เขามีงานค้าขายต้องออกจากบ้านไปค้าขายทางไกลนานๆ”
หลวงตามองหน้าคุณพิชิต ถามดักคอเสียก่อน
“คุณอยากรุ้ว่างานของเขาจะดีหรือขั่วใช่ไม๊ ถ้าอยากรู้ก็ดูอาทิตย์อีกนั่นแหละว่ามาจากภพอะไร”
คุณพิชิตเป็นคนมีปฏิภาณอยู่ ก็มองเห็นตามแสงสว่างที่หลวงตาขึ้นส่องนำทางให้จึงอ่านไปตามแนว
“อาทิตย์มาจากภพลาภะซึ่งหมายถึงความสำเร็จ ถ้าเช่นนั้นงานของเขาก็จะได้รับความสำเร็จด้วยดีซีขอรับ”
“ถูกแล้วคุณ”
หลวงตาถูกใจที่ศิษย์ใหม่ปัญญาไว คุณพิชิตยังติดใจทางเดิมของตน ใคร่จะรู้ผิดถูกจึงถามย้ำอีก
“จันทร์กับอาทิตย์เป็นคุ่ศัตรูกันผลจะเป็นเช่นไรขอรับ”
หลวงตานิ่งนึกในใจว่า
“ชายผู้นี้เป็นคนฉลาด พยายามทดสอบเปรียบเทียบให้สิ้นสงสัยจนถึงที่สุด
“ความเป็นคุ่ศัตรูนั้นเราจะเอามาพยากรณ์เป็นการหักล้างความหมายของผลที่เจ้าเรือน เขาให้ไว้ไม่ได้ เช่นผลของเจ้าเรือนบ่งว่าสำเร็จ ครั้นเป็นคู่ศัตรูของดาวจะเอามาลบล้างเป็นไม่สำเร็จไม่ได้เพราะความเป็น ศัตรูเป็นความหมายรอง เป็นแต่เหตุประกอบ คือ ความสำเร็จในการงานเขานั้นยากลำบากต้องดิ้นรนต่อสู้ตามความหมายของคู่ศัตรูนั้น ”
คุณพิชิตแม้จะเข้าใจ และเห็นแสงสว่างขึ้นบ้าง แต่ก็ยังไม่สิ้นสงสัยทางพยากรณ์โดยเอาความหมายของเจ้าเรือนตามภพแห่งลัคนา จึงเรียนถามหลวงตาชื้นต่อไปอีก
“เมื่อจันทร์เจ้าเรือนแห่งภพการงานอยู่ภพพันธุคือญาติ หมายถึงเขาทำงานของญาติเช่นนั้นหรือขอรับ”
หลวงตาส่ายหน้าชี้ตามดาวในดวงชะตา
“อย่างดูชั้นเดียวหยาบไปต้องตามดูเจ้าเรือนญาตินั้นไปอีกคือเสาร์ มาอยู่ภพกดุมภะก็ต้องพยากรณ์เขาว่าเป็นงานที่ญาติเป็นผู้ให้ทุนรอนเงินทอง ดำเนินการ แต่เรือนพันธุยังมีความหมายอีก คือ บ้านเกิด ที่เกิด ครอบครัวเดิม ย่อมจะหมายถึงการงานหาเงินของเขาเป็นงานที่สืบทอดมาจากอาชีพดั้งเดิมของครอบ ครัวเขาหรือเป็นงานที่ครรลองเดียวกัน”
คุณพิชิตเข้าใจโดยแจ่มแจ้งปราศจากข้อสงสัยจึงเรียนถามถึงเรื่องการเงินของเขาต่อไปอีก
“ภพกดุมภะ การเงิน เมื่อเสาร์มาครองเรือนอยู่เล่าขอรับ”
หลวงตาชี้ตามภพไล่ตามดวงดาวเจ้าเรือนไปให้ดู
“ดูการเงินขั้นแรก็ต้องจับเจ้าเรือนกดุมภะก่อนคืออังคารไปเป็นเกษตรอยู่ใน ราศีเมษตำแหน่งเกษตรทำให้มีความมั่นคงถาวรเป็นหลักฐาน และภพที่อังคารสถิตเป็นภพปัตนิ ย่อมหมายถึงเขาตั้งหลักฐานได้หรือมีฐานะมั่นคงเมื่อแต่งงานมีเมียแล้ว ตามความหมายของภพที่เจ้าเรือนกดุมภะไปครองอยู่ หรือจะอ่านกลับอีกทางหนึ่งได้ว่า ภรรยาของเขามีหลักฐานดีเป็นสิ่งที่ร่วมให้ฐานะของเขาดีขึ้นเช่นกัน ส่วนเสาร์เป็นดาวลอยมาครองอยู่ ย่อมเป็นแต่เพียงเหตุ เหตุใด เหตุว่า คู่ศัตรูย่อมมีการต่อสู้ ย่อมมีอุปสรรคขัดขวาง ฉะนั้นการเงินของเขาจะได้มาก็ต้องต่อสู้ เหนื่อยยาก พยายามตรงตามที่คุณพยากรณ์ไว้นั่นแหละ เสาร์ดาวลอยเป็นเหตุ อังคารเจ้าเรือนกดุมภะคือผลฉะนั้นผลการเงินของเขาจึงมั่นคง”
คุณพิชิตเหมือนได้ดวงแก้วสารพัดนึกก้มลงกราบชำระค่าเล่าเรียนอีกเป็นเคารพสอง ด้วยความปลาบปลื้มสุดหัวใจ
“สิ่งนี้แหละที่ผมปรารถนามาหลายปี เพิ่งจะมาพบขุมทรัพย์ที่หลวงตานี้เอง หลวงตาจับเจ้าเรือนเพียงไม่กี่ภพอ่านผสมผสานเป็นเรื่องเป็นราวของชีวิตได้ มากมายจนเหลือเชื่อ โธ่เอ๋ย…ผมหลงงมโง่มาเสียนาน”
แม้หมอเถา ครูก้อน ครูสมศักดิ์ ซึ่งเป็นศิษย์ใกล้ชิดเคยรู้เห็นการพยากรณ์ของหลวงตาอาจารย์บ่อยๆ ก็ยังอดทึ่งและแปลกใจในลีลาการอ่านดาว อ่านภพของอาจารย์มิได้และสิ่งนี้เองเป็นสิ่งที่ศิษย์ทั้งสามภูมิใจในความ สามารถของหลวงตาชื้นอาจารย์หนักหนา หลวงตารวบมือที่พนมของคุณพิชิตไว้ขณะที่เขายังก้มกราบซบอยู่แทบตักท่านก้มหน้าภาวนาอยู่บนศีรษะ
“พุทธังประสิทธิ ธัมมังประสิทธิ สังฆังประสิทธิ อาตมาขอประสิทธิวิชาให้ จงมีความรุ่งเรืองในโหราศาสตร์ไปในเบื้องหน้าเถิด”
คุณพิชิตรู้สึกเย็นวูบเพราะลมปากที่หลวงตาเป่าบนศีรษะเขา จนขนลุกเกรียวทั่วตัวด้วยความปิติใจ เมื่อคุณพิชิตเงยหน้าขึ้น หลวงตาก็สรุปเอาแต่แก่นของหลักเกณฑ์ให้ไว้จดจำ
“ประสงค์เรื่องใด ก็จงจับเจ้าเรือนแห่งภพนั้นๆ เขาดูก่อน เป็นความหมายหลักตามแบบที่อาตมาทำให้ดู ตกในที่ดีชั่วก็ย่อมเป็นไปตามนั้น ส่วนดาวลอย เหมือนผู้มาอาศัยไม่มีสิทธิ เพียงแต่มาก่อเหตุเดือดร้อน หรือส่งเสริมให้เรื่องนั้น ๆ เป็นไป ดาวที่ร่วมเรือนร่วมดาวก็เช่นกันย่อมจะเป็นความหมายรองไป การอ่านดาวอ่านภพต้องอ่านทางเจ้าเรือนเป็นองค์ประธาน และอ่านส่วนอื่นๆเป็นองค์ประกอบ จึงจะได้ความหมายสอดคล้องรับกันเป็นเรื่องราวอันถูกต้อง”
เณรชั้วแอบมายืนลับๆล่อๆอยู่มุมกุฏิเพราะ ใกล้เพลเต็มที จ้องคอยยกสำรับถวายแต่เกรงใจแขกซึ่งเป็นนายอำเภอ จึงได้แต่รีรออยู่ก่อน และชั่วขณะนั้นเอง เสียงรถยนต์มาจอดหน้ากุฏิ ครู่เดียวก็มีคนถือปิ่นโตเถาใหญ่เปิดประตูกุฏิเข้ามานายอำเภอหันไปดูแล้วก็เรียนหลวงตาชื้น
“ผมให้แม่บ้านเขาทำอาหารมาถวายเพลหลวงตา มีของโปรดของหลวงตาคือแกงบอนด้วย”
เณรชั้วรู้หน้าที่ก็เข้ามารับปิ่นโตไปจัดแจงลงสำรับตามความประสงค์ หลวงตากำลังอารมณ์ดีจึงพูดเล่นๆ
“หมู่นี้ดวงอาตมาดีจริงๆ เทศน์ทีไรได้ของติดกัณฑ์เทศน์ทุกที ไม่ลาภเงินก็ลาภปาก”
ครูสมศักดิ์ยังติดใจดวงชะตา แต่ไม่กล้าถามหลวงตาตรงๆ จึงแอบกระซิบข้างหูหมอเถาเบาๆ ไม่ให้หลวงตาได้ยิน
“ดวงใครน่ะหมอเถา ชีวิตของเขาเป็นอย่างไร”
หมอเถาซึ่งอยู่กับหลวงตาเมื่อวันวานรู้เรื่องอยู่แล้วก็กระซิบตอบ
“ดวงเสี่ยเม้งในตลาดเขาเป็นคนค้าขาย รับซื้อพืขไร่พื้นเมืองตามตำบลต่างๆ มารวมไว้เอาส่งไปขายกรุงเทพฯไปติดต่อ ลูกค้าและเก็บเงินคราวหนึ่งบางทีนานตั้งเดือน เคยถูกจี้เอาเงินไปกินเสียก็หลายหน”
เสียงกองเพลจากหอสวอมนต์ดังตูมๆ ได้ยินถนัดทั้งวัด และดังเร่งจังหวะจนแผ่วเบ่าไายไป เณรชั้วยกสำรับกับข้าวมาตั้งให้นายอำเภอและพี่ชาย และพี่ชายเป็นคนประเคนถวายหลวงตา ต่างมีความสุขทั้งผู้ถวายและผู้รับถวาย