ขอขอบคุณ คุณนริศรา ที่เอื้อเฟื้อหนังสือ
ยามอัฎฐกาล
อ.อรุณ ลำเพ็ญ - หมอเถา(วัลย์)
วันนี้ครูก้อนไปรับเบี้ยบำนาญ เสร็จแล้วก็แวะมาหาผมตั้งแต่เพล มีส่้มสูกลูกไม้มาฝากผมห่อใหญ่ตามประสาคนใจนักเลง และอีกสิ่งหนึ่งที่ขาดไม่ได้ก็คือใบชาชั้นดีที่จะถวายหลวงตาชิ้น ครูก้อนแกกระทำเป็นกิจวัตรทุกต้อนเดือนที่ไปรับเงินบำนาญ ด้วยเหตุนี้แม้ผมจะถูกขัดคอจังๆ ก็โกรธแกไม่ลงสักครั้่งเดียว เพราะนึำถึงคุณงามความดีของเพื่อน ทั้งสนทนาและวิสัชนาเรื่องโหราศาสตร์ซึ่งเป็นเรื่องคุยกันไม่รู้จบ กระทั่งเที่ยงคล้อยต่างก็ชวนไปกุฏิหลวงตาเช่นเคย เหมือนวันก่อนๆ พอก้าวขึ้นกฏฺิไม่เห็นหลวงตา เห็นแต่เณรชั้วนั่งขัดสมาธิข้่างอาสนะประจำที่ของหลวงตา เบื้องหน้ามีสตรีวัยกลางคนนั่งพับเพียบเรียบร้อย พอเณรเหลียวเห็มผมกับครูก้อนเข้ามาใกล้ก็กระเถิบห่างอาสนะออกมากระดากๆ คงเกรงจะถูกหาว่าดีเสมอหลวงตา
“หลวงตาไปสวดมนต์และฉันเพลงานทำบุญบ้านนายอำเภอ”
เณรชั้วรีบบอกก่อนถูกถาม แล้วพยักหน้าไปทางสตรีวัยกลางคน
“แม่บุญปลูกเขามาหาหลวงตา มีธุระเดือดร้อนมา ไม่พบหลวงตาจะให้ฉันช่วยดูให้ หมอเถากะครูมาก็ดีแล้วช่วยสงเคราะห์เขาสักหน่อยเถอะ”
“เมื่อกี้ได้ยินเสียงแว่วๆ เณรทายอยู่แล้วไม่ใช่เร๊อะ”
ครูถามยิ้มๆ เพราะรู้นิสัยเณรชั้ว ว่าหลวงตาไม่อยู่มักชอบตั้งตัวเป็นโหรแทนหลวงตาเสมอ
เณรชั้วยิ้มอายๆ เหมือนหญิงสาว
“ทายลักษณะเขารอๆ หลวงตาน่ะ”
“อ้อ แม่บุญปลูก”
ผมทักเพราะจำได้ว่าบ้านแกอยู่ท้ายตลาด
“รอพบหลวงตาไม่ดีกว่าเร๊อะ อีกสักครู่ก็คงจะกลับหรอก”
“ฉันรอไม่ได้มันกำลังมีเรื่องร้อนใจเหลือเกิน”
แม่บุญปลูกยกมือไหว้อ่อนน้อมน่ารัก
“พ่อหมอเถาเมตตาช่วยดูให้สักหน่อยเถอะจ้ะมันเดือดร้อนจริงๆ”
ครูก้อนชายตาสบตาแม่บุญปลูก
“เธอบอกวันเดือนปีและเวลาเกิด กี่โมงกี่ยาม ฉันจะลองผูกดวงชะตา ช่วยกันดูสงเคราะห์ทุกข์แม่บุญปลูกพอได้บ้าง”
“วันเดือนปีฉันแม่แกไม่ได้จด มาตอนโตเป็นสาวนั่นแหละถึงได้รู้เพราะจะดูเนื้อคู่ แกจำๆ เอา จำได้ว่าปีที่เขารบกันในกรุงเทพฯ อีตอนที่เปลี่ยนจากในหลวงมาเป็นมีทายกรัฐบาลนั่นแหละ”
“เขาเรียกนายกรัฐมนตรีจ้ะ อ้ายทายกนั่นมันพวกวัดๆ บ้านเรา”
ผมท้วงแสดงภูมิ แล้วหันมาทางครูก้อน
“ครูเคยเล่าเรียนมาลองนึกประวัติศาสตร์มันปีไหน”
“คงเป็นปีกบฎใหญ่หลังเปลี่ยนการปกครอง”
ครูก้อนตอบช้าๆ ตรึกตรอง
“ปีนั้น พ.ศ. ๒๔๗๖ ดูเหมือนเป็นปีจอ”
“ใช่จ้ะครู ฉันเกิดปีจอนี่แหละ แม่แกเลยเรียกฉันว่าอีหมาๆ มาแต่เล็กๆ”
“แล้วเดือนล่ะ”
ผมช่วยซัก
“แม่แกบอกว่าตอนเขาทอดกฐินกันที่วัดข้างบ้านน่ะแหละ”
พระออกพรรษาวันแรม ๑ ค่ำ เดือน ๑๑ ก็เห็นจะเป็นเดือนตุลาคม ผมถนัดเรื่องเก่าๆ ก็เลยเดาเสียเองแล้วก็ถามต่อ
“แล้ววันล่ะแม่บุญปลูก”
“วันประหัส”
แม่บุญปลูกตอบทันใจ
“เวลาเกิดล่ะทีนี้เวลานี่ล่ะสำคัญนัก”
ครูก้อนกระเถิบเข้ามาถามใกล้ๆดูคล้ายๆกับจะชิงเอาหน้า
“ แม่บอกว่าจำทุ่มยามไม่ได้เพราะไม่มีนาฬิกา จำได้แต่ว่าตอนพระจันทร์ขึ้นขอบฟ้าพอดี”
ครูก้อนเกาหัวแกร็ก
“เสร็จกันเลยผูกดวงไม่ได้ฉิบ พระจันทร์ขึ้นขอบฟ้าใครจะไปรู้ว่ามันกี่ทุ่ม”
“รู้ซีน่ะ”
ผมรีบค้านแสดงความรู้อย่างภาคภูมิ
“มันต้องใช้ทางโบราณคำนวณ ไม่ยากหรอก หรือจะคิดง่ายๆก็คือวันเพ็ญข้างขึ้น ๑๕ ค่ำ พระจันทร์ขึ้นตั้งแต่ ๖ โมงเย็น แล้วพระจันทร์จะขึ้นล่าไปวันละประมาณ ๔๘ นาที ถ้ารู้ขึ้นแรมก็รู้เวลาได้แน่”
ครูก้อนท้วง
“แล้วมันวันพฤหัสไหน กี่ค่ำ เพราะในเดือน ๑๑ มันมีตั้ง ๔ พฤหัส ขึ้นก็มีแรมก็มี”
“เออ-จริงของครูเสร็จกัน”
ผมอ้าปากนับค้างจนมุมเอาตรงนี้เอง
“แม่บุญปลูกแกจะมาดูเรื่องของหาย”
เณรชั้วแนะนำ
“หมอเถาพอจะมีทางอื่นจะช่วยพยากรณ์ได้ไม๊ จันเคยเห็นหลวงตาท่านใช้จับยาม”
“งั้นได้การ”
ผมดีดมือพัวะ
“ไม่รู้เสียแต่แกว่าเป็นเรื่องของหาย นึกว่าจะดูโชคเคราะห์มันต้องผูกดวง แม่บุญปลูกขึ้นกุฎิมาตั้งแต่เมื่อไร”
เณรเหลือบมองนาฬิกาแมงดาข้างฝาแล้วตอบแทน
“สักบ่ายโมงเศษๆ เห็นจะได้หมอเถา”
“วันนี้วันพฤหัส”
ผมนับนิ้วมือไล่ยาม
“ครุ ภุมมะ สุริชะ ศุกระ พุทธะ บ่ายโมงเศษตกยามพุธ”
“พบหรือไม่พบจ๊ะหมอเถา”
แม่บุญปลูกรีบซักเพราะกำลังร้อนใจ
“เดี้ยวอย่าพึ่งซัก”
ผมว่าโฉลกยามคล่องปาก
“เสาร์ระวิพุทธายามทั้งนี้นา แม้ดูโรคาว่าตาย บอกกล่าวจริงบ่คลาย แม้ข้าวของหายทายว่าจะได้คืนคง”
สีหน้าแม่บุญปลูกมีเลือดมีฝาดขึ้นทันทีเมื่อฟังข้อความตอนท้าย
“ได้แน่ไหม หมอเถาจ๋า”
ผมกำลังวางมาดหยิบกลักบุหรี่ใบจากจะมวนสูบ พอได้ยินคำหมอจ๋าฉุนกึก กระแทกกลักบุหรี่กับพื้น กุฎิดังโปก
“เรียกหมอเฉยๆก็ได้ อ้ายคำหมอจ๋าหมอขานี่ขอเสียทีเดี๋ยวเลยไม่ต้องดูกัน”
“อุ๊ย ขอประทานโทษฉันไม่ตั้งใจ”
แม่บุญปลูกคนมืออ่อนยกมือไหว้อีกแถมยิ้มแย้มจนเห็นฟันทอง
“หายไปได้เจ็ดวันแล้วจ้ะหมอเถา ฉันจะตามพบทิศไหนและจะได้คืนเมื่อไหร่”
“ยามเขาบอกว่าได้แน่”
ผมถูกรุกกระชั้นไม่ทันตั้งตัวต้องนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง
“ตัวยามมันตกพุธก็ต้องทิศใต้ เลขพุธมันเลข ๔ ก็ภายใน ๔ วันนี้แหละ”
ครูก้อนไม่ถนัดทางยามของเก่าๆ จึงได้แต่นั่งนิ่งฟังผมทายเป็นพระเอกอยู่คนเดียว
“พุธตัวนี้มันธาตุน้ำ”
ผมจัดแจงพยากรณ์ต่อเพราะนึกถึงคำสั่งสอนของหลวงตาว่าให้อ่านดาวให้ละเอียด
“ของหายรายนี้มันน่าจะถูกซุกอยู่ที่โอ่งน้ำ บ่อน้ำ แม่บุญปลูกลองหาดูอาจพบก็ได้”
“คงไม่มีแน่ๆ จ้ะหมอเถา”
แม่บุญปลูกปฎิเสธทันที ทั้งๆที่กำลังกลุมแกก็หัวร่อคิกคัก
“ไม่ต้องหาให้เสียเวลาเปล่าๆ”
ผมฟังแม่บุญปลูกคัดค้านเอาง่ายๆ ซ้ำหัวเราะชักนึกเคืองๆ จึงยืนยันมั่นคง
“ต้องอยู่ในน้ำแน่ๆ มันต้องมีคนลักเอาไปซ่อน ถ้าไม่โอ่งน้ำ บ่อน้ำ ก็ต้องคลองหรือแม่น้ำ เอากันว่ายังไงๆ มันก็ต้องอยู่ในน้ำก็แล้วกัน”
แม่บุญปลูกยิ่งหน้าเป็นหนักขึ้นหัวร่อร่วน
“หมอเถาจ๊ะที่ว่าหายน่ะ พี่ทิดผัวฉันเอง หายจากบ้านไปเจ็ดวันแล้วไม่รู้กายไปไหนไม่ได้ข่าวเลยถึงต้องมาดูหมอ”
“บ๊ะแล้วกัน”
ผมผงะแทบหงายหลังตกนอกชานกุฎิ รู้สึกอายจนหน้าชาที่พลาดไปถนัดใจ ครูก้อนนั้นรักษามารยาทครูเก่า กัดริมฝีปากแน่นกลั้นหัวเราะไว้ข้างเณรชั่วปล่อยก๊ากเต็มสตีมไม่ยั้ง
“อาจเมาตายตกน้ำตกท่ามีอันตรายหรือลงเรือแพไปกับเพื่อนฝูงก็ได้ ควรลองสืบๆ ดูน๊ะ”
ครูก้อนหาทางออกเพื่อช่วยกู้หน้าเพื่อนเอาไว้
“ครูไม่น่ามาแช่งผัวฉันเลย”
แม่บุญปลูกแกจัดจ้านพอตัว
“ถ้าอยู่ในน้ำ ๗ วัน อย่างหมอเถาว่า ป่านนี้น่าลอยน้ำรู้ข่าวกันทั้งเมืองไปแล้วเรื่องไปเรือก็ไม่มีทางเลยครู”
เณรชั้วที่ลุกไปเช็ดน้ำมูกน้ำตาที่หน้าต่างหันมาเรียก
“แม่บุญปลูกดูเหมือนน้องสาวที่บ้านจะมาตามกระมัง”
แม่บุญปลูกเหลียวมองดูทางประตูนอกชานกุฎิ สักครู่หญิงสาวผิวสะอาดสะอ้านหน้าตาละม้ายแม่บุญปลูกก็เข้าประตู มานั่งข้างๆ กระซิบกระซาบกันสองคนพี่น้องอยู่พักใหญ่ๆ แม่บุญปลูกฟังพยักเพยิด เมื่อแรกดูสีหน้าปิติยินดีแล้วก็เปลี่ยนเป็นขาวซีดเหมือนคนกำลังจะเป็นลม
“ฉันเห็นจะต้องลาหมอทีละ ไม่ต้องดูหมอแล้ว”
แม่บุญปลูกหันมายกมือไหว้ลาผมและครู สังเกตเห็นนัยน์ตาแดงๆ น้ำตาคลอ
“อ้าวทำไมล่ะ แม่บุญปลูก”
ครูถาม
“ฉันได้ข่าวพี่ทิดแล้ว”
“พบที่ไหนยังไง ขอทราบหน่อยเถอะ ฉันเองก็อยากรู้ว่ายามของหมอผิดหรือถูก”
“ไม่ได้พบในน้ำแน่”
แม่บุญปลูกพูดเสียงเยาะๆ และนิ่งอึ้งไปครู่ใหญ่เหมือนตรึกตรองตัดสินใจ
“คนเขามาส่งข่าวว่าพี่ทิดไปได้เมียใหม่”
“อ๊ะ นังเมียเด็กนั่นชื่ออะไรน๊ะ”
ผมเอะใจย้อนถามทันควัน
“ชื่อ นังวารี”
“เห็นไม๊ล่ะ”
หมอเถา
“วารี มันก็แปลว่าน้ำ ยามของหมอถูกเผ็งเทียวแหละ”
ตั้งแต่คบกันมาหลายปี เพิ่งเห็นครูก้อนหัวเราะลงลูกคอเต็มเสียงวสันนี้ จนกระทั่งสองสตรีพี่น้องลงลับกูฏิไปแล้ว ครูก้อนหัวเราะไม่หยุด คอสองคือเณาชั้วหัวเราะจนตัวงอพาดหน้าต่าง ทำให้ผมต้องหัวเราะตามไปด้วย