ขอขอบคุณ คุณนริศรา ที่เอื้อเฟื้อหนังสือ
ดาวสองชั้น
เป็นเวลาโรงเรียนหยุดเทอม
ครูสมศักดิ์ว่างจากการสอนนักเรียน จึงเปลี่ยนจากหน้าที่ครูกลับเป็นนักเรียน พอกินข้าวเช้าเสร็จก็ชวนศิษย์ร่วมชั้นคือครูก้นและหมอเถาไปโรงเรียนวัดหลวง ตาชื้นด้วยกันเป็นประจำมิได้ขาด เมื่อครูกับศิษย์พบกันพร้อมหน้าบนกุฎิก็กลายเป็นเรื่องสังเสวนากันเสียเป็นส่วนใหญ่ ครูก้อนซึ่งหมู่นี้สามวันดีสี่วันไข้มาตลอดเดือนก็ไม่ยอมขาดนัดหอบสังขารมานอนคุยก็ยังดี วันนี้ก็เช่นกันพอถึงระเบียงกุฎิก็เหยียดกายแผ่หราแต่ปากยังคุยจ้อ หมอเถาเข้าไปใกล้มองหน้าถาม
“ปีนี้อายุเท่าไรแล้วครูก้อน”
ครูก้อนยักคิ้วตอบเล่นลิ้น
“ ๒๑ สามหน”
“ก็ยังไม่แก่เฒ่าอะไร”
หมอเถามองพินิจพิจารณา
“หัวหูหงอกร่างกายทรุดโทรมเกินอายุมาก”
ครูก้อนก็เลยปลงอนิจจังสังขารตนไปด้วย
“นั่นซีปีนี้รู้สึกมันทรุดเอามาก ต้องไปหาหมอทุกเดือนไม่เรื่องนั้นก็เรื่องนี้กลุ้มใจจริงๆ”
“นี่แหละ ฤทธิ์ยาฝรั่งล่ะ”
หมอเถาเอ่ยลอยๆ ครูสมศักดิ์คอยฟังหมอเถาพูดต่อ แต่กลับนิ่งเฉยเสียจึงสนใจซัก
“ยาฝรั่งเป็นอย่างไรหรือหมอเถาพูดทิ้งเป็นปริศนายังไง”
“ก็เพราะยาฝรั่งน่ะซี พอแก่ตัวลงเห็นผลทุกราย”
หมอเถาพูดต่อไว้ครึ่งๆ กลางๆ อีก
“พูดให้มันจบเถอะว๊ะ มันยังไงกัน”
หมอเถาก็ต้องอธิบายตามภูมิรู้ของตนโดยละเอียด
“ยาฝรั่งนั้นมีคุณอนันต์จริงพอกินปุบฉีดปับมันหายโรคทันใจเพราะยามันแรง เพราะเขากลั่นเอาแต่สาร หรือสกัดเอาแต่หัวๆของตัวยามา ดูแต่เขาสั่งให้กินทีละเม็ด ถ้าลงขืนกินทีละ ๓-๔ เม็ด มันกลายเป็นยาพิษตายจริงๆ เทียวแหละ ก็คนเราลงกินยานานชั่วนาตาปีตั้งแต่หนุ่มจนแก่พอปลายมือมันจะไม่แย่ได้ยังไง ขอรับหลวงตา อ้ายยาพิษมันสะสมอยู่ในร่างกายทีละเล็กละน้อย นานๆ เข้าก็ออกฤทธิ์ทำลายอวัยวะ ตับไตไส้พุงหมด คนเราทุกวันนี้เดี๋ยวตับพิการไตพิการ หัวใจพิการ อะไรต่อมิอะไรมันพิการ หยุดทำงานหมดก็เพราะพิษยาฝรั่งนี่แหละ”
หลวงตาชื้นหัวเราะชอบใจออกปากชม
“บ๊ะ...วันนี้หมอเถาพูดมีคติชวนคิดว่ะ จะเท็จจริงยังไงแต่มีเหตุผลน่าฟัง”
ครูสมศักดิ์หยอกว่า
“หมอเถาเป็นหมอยาไทย ไม่ชอบยาฝรั่งก็เลยหาเหตุผลพูดให้ยาฝรั่งเขาเสียหายก็ได้นา”
“ฟังน๊ะ...ครู”
หมอเถาสีหน้าขึงขึงจริงจัง
“ฉันน่ะคิดทบทวนตามสังเกตเรื่องนี้มานานเป็นสิบๆ ปีแล้ว ดูแต่ก่อนแต่ไรสมัยโบราณเขาไม่ค่อยมีโรคร้ายพิสดารมากนัก จะว่าโง่จนไม่รู้จักโรคก็ไม่จริงหรอก ดูซีพอยาฝรั่งเจริญแพร่หลาย รักษาง่ายหายง่าย แต่ผู้คนมันก็ป่วยง่าย ตายง่ายขึ้นพอๆกันนั่นแหละ จะว่าใส่ร้ายเขาก็ดูเอาซี ยาฝรั่งออกมาขายนัยว่าทดลองกันมาดีแล้วว่าไม่เป็นพิษเป็นภัยพอออกขายแพร่ หลายไม่ทันไร เอ้า...เกิดมาค้นพบว่ามีอันตราย สั่งเก็บทำลายกันหมดเป็นยังงี้บ่อยๆ ถ้ามันไม่ใช่ยาพิษแล้วจะเป็นอะไร”
ครูก้อนนอนนับนิ้วทั้งสิบแล้วก็อุทาน
“วันนี้ข้างขึ้น ๑๓ ค่ำแล้ว หมอเถาเขาฉลาดหลักแหลมตอนข้างขึ้นทุกทีใครอย่างเถียงหมอเถาเลย สู้ไม่ได้หรอกต้องรอไปขัดคอข้างแรมดีกว่า”
ทั้งครูสมศักดิ์และหลวงตาชื้นหัวร่อชอบอกชอบใจเหตุผลของครูก้อนและยังติดใจไอเดียของหมอเถาอยู่
“เครื่องยาถ้ามีอันตรายแก่ชีวิต มันก็ต้องเป็นทั้งยาไทยยาฝรั่งเหมือนๆ กันแหละน่าหมอเถา”
หมอเถาหัวเราะมั่ง แต่น้ำเสียงแยะๆและชี้หน้าครูสมศักดิ์
“นี่แหละ เขาเรียกว่าคนไม่รู้จักหลักแพทย์ ถึงได้คิดว่ามันเหมือนกัน อันว่ายาฝรั่งนั้น หลักการรักษาของเขาใช้วิธีประหัศประหารเชื้อโรคให้ตายด้วยฤทธิ์ของยา เพราะฉะนั้นพอยามันแรงเกินไปจึงฆ่าทั้งชีวิตคนไข้เสียด้วย ฉะนั้นยาฝรั่งจึงเป็นยาพิษ ส่วนหลักของยาไทยแบบโบราณของเรานั้นเป็นทางสุขุม ใช้ฤทธิ์ยาเข้าไปบำรุงอวัยวะที่เจ็บป่วยให้แข็งแรงเพื่อสร้างภูมิต่อต้าน ขึ้นสู้กับโรคที่เป้นอยู่ให้หายไป เพราะฉะนั้นการรักษามันจึงช้าไม่ทันใจคนสมัยใหม่เขาและยาไทยส่วนมากเป็นสมุนไพรมีแต่คุณไม่มีโทษ มันคนละแบบอย่างกับยาฝรั่งเหมือนขาวกับดำทีเดียว”
ครูก้อนชักเลื่อมใสเห็นจริงลุกขึ้นนั่งขัดสมาธิพูดด้วยใจจริง
“หมอเถามียาบำรุงดีๆขอเพื่อนฝูงกินสักขนาดเถอะจะได้มีชีวิตอยู่เป็นเพื่อนกันไปอีกหลายๆ ปี”
หมอเถามองหน้านิ่งเฉย สงวนทาทีเพราะไม่แน่ใจว่าครูก้อนพูดจริงหรือพูดเล่น กระทั่งครูสมศักดิ์ซึ่งชักจะเห็นด้วยต้องช่วยพูดสนับสนุนอีก
“หมอเถาสงเคราะห์ครูก้อนหน่อยเถอะ อย่าใจไม้ใส่ระกำกับเพื่อนฝูงเลย”
“ธรรมเนียมหมอจะจ่ายยาเขาก็ต้องตรวจโรคก่อน”
หมอเถาว่าแล้วกระเถิบเข้าไปใกล้ๆประคองหน้าครูก้อนไว้ เอานิ้วมือกดหัวตาปุ๋มเข้าไป ครูก้อนนึกขึ้นมาได้ รีบยกมือปัดออกทันใด
“เฮ้ย...ไม่เอา ไม่ต้องมาตรวจมรณะญาณตามตำราที่เคยบอกหรอกยังไม่ตายแน่ว่ะหมอเถา”
หมอเถาหัวเราะชอบใจที่ครูก้อนรู้ทัน
“ครูก้อนน่ะต้องกินยาอายุวัฒนะบำรุงสุขภาพทั่วๆไปเพราะไม่ได้ป่วยไข้ เพียงแต่สุขภาพเสื่อมโทรมไปหมด”
ครูก้อนรีบออกตัว
“ยาอายุวัฒนะตำรับ “ตับแร้ง” อย่างครั้งที่แล้วน่ะไม่เอาอีกแล้วนะ”
“ไม่หรอก....”
หมอเถาส่ายหน้า
“ตำรับนี้เป็นยาโบราณขนานแท้เป็นตำราขุดได้จากลายแทง และตกทอดมาหลายชั่วอายุคนแล้ว”
หลวงตาชื้นชักสนใจแต่กลับเห็นหมอเถาเล่นตัวนิ่งไม่พูดต่อครั้นจะซักเองก็กระดากมองตาครู ก้อนพยักหน้าให้ถาม ครูก้อนรู้นิสัยหมอเถาชอบยอจึงยกมือไหว้
“พ่อคุณ พ่อหมอ ผู้มีเมตตาจิตโปรดบอกเอาบุญเถอะ”
หมอเถายิ้มหน้าบานถูกอารมณ์จึงท่องตำรับเดิมให้ฟังชัดถ้อยชัดคำ ตำรายานี้ได้มาแต่เมืองพิษณุโลก ตามลายแทงว่า ตีราคาเท่าทองตุ่มหนึ่ง บอกไว้ให้ทานสมณะชีพราหมณ์และบุรุษสตรีทั้งปวง ถ้าผู้ใดพบตำรานี้ให้บอกกันทั่วๆไปได้อาสิสงส์มากนักแล ถ้าจะทำยานี้ ท่านให้เอารากชะพลู รากมะแว้งต้น รากมะเขือขื่น บอระเพ็ด หนักสิ่งละ ๒ ตำลึง รากเจตมูลเพลิง ๑ ตำลึง ยาทั้งนี้ตำเป็นผงประสมน้ำผึ้ง หรือน้ำอ้อยแดงก็ได้ ใส่หม้อใหม่ผนึกไว้ให้ดี เอาทองแดงมาผูกคอหม้อหนักหนึ่งบาทฝังข้าวเปลือกไว้ ๕ วัน รับประทานวันละหนึ่งช้อนหอย แก้โรคทั้งปวง ผมหงอกก็กลับดำ อายุยืนตั้ง ๑๐๐ ปี มีกำลัง ๗ ช้างสาร สำเนียงใส รูปงาม หาโรคมิได้เลย ถ้ารับประทานยานี้ได้ ๖ เดือน สารพัดสัตว์ที่มีพิษขบกัดไม่เข้าเลย ถ้าเอามูตรขังไว้ แล้วเอาทองแดงแผ่ให้บางแช่ลงในมูตร ๓ เดือน เป็นทองธรรมชาติไม่มีขี้เลย ถ้าไม่จริงดังกล่าวขอให้ตัวข้าพเจ้าผู้ไว้ตำรายานี้ตกจตุราบายเทอญฯ
ทั้งครูก้อน และครูสมศักดิ์จัดแจงหากระดาษจดตัวยาไว้กันลืม แต่พอเงยหน้าจากกระดาษก็ต้องมองหน้ากันเลิ่กลั่ก ทั้งแปลกใจและพิศวงสงกา เพราะทุกคนได้ยินเสียงสตรีลากเสียงเย็นๆดังแว่วอยู่หน้าประตูกุฏิ
หลวงตา ขา...
ทุกสายตาของศิษย์และอาจารย์รวมจ้องอยุ่ที่บานประตูคอยดูแต่ก็ไม่มีใครเปิด เข้ามาคงมีแต่เสียงเรียกซ้ำอีก ซึ่งดังกว่าเก่าและลากเสียงเยือกเย็นกว่าเก่า
หลวงตา ขา...
หมอเถาซึ่งเป็นคนกล้าสารพัด นอกจากเรื่องผี สะกิดครูก้อน
“เสียงยังกะแม่นาคพระโขนง ครูก้อนลองไปเปิดประตูดูทีรึ”
ครูก้อนสั่นหน้าโดยไม่ลังเล และสะกิดต่อครูสมศักดิ์ฉันกำลังป่วย ครูสมศักดิ์ค่อยแข็งแรงหน่อยไปเปิดดีกว่า”
ครูสมศักดิ์ถึงจะไม่ค่อยกลัวแต่ก็อดระแวงไม่ได้กลับหันไปสะกิดหมอเถาวนไปอีก
“ผมไม่ได้เรียนคาถากันผีไว้หมอเถาเจ้าตำราแยะแหละเหมาะกว่า”
หลวงตาชื้นทนรำคาญไม่ได้
“เออ...ว่ะมัวเกี่ยงกันอยู่นั่นแหละเลยไม่รู้กันว่ามันเป็นใครเรียก กลางวันแสกๆผีหรือคนไปเปิดดูทีรึหมอเถานั่นแหละ”
หมอเถาทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ จะคัดค้านก็ไม่กล้า ก้าวลงจากระเบียงละล้าละลังแข้งขามันอ่อนๆยืนไม่ใคร่ติดพื้น กัดฟันกลั้นใจเดินตรงไปที่ประตู พอเอื้อมมือจะจับบานประตู เกิดหวาดจนขนลุกซู่ทั้งตัว เลยชักมือหดกลับมาพนมมือไหว้ ใจระลึกถึงพระพุทธในโบสถ์สวดอิติปิโสถอยหลังพึมพำกันตัวไว้ก่อน แล้วจึงแข็งใจเปิดบานประตูออกไป เจ้าของเสียงหวานเย็นเป็นเด็กหญิงรุ่นสาว หน้าตาสะสวยจูงมือน้องชายยืนจ้องหน้านัยน์ตาแป๋วอยู่หน้าประตูหมอเถาอารามกลัวเลยพาลโมโหเด็ก
“ปัดโธ่...ยืนร้องเป็นลูกแหง่หานมแม่ไปได้มีธุระปะปังอะไรเปิดเข้ามาก็สิ้นเรื่อง”
“หนูกลัวเสียมารยาทค่ะจึงต้องเรียกเจ้าของบ้านให้อนุญาตเสียก่อนค่ะ”
“จ้ะ...จ้ะ มารยาทดี”
หมอเถากระแทกเสียงประชด
“เชิญซิจ้ะ โน่นหลวงตาท่านอยู่โน่น”
เด็กสาวจูงมือน้องชายเข้าไปหาหลวงตากราบเคารพนบนอบ กิริยาเรียบร้อย และไม่ทันหลวงตาจะเอ่ยถาม เธอก็แจ้งธุระที่มหา
“หนูชื่อจิตรา เป็นลูกข้าราชการที่เพิ่งย้ายมาอยู่จังหวัดนี้เจ้าค่ะ หนูเรียนหนังสืออยู่กรุงเทพฯปิดเทอมกลับมาเยี่ยมคุณพ่อคุณแม่ ได้ทราบว่าหลวงตาดูดวงชะตาแม่นยำนักจึงมาขอกราบเท้าให้ดูชีวิตอนาคตของหนูบ้าง”
หลวงตาพยักหน้าร้องอือ
“แม่หนูมีเรื่องเดือดร้อนโดยเฉพาะเจาะจงอะไรหรือเปล่าล่ะ”
“ไม่มีเจ้าค่ะ...”
เธอตอบและยิ้มน่ารัก
“หนูอยากรุ้ชะตาอนาคตของหนูเองเจ้าค่ะ”
หมอเถากลับมานั่งแล้ว หลวงตาก็พยักหน้าเรียกเข้าไปใกล้ๆ
“เอ้าทั้งสามคนนี้แหละ ช่วยดูดวงให้แม่หนูเสียงหวานเธอทีเถอะ”
หมอเถา ครูก้อน ครูสมศักดิ์ ดีใจที่จะได้ทดสอบความรู้ จัดแจงช่วยกันคนละไม้คนละมือ หยิบกระดานโหร ถามวันเดือนปีและเวลาเกิด ผูกดวงลงกระดานเสร็จ หลวงตาชื้นนั่งคอยกำกับอยู่ ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ในท่าทางของลูกศิษย์ที่ขมีขมันจะออกโรง ครูสมศักดิ์คล่องแคล่วกว่าสองคนตรวจสอบดวงชะตา จับตนุลัคน์คือตัวราหูมาเป็นมหาอุจจ์ร่วมเสาร์คู่มิตรในภพศุภะจึงรับแย่งทายเสียก่อน
“วาสนาแม่หนูในวันข้างหน้าจะได้เป็นใหญ่ มีชีวิตสุขสบายแวดล้อมด้วยเพื่อนฝูงมิตรสหายมาก”
ครูก้อนกลัวจะเสียแต้มทั้งๆ ที่ตรวจดวงไม่ทันจะแจ้งก็รีบจับเรื่องพยากรณ์มั่ง
“ฐานะการเงินของแม่หนูคือดาวพฤหัสเป็นมหาอุจจ์ ฐานะการเงินจะร่ำรวยมาก แต่เอ๊ะ...ติดภพอริ อ้าวจันทร์เจ้าเรือนอริก็ไปครองภพมรณะเสียอีก”
ครูก้อนหยุดชะงักลงเพียงนั้นเอง ข้างหมอเถาไม่ยอมน้อยหน้า กลัวเพื่อนคว้าเอาไปพยากรณ์หมดรีบตะครุบดาวออกคำพยากรณ์ไปเลย
“เรื่องคู่ครองของแม่หนู คืออาทิตย์เจ้าเรือนปัตนิ เขาเป็นคนร่างเล็กเกร็ง ผิวคล้ำถือตัวและมีเกียรติ อาทิตย์มาครองภพกดุมภะ อ้า...อ้า...แม่หนูจะได้เสามีเป็นสมบัติ”
หลวงตาชื้นยกมือโบกเฉียดหน้าลูกศิษย์ทั้งสามคนเด็ดตะโร
“บ๊ะมันแย่งกันทาย ยังกับแร้งลงกินศพไม่ตรวจดูดาวดูภพให้มันเรียบร้อยเสียก่อน จึงค่อยพยากรณ์ ผิดวิสัยนักโหราศาสตร์ที่ดี ครูสมศักดิ์น่ะพอฟังได้ แต่เจ้าประคุณหมอเถากะครูก้อนนี้มันไม่เข้าแก๊บเลย พอปล่อยฟรีมันก็วิ่งแข่งกันเต็มสตีมทีเดียวทั้งสามคน มันต้องสามัคคีปรึกษาหารือกันให้ดีแล้วจึงพยากรณ์เขา”
ครูก้อนครูสมศักดิ์และหมอเถาถูเอ็ดหน้าสลดนึกอายเด็กก็พอดีเด็กตั้งปัญหาถามอีก
“การเล่าเรียนศึกษาของหนูจะเป็นอย่างไรค๊ะ จะได้ศึกษาตลอดไปถึงขั้นมหาวิทยาลัยหรือว่าเพียงแค่ ม.ศ. ๕ หรือว่าขั้นนี้จะเรียนไม่จบค๊ะ”
หมอเถา ครูก้อน ครูสมศักดิ์ รวมหัวเข้าไปจนชิดกัน จ้องดูกระดานปรึกษาหารือตามคำอาจารย์สั่ง ครูก้อนออกความเห็นเบาๆ ได้ยินกันเฉพาะ
“การศึกษาขั้นสูงของเธอก็ต้องจับเรือนที่ ๙ ภพศุภะ เจ้าเรือนคือศุกร์ไปอยู่ภพสหัชชะเป็นประหมดกำลังเสียแล้ว น่าจะไม่ถึงขึ้นมหาวิทยาลัยกระมัง”
ทั้งสองคนพลอยพยักหน้าเห็นด้วยครูสมศักดิ์ออกความเห็นบ้างว่า
“การศึกษาในขั้นต้นๆก็ต้องจับเอาภพที่ ๕ คือภพปุตตะ เจ้าเรือนคือพุธไปเป็นประอยู่ในภพกดุมภะเช่นกันอีกนั่นแหละ มันจะหมดกำลังเรียนไม่สำเร็จในตอนต้นนี้เสียอีกกระมังหนอ”
หมอเถาออกความเห็นมั่ง
“อันความรู้วิทยา คือ พฤหัสแม้จะเป็นมหาอุจจ์มีพลังอันกล้าแข็ง แต่ก็ตกอริเสียแล้ว อันว่าอริคือศัตรูหรืออุปสรรคน่าจะไม่สมหวังเสียเป็นแน่”
ต่างคนต่างวิจารณ์ดวงดาวแล้วก็นิ่งมองหน้ากันเอง ยังไม่กล้าออกคำพยากรณ์ เมื่อมองหน้ากันเองไม่ได้เรื่อง ก็หันไปมองหน้าอาจารย์หาที่พึ่ง หลวงตาชื้นรู้ท่าอยู่แล้ว ทั้งได้ยินตลอดเรื่องปรึกษากันท่านจึงอบรมด้วยการอ่านดาวทีละขั้นช้าๆ
“การอ่านดาวพุธเจ้าเรือนปุตตะเป็นการศึกษานั้นก็ถูกอยู่ แต่ยังไม่ถี่ถ้วนกระบวนความอันว่าพุธเจ้าเรือนปุตตะนี้เป็นพระเคราะห์ ๒ เรือน เป็นเจ้าเรือนมรณะด้วยก็ต้องอ่านความหมายให้หมด พุธตัวนี้เป็นการศึกษาแน่แต่เป็นการศึกษาในวัยเด็ก และยิ่งพุธมาร่วมกับอาทิตย์ก็ยิ่งย้ำให้แน่นขึ้นอีกว่าเป็นการศึกษาในวัยแรกเริ่ม เพราะพุธมีความหมายถึงการศึกษาเล่าเรียนในวัยเด็ก และเมื่อพุธเป็นประเสื่อมกำลังก็ย่อมหมายถึงได้เล่าเรียนไม่เต็มที่ขาดตก บกพร่อง ความเป็นเจ้าเรือนมรณะของพุธที่มาครองเรือนกดุมภะ ย่อมอ่านได้ว่าขาดการเงินสนับสนุนเป็นทุนรอน และอีกประการหนึ่ง คือ อาทิตย์เป็นเจ้าเรือนปัตนิในวัยเด็กย่อมหมายถึงครอบครัว เมื่ออาทิตย์ร่วมพุธเจ้าเรือนมรณะก็หมายถึงครอบครัวต้องโยกย้ายถิ่นฐานอยู่ บ่อยๆทำให้การเล่าเรียนเสียหาย และเมื่อมาดูเรือนศุภะอย่างครูก้อนว่า ภพศุภะถ้าเป็นบุคคลหมายถึงที่พึ่งหรือบิดามารดา ถ้าเป็นสถานที่ก็หมายถึงบ้านที่อยู่อาศัยเมื่อศุกร์เจ้าเรือนศุภะไปเป็นประ ในภพสหัชชะซึ่งเป็นภพที่มีความหมายถึงการเปลี่ยนแปลงโยกย้าย เดินทาง ก็ทายผสมเข้ากับเรื่องเดิม คือ บิดามารดายากจนและโยกย้ายถิ่นฐานบ่อยทำให้การเรียนในวัยเด็ก เอาดีไม่ใคร่ได้”
เด็กสาวรุ่นแม้ฟังเรื่องดาวไม่รู้ แต่ก็ฟังเรื่องราวการพยากรณ์ของหลวงตาเข้าใจตลอดจึงรับคำว่า
“จริงเจ้าค่ะคุณพ่อของหนูรับราชการฝ่ายปกครองต้องโยกย้ายจังหวัดและอำเภออยู่บย่อยๆ บางทีปีละหน ตั้งแต่หนูเด็กๆ ตลอดมาย้ายทีก็ต้องออกทีต้องเรียนซ้ำชั้นได้สอบบ้างไม่ได้สอบบ้าง เมื่อปีที่แล้วคุณลุงท่านอยู่กรุงเทพฯสงสารจึงรับอุปการะให้ไปเรียนอยู่กรุงเทพฯ ลำพังคุณพ่อไม่มีทุนส่งแน่เจ้าค่ะ”
หลวงตาพยักหน้ารับรู้เมื่อหันไปทางศิษย์ทั้งสามที่กำลังพนมมือแต้ท่านรู้เชิงรีบจับมือห้าม
“ไม่ต้องกราบกันบ่อยๆนักหรอกว่ะ ลำบากเปล่าๆ ที่อ่านละเอียดถี่ถ้วนก็เพื่อจะได้ให้จดจำเอาไปไว้ใช้ อ่านดาวมันต้องอ่านให้ทั่วทุกดวง อย่าไปจับแต่ดาวดวงเดียวทายเขา”
แม่หนูจิตราก็ถามเรื่องเดิมอีก
“หลวงตาเจ้าค๊ะ หนูจะได้เรียนต่อถึงมหาวิทยาลัยไม๊เจ้าค๊ะ”
หลวงตาชื้นรับประเคนน้ำชาจากหมอเถามาจิบและตาก็จ้องจับดูดวงบนกระดานอยู่อึดใจหนึ่งจึงตอบ
“แม่หนูจะได้เล่าเรียนชั้นสูงถึงมหาวิทยาลัย แต่จะต้องดิ้นรนต่อสู้กับอุปสรรคและความลำบาก จงมีมานะและอดทนจะสมความปรารถนา”
ครูสมศักดิ์มองหน้าครูก้อน ครูก้อนมองหน้าหมอเถา หมอเถาหันไปมองหน้าหลวงตาชื้น หลวงตาชื้นพอสบนัยน์ตาก็อ่านความคิดของศิษย์ที่กำลังทำท่าจะพนมมืออีก
“เออ...ไม่ต้องไหว้ อยากจะรู้ว่าเอาอะไรทายเขาใช่ไม๊ล่ะ”
ทั้งสามศิษย์พนมมือรับพร้อมกันว่า
“ใช่ขอรับ”
หลวงตาก็ชี้ครูสมศักดิ์ก่อน
“ครูน่ะคงสงสัยละซีว่าศุกร์เจ้าเรือนศุภะเป็นประแล้วจะเรียนสูงๆ ได้ยังไงใช่ไหม”
ครูสมศักดิ์ประหยะดถ้อยคำระวังตนรับแต่คำว่า
“ขอรับ”
“อันเรือนที่ ๙ ภพศุภะนี้ มันไม่เชิงจะหมายตรงตัวถึงการศึกษาขั้นสูงทีเดียวนัก มันเป็นความหมายกว้างๆหมายถึงความดีงามตามครรลองชีวิต ฉะนั้นครรลองชีวิตที่ดีงามของเด็กคือการศึกษา และจะเป็นที่พึ่งของชีวิตไปในเบื้องหน้า แต่มันยังมีเรือนอื่นที่พอจะทายถึงการศึกษาเขาได้อีก คือภพที่ ๑๐ อันเป็นภพกัมมะนั้นแหละ”
ครูสมศักดิ์พลั้งปากค้านออกไปจนได้
“มันเป็นเรือนที่หมายถึงกิจการงานมิใช่หรือขอรับ”
“ก็ใช่น่ะซี ครูทื่อ”
หลวงตาตอบทันสวนควัน
“ภพกัมมะหมายถึง การงาน หน้าที่ ภาระ ก็เมื่อหน้าที่ภาระ การงานของเด็กนั้น ถ้าไม่ใช่การเล่าเรียนศึกษาแล้วจะมีอะไร เป็นครูไม่น่ามีปัญญาทื่อๆเลย ดูเจ้าเรือนกัมมะ คือ อังคารตกภพลาภะแห่งความสำเร็จ ถึงแม้พฤหัสเจ้าเรือนติดอริก็เพียงแต่ต้องมานะบากบั่นลำบากเอาหน่อย เพราะอรินั้นมิได้ปฏิเสธผล ทั้งราหูตนุลัคน์ก็มาเป็นอุจจ์อยู่ในเรือนอังคารภพกัมมะด้วย”
ครูสมศักดิ์ได้ความรู้ใหม่ที่ไม่เคยได้ยินมาก่อนก็ ดีใจนักรีบพนมมือก้มลง กราบหลวงตาชื้น ครูก้อนก็หันไปกราบบ้างแต่เมื่อนั่งเบียดกันไม่มีที่ว่าง ครูก้อนก็เลยต้องอาศัยหลังครูสมศักดิ์ที่ยังก้มอยู่เป็นท่านกราบลงไปหมอเถา กราบเป็นคนที่ ๓ ก็กราบลงบนหลังครูก้อนอีกต่อหนึ่งเป็นงูกินหาง ข้างฝ่ายแม่หนูสาวน้อยเป็นเด็กหัวอ่อน เห็นผู้ใหญ่เขากราบกันชุลมุนก็เลยพลอยชวนน้งชายกราบหลวงตาไปกะเขาด้วย หลวงตาส่ายหน้ารำคาญ แต่ไม่รู้จะทำอย่างไรเพราะห้ามไม่ทัน
“เอ้าเงยขึ้นมา ยังไม่หมดเรื่อง เมื่อกี้ครูก้อนดูฐานะการเงินของเขาว่าอย่างไรน๊ะ”
ครูก้อนชักอ้อมแอ้มกลัวผิด
“พฤหัสเจ้าเรือนกดุมภะไปเป็นมหาอุจจ์ อยู่ภพอริและจันทร์เจ้าเรือนอริไปครงองอยู่ภถมรณะย่อมหมายถึงฐานะการเงินของ เขาเป็นทั้งอริและมรณะ ทั้งเดือดร้อนลำบากและเสียหายคงจะตั้งมั่นได้ยากขอรับ”
หลวงตาชื้นหัวเราะถูกใจ
“ครูก้อนจำหลักที่สอนไว้ให้แม่นยำดีเป็นคนฉลาดแต่ขาดความเฉลียว ขอโทษน๊ะครูก้อนอย่าหาว่าเปรียบเทียบต่ำๆดคือ ฉลาดอย่างหมาฝรั่ง คือ เคยฝึกสอนไว้อย่างไรก็จะปฏิบัติเช่นนั้นตรงเป๋งไม่ขาดไม่เกิน ถ้าฉลาดอย่างหมาไทยนั้นมันจะใช้ความฉลาดจากความเข้าใจและใช้ความคิดตัดสินใจทำ”
ครูก้อนมิได้ถือสาคำครูบาอาจารย์เพราะเป็นความจริงทั้งๆ ที่สงสัยเรื่องดาวก็ได้แต่นิ่งฟังคำอธิบายของหลวงตาชื้น
“เมื่อพฤหัสเจ้าเรือนกดุมภะมาอยู่อริ และจันทร์เจ้าเรือนอริไปตกมรณะ ก็แล้วทำไมไม่ดูต่อีกสักนิดว่าพุธเจ้าเรือนมรณะนั้นไปอยู่เรือนพฤหัสภพกดุม ภะ เป็นการสลับเรือนเกษตรเป็นสามเส้าสามราศีเวียนกันไป ถือว่าเป็นเกษตรอันใหญ่ยิ่งเช่นเดียวกับเกษตรเหมือนกัน ฉะนั้นผลก็คือฐานะการเงินของเธอจะมั่งคงเป็นปึกแผ่นได้ แต่ผลแห่งอริและมรณะก็ย่อมเกิดเช่นกันคือ จะเดือดร้อนและเสียหายล้มลุกคลุกคลานเสียก่อน แล้วจะตั้งตัวเป็นหลักฐานได้ในภายหลัง”
ทั้งครูก้อนและหมอเถาต่างคิด ตรงกันว่าถึงแม้ตนจะคิดฉลาดอย่างไร หลวงตาชื้นจะต้องคิดต่อยอดข้ามหัวไปทุกที ครูสมศักดิ์นิ่งคิดถึงความทรงจำเก่าๆเมื่อนึกออกก็แสดงความคิดเห็นโพล่งออกไป
“ผมจำได้แล้วดาวสลับเรือนสามเส้านี้ โหรแขกเขาเรียก มหาปริวรรตโยค เป็นโยคที่ให้คุณแรงของเราคงมาจากทางแขกเขา”
หลวงตาขมวดคิ้วทันที
“อาตมาไม่เคยเป็นศิษย์แขกเลยไม่รู้”
หมอเถาไม่ชอบใจฟังเรื่องเทศดีกว่าไทยอยู่แล้ว ฟังหางเสียงอาจารย์ไม่สบอารมณ์ก็เลยพลอยพูดขึ้นมาบ้าง
“เรื่องของไทยคนไทยมักอาภัพเสมอจะมีอะไรของตัวเองไม่ใคร่ได้ มักต้องเอามาจากชาติอื่นเสมอ พวกนักปราชญ์ไทยๆ เราท่านก็ชอบอวดฉลาดด้วยวิธีพิสูจน์ของไทยว่ามาจากชาติอื่น แม้แต่สัญชาติไทยเองก็เคยมีนักปราชญ์พูดเป็นตุเป็นตะว่ามาจากจีน ถอยมาทางนั้นทางนี้ หลอกให้เด็กนักเรียนเรียนกันเสียหลายปี เพิ่งจะไม่กี่ปีมานี้ที่มีหลักฐานว่าไทยก็คือไทยที่อยู่บนผืนแผ่นดินไทยผืน นี้มาตลอดหลายพันปี แม้ภาษาพูดก็พยายามผันสระผันอักษรให้น่าเชื่อว่ามาจากลาวบ้างเขมรบ้าง อ้างกันจนคนไทยไม่มีสมบัติอะไรติดตัวเลยมีแต่ตัวเปล่าๆ”
ครูสมศักดิ์พลั้งปากออกไปถูกใจดำหมอเถาเข้าก็เสียใจเอ่ยปากขอโทษ
“ไม่ตั้งใจจะดูหมิ่นไทยชาติของเราหรอก นึกได้ก็พูดออกไปไม่ทันคิดขออภัยเถิดอย่าเคืองเลย”
หมอเถาพยักหน้าเสียงอ่อนลงแต่ความในใจยังไม่หมด
“แม้แต่ลมหนาวในฤดูหนาวก็ยังไม่มีปัญญามีเป็นของตนเองต้องไปเอามาจาก ไซบีเรียของรัสเซียโน่นทุกปี”
หลวงตาอดขำมิได้
“เฮ่ย...มัมากไปว่ะหมอเถา”
แม่หนูจิตรายังไม่หมดเรื่องถาม และเป็นเรื่องสำคัญ ทำท่ากระมิดกระเมี้ยนซักถามอายๆ
“เมื่อกี้คุณลุงหมอเถาดูเรื่องคู่ของหนูยังไม่ละเอียดหนูอยากรู้ว่าเขาจะเป็นคนดีหรือไม่ และหนูจะแต่งงานอายูเท่าไรเจ้าค๊ะ”
หลวงตาจุดบุหรี่นิ่งเฉยเหมือนไม่ได้ยินคำถามสักครู่ก็หันไปทางหมอเถา
“เมื่อกี้ทายเรื่องคู่ว่าอย่างไรน๊ะ”
หมอเถาชักใจคอไม่ดี เพราะครูก้อนถูกไล่เบี้ยมาเมื่อครู่แต่ก็จำใจตอบ
“อาทิตย์เจ้าเรือนปัตนิของเธอมาอยู่ภพกดุมภะ แม่หนูจะมีสามีเป็นสมบัติคะรับ”
หลวงตาหันไปทางศิษย์ทั้งสามคนพูดช้าๆ หนักแน่นเพื่อให้จดจำไว้โดยมั่นคง
“จำเอาไว้การดูฐานะการเงินในดวงสตรีนั้น ต้องระมัดระวังอย่างเช่นดวงนี้เธอมีสามีเป็นทรัพย์ ก็ย่อมบอกตรงๆอยู่ว่าฐานะการเงินของเธอขึ้นอยู่กับสามี ฉะนั้นดีชั่วอย่างไรก็ขึ้นอยู่กับฐานะของสามีเธอ แม้การดูดวงสตรีทั่วๆไป ถ้าจะดูฐานะและเกียรติ ควรได้ดูดวงสามีของเขาด้วยถ้าเป็นไปได้ เพราะผู้หญิงไทยเราผู้สร้างฐานะของครอบครัวเป็นช้าเท้าหน้า คือ สามีเป็นส่วนใหญ่ดวงสตรีจึงถือเป็นดวงสองชั้น”
ทั้งสามคนยกมือไหว้กันท่วมหัว แต่ครูสมศักดิ์รู้ค่ามากกว่าคนอื่นเต็มไปด้วยความปลื้มปิติยกมือไหว้แล้ว ไหว้อีกจนไม่นับหน หลวงตาหันไปทางแม่หนู พูดเบาๆ เต็มไปด้วยความเตตา
“เป็นกฎเกณฑ์ของอาตมาถ้าเด็กหญิงอายุไม่ครบ ๑๘ ไม่ดูเรื่องคู่ให้ หนูเพิ่งจะอายุย่าง ๑๗ ของดไว้ก่อน กฎเกณฑ์นี้มีเหตุผลนางดีงามและเป็นความรับผิดชอบของหมอดู เพราะการดูเรื่องคู่ครองให้เด็กอายไม่ถึง ๑๘ นั้นยังเป็นวัยเล่าเรียน และกำลังจะตื่นตัวเรียนรู้ชีวิต แต่ยังไม่อาจรับผิดชอบชีวิตได้ ถ้าดูว่าดีหรือร้ายจะเกิดอุปาทานให้ยึดมั่น ทำให้เกิดความคิดฝันเสียการเล่าเรียน แม่หนูก็คงจะเห็นด้วยน๊ะ”
แม่หนูเป็นเด็กดีมีมารยาทโดยเฉพาะกับพระภิกษุชรา เธอยิ้มพอใจคำพยากรณ์หลายเรื่องที่หลวงตาบอกมาแล้ว เธอก้มลงกราบขอบพระคุณ และหยิบธนบัตรใบละ ๒๐ บาทออกมา สองมือประเคนนอบน้อมถวายหลวงตาร้องไฮ้
“แม่หนูเก็บเงินเสียเป็นเด็กๆอย่าเอาสตางค์พ่อแม่มาดูหมอ หลวงตาไม่รับหรอกเก็บเอาไว้กินขนมเถอะ”
เมื่อถูกกำชับอีกเธอก็เก็บไว้และก้มลงกราบเป็นเคารพสอง และไหว้ลาเรียงตัว ตั้งแต่หมอเถาไปหมดทุกคน เมื่อถอยกลับจากประตูไปแล้วหลวงตาก็ปรารภขึ้นลอยๆ
"ลัคนาอยู่เรือนราหู อีกศุกร์ตัวประเป็นตนุเศษ เรื่องเงินทองใจกว้างสุรุ่ยสุร่าย"