ขอขอบคุณ คุณนริศรา ที่เอื้อเฟื้อหนังสือ
เช้าวันอาทิตย์
เป็นวันว่างครุก้อนและครูสมศักดิ์ จึงพากันทำภัตตาหารมาถวายเพลหลวงตาชื้นผู้เป็นอาจารย์ แม่บ้านครูก้อนถนัดทางทำกับข้าวจึงรับหน้าที่แกงบอนและไข่แมงดาผัดน้ำตาล อาหารโบราณ ข้างครูสมศักดิ์ซึ่งแม่บ้านทำขนมขายเป็นประจำรับหน้าที่ของหวานทำขนมดอกโสน และข้าวกระยาคูเป็นขนมของคนเก่าเช่นกัน
ทั้งครูก้อนและครูสมศักดิ์นั่งพับเพียบข้างวงอาหาร หลวงตาชื้นฉันไปชมไปไม่ขาดปากทั้งคาวหวาน
“เออ..ขอบใจครูทั้งสอง ช่างรู้ใจอาตมาจริงๆ ของชอบมาตั้งแต่หนุ่มๆ ทีเดียว ไม่ใคร่ได้ฉัน เพราะไม่มีใครนเขาใส่บาตรกัน”
ครูสมศักดิ์ยิ้มแย้มดีใจที่หลวงตาฉันเกือบหมด
“ขนมดอกโสนและข้าวกระยาคูต้องหน้านี้ฝนชุกๆน้ำท่วมนา พอข้าวเริ่มตกรวงต้นโสนก็ออกดอกหาง่าย ปีหนึ่งทำกินได้ครั้งเดียวเท่านั้นขอรับ”
หลวงตาหันมาหาครูก้อน
“แกงบอนกะไข่แมงดาเขาดีจริง ชวนคอหอยเปิดเป็นพิเศษ พับผ่า อายุยืนไปหลายวัน”
เณรชั้วคลานเข้ามายกถาดภาชนะอาหารคาวหวาน พอตอนยกจานไข่แมงดา ครูก้อนก็สะกิดบอก
“เณรชั้ว ไขแมงดานี่เขาถือกันนะ ถ้าอายุไม่ครบ ๒๑ กินเข้าไปแสลงนัก มีอันเป็นมาแยะอย่างน้อยก็ปวดหัวตัวร้อนหลายๆ วัน”
เณรชั้วรู้ทันความคิดครูก้อนจึงตอบหน้าตาเฉย
“ไม่เป็นไรหรอกครู หมอเถาเขาเคยบอกยาแก้ไว้ให้ฉันไม่กลัวหรอก”
ครูก้อนปลงคารมนึกว่าเณรชั้วพูดจริงจึงซัก
“ยาอะไรของเณรชั้ว”
เณรชั้วได้ทีจึงยักคิ้วตอบ
“ใช้ใบต้น “โกหก” ต้มกินมื้อเดียวก็หาย”
ครูก้อนถูกย้อนรอยก็หัวเราะชอบใจเชาว์ของเณรชั้วที่โต้ตอบทันคน และมิได้ถือสาเพราะรู้นิสัยกันอยู่ หลวงตาเข้านั่งอาสนะประจำที่จุดบุหรี่สูบ และปรารภถึงศิษย์หัวแก้วหัวแหวนที่ขาดจำนวนไปไม่พร้อมหน้า
“หมอเถาไปไหนถึงไม่ได้มาด้วย”
ครูก้อนเป็นคนรู้เรื่องจึงตอบ
“เห็นว่าไปรับรักษาไข้ทางท้ายบ้านนัยว่าเป็นคนมีฐานะดี รักษาทั้งยาจีนฝรั่งมาอาการไม่ดีขึ้น”
“ขอให้โรคเขาถูกหมอถูกยาเถิด หมอเถาจะได้มีเบี้ยต่ออายุไปได้อีกนาน”
หลวงตาชื้นพูดด้วยความตั้งใจดี พูดไม่ทันขาดคำ ประตูกุฏิก็เปิดออก คนที่ถูกกล่าวขวัญถึง คือ หมอเถาก็โผล่หน้าเข้ามายิ้มยิงผันขาว สองมือประคองกรงนกคลุมผ้ามิดชิด ค่อยๆ ประจงลอดประตูเข้ามา พอกราบหลวงตาเสร็จก็ถูกซักเหมือนเป็นจำเลย
“นึกว่าไปรักษาไข้ ที่แท้ก็แอบไปเล่นนกอยู่นี่เอง”
ครูก้อนเอมมือจะเปิดผ้าคลุมกรง
“นกอะไร ดีหนักหนาหรือถึงคลุมผ้าผ่อนแพรพรรณเสียสวยหรู”
หมดเถารีบตะครุบมือเพื่อนไว้
“อย่าเปิดครูก้อน เขาไม่ชอบคนแปลกหน้า และพูดค่อยๆ หน่อย เสียงดังๆ เขาก็ไม่ชอบ”
“อุบ๊ะ...นกสำออย”
ครูก้อนยอมปล่อยมือ
หมอเถาค่อยๆประคองทนุถนอมกรงแทบจะไม่ให้กระเทือน เลี่ยงไปตามชานระเบียงทางออกไปจนสุด ค่อยๆเปิดผ้าเอาตะขอหัวตครงเกี่ยวไว้กับชายคา ทั้งดีดนิ้วเป๊าะๆ ล้อนก ส่วนปากก็ทำเสียงออดล่อให้ขัน พอนกได้แสงสว่างและลมโชยก็คะนองบินเล่นลมในกรง พอลงจับคอนขันเสียงเบาๆ หมอเถาก็ยิ้มกับนก ทำเสียงเลียนนกตัวเมีย ข้างเจ้านกก็ทั้งขันทั้งร้อตอบ ถ้อยทีหยอกล้อกันทั้งนกและคน เมื่อหมอเถาถอยจากกรงนกมานั่งรวมกลุ่มสหายคู่หูหลวงตาชื้นจึงถามสงสัย
“หายไปวันเดียวกลับมาเป็นนักเลงนกเขาชวาเสียฉิบมันไปยังไงมายังไงรึหมอเถา”
หมอเถาหันหน้าอธิบายกับหลวงตาชื้นก็จริง แต่หูนั้นไปจับอยู่กับเสียงนกเขาชวาที่กำลังขันแจ้ว
“ผมไปรักษาไข้เขาได้ ๓ วัน อาการเขาค่อยดีขึ้นบ้าง เขาตั้งค่าบูชาครูไว้ ๒,๐๐๐ บาท เขาเลี้ยงนกตัวนี้ไว้มันขันถูกใจผมก็เลยขอเปลี่ยนเป็นนกเขาเจ้าไข้เขาก็เลยให้มา”
ทั้งหลวงตาชื้นและครูก้อน ครูสมศักดิ์แทบไม่เชื่อหูตนเองว่าจะเป็นได้ เงิน ๒,๐๐๐ บาท สำหรับหมอเถาย่อมนับว่ามากมาย ทำให้เป็นเศรษฐีย่อยๆ ได้ แต่หมอเถากลับเลือกเอานกเขาชวาตัวเล็กๆตัวเดียว ครูก้อนเอมเอาหลังมือไปแตะหน้าผากหมอเถาจนเจ้าตัวปัด
“เนื้อตัวก็ไม่ร้อน ไม่น่าคลุ้มคลั่งถึงกับไม่เอาเงินกลับเอานกเขา”
หมอเถารู้ใจเพื่อนที่คิดว่าตัวบ้าหรือโง่เขลาที่ทำเช่นนั้น แต่หมอเถากลับยิ้มเป็นเชิงเยาะทั้งสองครูเอาเสียอีก ครูก้อนเป็นคนพูดจาไม่ยั้งอยู่แล้วก็ตำหนิเชิงถามว่า
“นกตัวนี้มันวิเศษยังไงถึงกับทิ้งเงิน ๒,๐๐๐ บาทเสียง่ายๆ”
“เงินแค่นั้นจริง..มันมาก ปัญญาอย่างฉันหาทั้งปีก็อาจไม่ได้”
หมอเถาแจงสี่เบี้ย
“แต่นกตัวนี้มันขันไพเราะหนักหนาถ้าพูดถึงราคามันมากกว่าหลายเท่า อาจถึงหมื่นเสียด้วยซ้ำ”
ครูก้อนเอื้อมมือตบเข่าเบาๆ
“ขอโทษน๊ะ หมอเถา..ทุ้ย..พูดภาษาคนบ้า ใครเขาจะเชื่อเกิดมาท้องพ่อท้องแม่ไม่เคยได้ยิน”
ครูสมศักดิ์อยู่ในกรุงเทพฯ มานาน และมีเพื่อนอยู่มากจึงเอ่ยขึ้นมั่ง
“อย่าเพิ่งไปว่าหมอเถา เมื่อผมอยู่กรุงเทพฯริเล่นกับเขาบ้างเหมือนกัน แต่ไม่ถึงขั้นได้รู้ได้เห็นคนอื่นๆ เขา เรื่องนกเขาชวาเป็นของแปลกมหัศจรรย์”
หลวงตาชื้นนิ่งฟังอยู่นาน พลอยสนใจซักถามขึ้นมาบ้าง
“มันมหัศจรรย์ยังไงหรือครูสมศักดิ์”
“เมื่อไม่นานมานี้นักเลงนกเขาชวากับนักเลงพระแลกนกเขาชวากับพระเครื่องชั้น ขอดตรราคากันราว ๔-๕ หมื่นบาท ในวงการเขารู้กันทั่วไป เมื่อหลายปีมาแล้วนกเขาชวาตัวหนึ่งประกวดขันชนะมาหลายงานชื่อนกชวาลา ๒ เจ้าของนำทูลเกล้าถวายแด่พระบาทสมเด็นพระเจ้าอยู่หัวและทรงเลี้ยวไว้ที่ภู พิงค์ราชนิเวศน์ แม้ในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ก็เคยจัดงานแข่งขันนกเขาชวาได้เงินค่าธรรมเนียม การสมัครเข้าแข่งขันเป็นเงินหลายหมื่นบาท เป็นทุนเริ่มก่อตั้งสมาคมนิติศาสตร์”
หลวงตาชื้นฟังไปคิดไป และยังสงสัยเพราะไม่เคยรู้เห็นและได้ยินมาก่อน
“เขาแข่งกันอย่างไร มีแพ้ชนะได้เงินเสียเงินหรืออย่างไรกันเร๊อะ”
“เขาเอานกมาขัน แข่งเสียงขันขอรับ”
ครูสมศักดิ์อธิบายอย่างคนเคยรู้เห็นมา
“ของใครขันเสียงไพเราะกว่ากันของคนนั้นก็ชนะและได้ถ้วยเป็นเกียรติ อย่างเช่น เมื่อคราวเกิดพายุพัดพังแหลมตะลุมพุกปักษ์ใต้เขาจัดงานเมตตาในสวน อัมพรอันเป็นเขตพระราชฐานก็มีการประกวดแข่งเสียงขันนกเขาชวาชิงถ้วยพระราช ทานของสมเด็จเจ้าฟ้าชาย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ก็ได้ทรงเสด็จชมนกเขา ค่าสมัครเข้าแข่งขันตัวละ ๒๐๐ บาท ได้เงินหลายหมื่นบาทสมทบเป็นเงินการกุศล”
“เออครูสมศักดิ์ช่างรอบรู้จริงๆ”
ครูก้อนชมด้วยความจริงใจ
“ที่เขาแพ้ชนะกันนั้นเขาทำอย่างไรกันเวลาแข่งขัน”
ครูสมศักดิ์ถูกชมก็รุ้สึกภาคภูมิใจ
“เขาเอาไม้ไผ่มาปักทำเป็นเชือกชักรอกเอากรงนกเขาขึ้นไปไว้กลางอากาศพร้อมๆ กันทั้งสนาม บางครั้งร่วม ๑๐๐ ตัว เจ้าของนกและคนฟังจะต้องออกไปอยู่ข้างสนามเพื่อมิให้นกตื่น และพอนกเขาเริ่มขันกันก็จะมีกรรมการซึ่งเป็นผู้มีความชำนาญในเสียนกชุดหนึ่ง เดินอยู่ใต้รอกนกเขา เป็นผู้ฟังและเทียบเคียงนกเขาจะขันเริ่มแข่ง ๗.๐๐ น. ถึง ๑๑.๐๐ น. จึงตัดสิน”
หลวงตาชื้นพลอยสนุกไปกับเขาด้วย จึงถามอีก
“แล้วเขามีกฎเกณฑ์กติกาในการตัดสินหรือแปลว่าเสียงอย่างใดดีกว่าอย่างใดจึง เป็นที่แพ้ชนะกัน หรือเอากันว่าขันมากขันน้อยเป็นเกณฑ์”
ครูสมศักดิ์นิ่งคิดทบทวนถึงสมัยเมื่อหลายปีก่อน
“เขามีกติกาพิมพ์ไว้ แยกแยะละเอียดถี่ถ้วนขอรับ มีคะแนนแต่ละส่วนๆรวมกัน ๑๐๐ คะแนน น้ำเสียง ๒๐ คำขันหน้า ๑๐ จังหวะหรือคำกลาง ๑๐ ปลายหรือคำท้าย ๓๐ ทำนองหรือลีลาพิเศษ ๑๐ ขัน ทนขันมาก ๒๐ กรรมการ เขาฟังไปให้คะแนนไป พอหมดเวลาแข่งขันคะแนนใครมาก็ชนะที่ ๑,๒,๓ ตามลำดับ กติกานี้เดี๋ยวนี้ดูเหมือนจะเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัยนิยมกัน”
หลวงตาชื้นพออกพอใจความรู้ของครูสมศักดิ์ อธิบายคล่องไม่ติดขัดความอยากรู้อยากเห็นจึงซักต่อไปอีก
“แล้วอ้ายที่เรียกคำหน้าคำกลาง คำปลาย หรือลีลาทำนองนั้นน่ะ อย่างไหนมันดีอย่างไหนมันเลว ถึงจะได้คะแนนมากน้อยกว่ากันล่ะ อย่างตัวของหมอเถาที่ขันอยู่เดี๋ยวนี้มันจะได้สักกี่คะแนน”
ครูสมศักดิ์ไม่คิดว่าจะถูกซักถึงขนาดนี้ ความรู้ที่มีอย่างนั้นไม่พอจะชี้แจงให้ถูกต้องได้ เพราะเมื่อตอนริเล่นเป็นนักเลงนกเขาชวาก็มิได้ช่ำชองเพียงแต่เคยได้เห็นเขา แข่งและจดจำความรู้จากปากเขามาอีกทอดหนึ่ง จึงจนแต้มอึกอักหนักเข้าก็ยอมสารภาพออกมาตรงๆ
“ต้องผู้รู้จริงๆอย่างกรรมการตัดสิน จึงจะอธิบายได้ละเอียดชัดเจน ส่วนผมเพียงแต่เลี้ยงนกเขาเท่านั้น แต่ได้รู้ได้เห็นมาจึงได้แต่เล่าให้ฟังขอรับ”
“อุบ๊ะ..พอถึงตอนสำคัญก็เกิดหมดภูมิเสียแล้ว”
หลวงตาชื้นบ่นเสียดาย
“เจ้านกเขาตัวดีๆมันต้องมีเสียงเสน่ห์มากมาย ผู้คนเขาถึงหลงใหลกันนักหนาไม่ว่าผู้ดีไพร่”
ครูก้อนเหลียวดูนกเขาตัวของหมอเถาที่กำลังขันอยู่ชายคา
“ตัวที่ขันอยู่นี้ฟังๆมันก็ดูไม่น่าหลงใหล อย่างที่ครูสมศักดิ์เล่ามาแลย”
หมอเถานิ่งฟังโดยไม่ออกความเห็นเลยสักคำเดียวตั้งแต่แรกเมื่อนกของตัวถูกติก็อดอยู่ไม่ได้
“เรื่องของคนกรุงเทพฯ น่ะฉันไม่รู้แต่เรื่องของนกละก้อฉันรู้ดี”
หลวงตาชันหัวเราะชอบใจ
“เออดี เจอะนักปราชญ์คนที่ ๒ เข้าแล้วก็อย่างครูก้อนเขาว่าแหละหมอเถา นกเขาตัวนั้นมันก็ขันเหมือนนก ราคามันไม่น่าจะถึงพันถึงหมื่น”
หมอเถายืดอกอย่างภาคภูมิ
“นกตัวนี้ดีแต่มันยังไม่ถึงเวลาดีที่ขันอยู่นี้ขันไม่เต็มที่เรียกว่าขันยัง ไม่เปิดปลาย น้ำเสียงและทำนองจึงยังไม่ไพเราะเต็มที่”
“ก็ถ้ามันยังไม่ดี ทำไม่ไปแลกกะค่ารักษาตั้ง ๒,๐๐๐ บาท”
ครูก้อนยิ่งสงสัย
“ก็เพราะฉันรู้จักนกน่ะซี”
หมอเถาว่า
“นกตัวนี้เป็นนกจังหวัดกระบี่ ตัวใหญ่ อกใหญ่แข็งแรง ลายขนสีเข้มที่ขันนี้เป็นนกเสียงใหญ่หายาก และท่วงทำนองขันดี เสียแต่กรุ่มยาก คือ เชื่องจนขันดียากต้องเลี้ยงหลายปี ถ้านกตัวนี้ขึ้นแล้วในราคา ๕ เท่าก็ไม่ขาย”
หลวงตายังติดใจสงสัยข้อที่ถามครูสมศักดิ์เมื่อครู่อยู่จึงถามหมอเถาซ้ำอีก
“ว่าแต่อ้ายกติกาให้คะแนนความดีตคามที่ครูสมศักดิ์เขาว่าน่ะกรรมการเขาฟัง เอามันดีเลวต่างกันอย่างไรในการให้คะแนน”
หมอเถาตอบโดยไม่ต้องคิด
“ฎกติการของกรุงเทพฯ ส่วนใหญ่ๆ ก็คือรสนิยมในเสียงนกเขาชวาที่นิยมเล่นกันในแบบ ปักษ์ใต้และตลอดแหลมมาลายูซึ่งเขานิยมเล่นกันมาก่อน แต่ของเราเอามาบัญญัติให้มันเป็นระเบียบเรียบร้อยเข้าเพื่อความยุติธรรมใน การตัดสิน”
ครูสมศักดิ์มองหน้าหมอเถา ทั้งสงสัยและแปลกใจที่ชายทึ่มๆมองดูดังคนโง่ ไม่รู้อะไรมากนัก พูดจาถูกต้องและรู้ดีในเรื่องที่ตนโง่
“หมอเถาพูดถูกขอรับหลวงตาเป็นความจริงเช่นนั้น เพราะในยุคที่เล่นกันนั้น นักเลงนกเขากรุงเทพฯก็ลงปักษ์ใต้สังสรรค์กับนักเลงนกเขาปักษ์ใต้ นักเลงนกเขาปักษ์ใต้ก็ขึ้นมาสังเสวนากับนักเลงนกเขากรุงเทพฯ ในตอนนั้น พ.ศ.๒๕๐๐ เศษ มีการแข่งขันเสียงนกเขาชวาแทบทุกจัวหวัดและเชิญกรรมการผู้ชำนาญการตัดสินไป จากกรุงเทพฯ ดังนั้นรสนิยมในเสียงนกเขาชวาจึงเหมือนกันหมดทั้งประเทศก็ว่าได้”
หลวงตาออกปากชม
“ครูสมศักดิ์มันช่างจดจำจริงๆ”
ครูสมศักดิ์ถูกชมเลยเล่าใหญ่
“ครั้งหนึ่งในตอนนั้นเพื่อนโยบายเอาใจคนสี่จังหวัดภาคใต้ นายกรัฐมนตรีและรองนายกได้ให้ถ้วยรางวัลการแข่งนกเขาชวา ในการแข่งที่จังหวัดปัตตานี การแข่งครั้งนั้นยิ่งใหญ่เป็นที่เลื่องลือตลอดแหลมมลายู มีการประกาศอยู่ร่วมเดือนมีนกเขาทั้ง ๔ จังหวัด เดินทางมาค้างแรมล่วงหน้าเพื่อจะเข้าแข่งและยังมีนกเขาจากประเทศมาลายูเข้า แข่งหลายตัว มีนกเขาจากกรุงเทพฯเดินทางไปแข่งร่วม ๒๒ ตัว นกที่เข้าแข่งทั้งหมดร่วม ๓๐๐ ตัว แข่งกัน ๓ วัน จึงหมด และเขาเชิญกรรมการชดหนึ่งไปจากกรุงเทพฯ ๓ คน ล้วนเป็นผู้เชี่ยวชาญชั้นนำในการตัดสินนกเขาชวาของกรุงเทพฯมันแปลกตรงที่ว่า กรรมการกรุงเทพฯที่จัดส่งไปนั้น ๓ คน ๓ ภาษา คือ หัวหน้าคณะกรรมการเป็นไทย ชื่อ คุณอรุณ ลำเพ็ญ คนที่ ๒ หน้าตาเป็นฝรั่งชัดๆเพราะมีเลือดผสมชื่อ คุณสวัสดิ์ เอกรัตน์ คนที่ ๓ เป็นอิสลาม ชื่อหะยีมุด อยู่หลังสุเหร่าถนนเพชรบุรี”
ครูก้อนยิ่งฟังก็ยิ่งเสียงอ่อนลง
“ไม่นึกเลยได้ยินเล่านี้แหละถึงจะได้รู้ว่าการเล่นนกเขาชวานี้มันช่างมีเกียรติยิ่ง ใหญ่โอฬารไม่มีการละเล่นอะไรเหมือนเลย น่ายกย่องนกตัวเล็กๆ ที่ชื่อนกเขาชวาเสียจริงๆ”
หลวงตายังติดใจเรื่องเดิมก็ซักเหมอเถาอีก
“ไหนลองอธิบายให้ละเอียดหมอเถา”
ครูสมศักดิ์ชักนับถือและเชื่อว่าหมอเถาต้องสันทัดในกรณีนี้แน่จึงผสมถาม เพื่อหาความรู้บ้าง โดยเป็นคนซักเสียเอง
“น้ำเสียงดีนั้นเป็นอย่างไรน่ะหมอเถา”
หมอเถายิ้มกริ่ม
“นกน้ำเสียงดีต้องเสียงดังกังวาฬ เสียงไม่แตกแหบพร่าเสียงทุ้มก็ต้องกลมนุ่มนวล เสียงแหลมก็ต้องใสคมฟังชัดเจน นกเสียงดีขันอยู่ ๓ คุ้งแม่น้ำยังได้ยินชัดเจน”
ครูสมศักดิ์ซักต่อไปทีละขั้น
“แล้วคำหน้าของคำขันล่ะ”
หมอเถาวาดไม้วาดมือประกอบคำอธิบาย
“ทำนองขันของนกเขาชวาเรียกว่า คำขันนั้นมี ๓ ตอน คือ “หน้า-ลาง-ปลาย”
มันขันติดต่อกันคำหน้าที่ดีต้องยาว เอื้อนทอดเสียงต้องม้วนหรือโค้งอ่อน บางตัวขึ้นต้นคำหน้าด้วยเสียงต่ำแล้วเอื้อนขึ้นเสียงสูง บางตัวก็ขึ้นต้นด้วยเสียงสูงแล้วเอื้อนลงเสียต่ำ และที่สำคัญต้องไม่แหบพร่าและเบาจึงจะถือว่าดี”
ครูสมศักดิ์ยิ่งรู้ยิ่งซัก
“แล้วคำกลางล่ะ เออหมอเถารู้ดีจริงเก่งจริง”
“นี่อธิบายย่อๆน๊ะ ถ้าจะพูดกันละเอียดถี่ถ้วน ตอนละชั่วโมงก็ยังไม่หมด”
หมอเถาได้ท่าคุยสำทับ
“คำกลางนั้นเป็นคำสั้นๆ นิยมกันว่าต้องชัดและเว้นระยะจังหวะห่างกัน พอได้ยินชัดๆ ไม่ติดกันจนฟังรัวๆ หรือแผ่วเบา”
ครูก้อนชักสนใจเลยพลอยถามต่อกับเขาบ้าง
“แล้วคำท้ายคำปลายล่ะ”
“คำท้ายหรือปลายนี้เป็นส่วนสำคัญที่สุด เพราะเป็นส่วนที่ไพเราะกว่าทุกๆส่วน จึงมีคะแนนถึง ๓๐ คะแนน นกที่ขายกันถ้าเพียงแต้มีคำท้ายหรือปลายอย่างเดียวก็ขายได้เป็นพันแล้วส่วนชั้นดีเลวไม่คำนึงถึง”
หมอเถาอธิบายโดยตัวเองรู้สึกสนุกจนนัยน์ตาวาวเป็นมัน
“ครูเอ๋ยนกปลายดีมันขันเปิดปลาย ดังโปง-หัวใจคนฟังมันหวิวขาดติดปลายนกไปเลยทีเดียวขนาดโบราณเขาว่าเหมือนคน ถูกเสน๋ห์ ผมอยู่บนหัวก็ลืมเกล้าข้าวอยู่ในคอก็ลืมกลืนทีเดียว”
หลวงตาหัวเราะลงลูกคอ
“บ๊ะๆ ฝอยมากจริง”
หมอเถาเกรงใจหลวงตาก็ต้องหันเข้าหาเนื้อหาของเรื่องอีก
“ปลายที่ดีของนกเขาชวาเป็นเสียงที่มีความละเอียดอ่อนมาก มีกฎเกณฑ์ปลีกย่อยมากกว่าทุกส่วน แต่พอสรุปที่สำคัญได้ว่า ปลายที่ดีคือปลายเสียงใหญ่ ปลายเสียงยาว ปลายเสียงลอย ปลายดังกังวาฬยาว และเสียงปลายต้องลงแม่กงชัดเจน เหมือนเสียงระฆังเสียงฆ้อง นกดีมีราคาก็ตรงเสียงปลายนี้แหละ เวลาเข้าสนามชักรอกแข่งขันถ้านกขันโดยยังไม่อกปลาย กรรมการเขายังไม่ให้คะแนนส่วนอื่นทั้งหมดและออกปลายก็ต้องออกหลายๆคำ เรียกว่า ปลายจับตับจึงจะนับคะแนน”
“ส่วนขันมากหรือขันทนก็คือขันไม่ใคร่หยุดนั้นเอง”
หมอเถาไม่รอให้ซักอธิบายต่อรวดเดียว
“ส่วนคำว่าลีลาพิเศษหรือทำนองพิเศษ ก็คือทำนองการขันที่ทำให้มีความไพเราะเป็นพิเศษที่นิยมกันมีสองประการ คือ ขันสดุด หรือขันหยุดชะงักก่อนจะออกปลาย ทางภาษามลายูเขาเรียก “สะกะเต๊าะ” มันมีความไพเราะเหมือนการอ่านกาพย์อ่านฉันท์ฉะนั้น และอีกลีลาหนึ่งก็คือออกสองปลาย คือ โปง-โปง เป็นของหาได้ยากจึงเป็นคะแนนเพิ่มพิเศษ”
หลวงตาฟังไปคิดไปตามภาษาผู้ใหญ่ที่มองดูท่า ทางของศิษย์คือหมอเถา ซึ่งตามปกติดูเซอะๆเงอะงะ เหมือนคนโง่ๆแต่บางขณะเช่นขณะนี้ท่าทางองอาจ พูดจาฉาดฉานคล่องแคล่วรอบรู้ ดังเจ้าเงาะถอดรูป ซึ่งคนๆนี้ทำให้หลวงตาแปลกใจเสมอๆมา ครูสมศักดิ์ก็เช่นกัน คำชี้แจงอธิบายล้วนแต่ถูกต้องและชำนาญพอๆกับชั้นอาจารย์ นกในกรุงเทพฯที่ตนเคยสนทนามา ซึ่งคนอย่างหมอเถาไม่น่าจะมีทางรอบรู้ถึงปานนี้จึงอดซักมิได้
“หมอเถาถามจริงๆ เถอะ จำเขามาเล่า หรือว่าเคยเลี้ยงเคยได้ยินมาเอง”
หมอเถาหยุดคิดอยู่ครู่หนึ่งก็บอกว่า
“เมื่อก่อนๆ ยังเที่ยวๆ อยู่ไม่เป็นแห่ง ตามเพื่อนๆเขาไปต่อนก แล้วเอาไปขายปักษ์ใต้อยู่หลายปี จึงได้ยินได้ฟังมามาก เพราะฉะนั้นมาได้ยินนกดีๆก็อดรักและอยากได้มิได้”
ครูก้อนซึ่งไม่เคยรู้และได้ยินก็ยังสงสัย
“อธิบายให้ฟังก็พอรู้ แต่ก็ยังไม่ซาบซึ้งอยู่นั่นเองว่ามันขันดีมันเป็นยังไง”
ครูสมศักดิ์จึงพยักหน้าหมอเถา
“หมอเถาขันเป็นตัวอย่างให้ฟังทีเถอะ เอาแบบชั้นที่ ๑ ทีเดียว”
หมอเถาพยักหน้ารับ
“ต้องเอาหน้ายาวปลายยาวอย่างที่เขานิยมหากัน แขกมลายูเขาเรียก “อูมีเซ้าว์ อูยงปานแย” คือ “หน้าม้วนอ่อน ปลายยาว”
แล้วหมอเถาก็โก่งคอดัดเสียงให้คล้ายนกเขาชวาขัน
“อ๊าว...กะตะ...โปง”
นกเขาจริงที่ชายคาได้ยินเสียงนกปลอมขันก็ตกใจ มันดิ้นพึ่บพั่บจนกรงแกว่ง หมอเถาต้องวิ่งไปยึดกรงไว้ และทำเสียงปลอบทั้งดีดมือล่อจนหายตื่น เมื่อกลับมานั่งร่วมวง ทั้งสองครูยังหาเรื่องซักถึงนกเขาชวาอีก เพราะแน่ใจว่ารอบรู้จริงแต่หมอเถาโบกมือห้าม
“เอาไว้วันหลังว่างๆมีเวลาเถอะเรื่องนกเขาคุยกัน ๓ วัน สามคืนก็ยังไม่หมดเรื่อง วันนี้มีธุระสำคัญจะมากราบรบกวนหลวงตาด้วย”
หลวงตาจึงสนใจ
“มีอะไรหรือหมอเถาว่าจะมากวนอะไร อนุญาตทุกอย่าง นอกจากเรื่องเงิน”
หมอเถาพนมมือไหว้ หัวเราะที่ถูกหลวงตาสัพยอก
“เรื่องคนไข้ที่ผมไปรับรักษานี้แหละครับ อาการมันน่าหนักใจ อาการดีได้วันสองวันก็ทรุดจนจับอาการไม่ถูก ผมอยากตรวจดวงชะตาเขา ผมดูเองหลายคราวแล้วไม่เข้าใจเลย”
หลวงตาพยักหน้า
“เออเอาดวงมาแล้วเขียนลงบนกระดาน”
ครูก้อนคว้ากระดานและช็อล์กเสร็จแต่เกี่ยงครูสมศักดิ์
“ลายมือเขียนเลขไทยสวยๆเอาที”
หมอเถาส่งดวงให้ครูสมศักดิ์เป็นคนเขียน หลวงตาชื้นคงเอกเขนกตามสบายคอยจนครูสมศักดิ์เขียนเสร็จ จึงลุกขึ้นนั่งปรายตาดู ครูก้อน ครูสมศักดิ์ จ้องดูอย่างสนใจเต็มที่พยายามหาจุดที่แสดงว่าป่วย
ครูก้อนปัญญาไวเห็นก่อน
“อ้าวพฤหัสเรือนมรณะ ทับศุกร์ตนุลัคน์นี่นา มันถึงป่วย”
ครูสมศักดิ์ก็เอาบ้าง
“อายุ ๕๑ ทักษาจรตกภูมิราหู พฤหัสเป็นกาฬกิณีด้วยทับตนุลัคน์มันป่วยชัดๆ”
หลวงตาชื้นเอ็ดเสียงดัง
“อุบ๊ะ ก็มันรู้ว่าเขาป่วยอยู่แล้วหลับตาทายยังไงมันก็ต้องป่วยวันยังค่ำ ขืนหัดอ่านดวงหยาบๆง่ายๆแบบนี้อีกสิบปีมันก็ไม่เก่ง คิดดูซิพ่อสองครู พฤหัสมาทับศุกร์ในราศีนี้ทุกๆ ๑๒ ปี มันมิต้องป่วยกันทุกรอบหรือ กาฬกิณีทับตนุลัคน์ต้องป่วยจนไม่มีเวลาหายกันน่ะซี มันต้องดูให้ถี่ถ้วน”
ครูก้อนกับครูสมศักดิ์ถูกดุทำสีหน้าอายๆเพราะเป็นความจริงตามคำหลวงตาว่า พนมมือรับผิดทั้งคู่
“ผมผิดไปรอรับ”
“มันต้องดูดาวคู่ทั้งสองดวง คือ เมื่อพฤหัสทับตนุลัคน์นั้นทับในเรือนของราหู ตัวราหูจรเจ้าเรือนมาอยู่ภพมรระมันแสดงโทษทางป่วยอยู่ และก่อนพิจารณาถึงขั้นนั้น มันต้องดูพฤหัสเดิมเขาเสียก่อนว่า พฤหัสเดิมสถิตภพอริแสดงโทษเดิมอยู่พอมีบทบาทก็ทำร้ายเอา”
ครูสมศักดิ์ถึงจะกลัวและเกรงก็อดแย้งมิได้ตามนิสัย
“พฤหัสจรกับราหูแลกเรือนเท่ากับเป็นอนุเกษตร น่าจะให้คุณบ้างนะขอรับ”
หลวงตาชื้นจ้องตาครูสมศักดิ์ จนต้องหลบ
“สอนกันไม่ใคร่จำมักยึดติดความเชื่อถือที่ไม่ถูก เป็นเกษตรเป็นอุจจ์ มันเรื่องของดาวไม่ใช่เรื่องของคน เกษตรแปลว่ายืดเยื้อมีทางสลับเรือนมันก็เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา อาการของโรคที่ป่วยมันจะยืดเยื้อเรื้อรังน่ะไม่ว่า ช๊ะๆ”
ครูสมศักดิ์ยิ้มเจื่อนๆตาจ้องมองดวงชะตา
“จริงขอรับ...”
หลวงตาดุแล้วก็สอนต่อ
“เมื่อเรารู้อยู่แล้วว่าเขาป่วยกลับดูเขาว่าป่วยจริง มันจะได้ประโยชน์อะไร มันต้องดูว่าเขาป่วยครั้งนี้มันเหตุใดและจะรักษาหายหรือไม่เมื่อใด เออ มันถึงจะเรียกว่าหมอดู”
หมอเถาเจ้าของดวงขยับปากอยู่หลายทีไม่ได้พูด พอมีช่องก็เอ่ยขึ้นมั่ง
“พฤหัสเป็นเจ้าเรือนลาภะอยู่อีกเรือนหนึ่งเช่นกันคะรับ เมื่อมาทับอู่เรือนกัมมะซึ่งหมายถึงการกระทำและพฤหัสแปลว่าหมอได้ ในเรือนราหูที่พฤหัสทับอยู่มีมฤตยู ซึ่งแปลได้ว่าลึกลับ และราหูเจ้าเรือนแปลว่าจ้าวหรือเซียน จะทายเอาว่าต้องรักษาด้วยไสยอันลึกลับ การทรงเจ้าเพื่อรักษาจะหายได้ไม๊คะรับหลวงตา”
“พ่อหมอจ๋า เอาเข้าแล้ว มันฉลาดจนล้นมากไป”
หลวงตาฉิวก็ฉิวแต่ก็อดขำศิษย์ที่พยายามจะตามรอยครูอ่านให้วิจิตรพิศดารบ้าง
“มันมากไปเว้ยหมอเถา อ้ายอะไรๆมันมากเกินไปนี้บางทีมันก็ดีบางทีมันกลับเป็นของเสีย”
หมอเถาโดนเข้าอีกคนก็เจื่อนตามไปด้วยแก้เสียงอ่อย
“ผมนึกว่ามันมากจะดี”
หลวงตาอุปมาอุปมัยให้ฟัง
“คนเรามีสองมือเพิ่มมาอีก ๒ เป็นสี่มือ เขาก็เรียกพระนารายณ์ เออดี คนเรามีหน้าเดียวพอมีมากถึง ๔ หน้า เขาก็เรียกพระพรหมก็ดีอีก คนเรามีสองตีน ถ้ามีถึงสี่ตีนลายเป็นอ้ายเอ๋งไปฉิบ”
ครูก้อนและครูสมศักดิ์แม้จะ เกรงๆแต่ก็อดหัวเราะไม่ได้ ปล่อยกันคิ๊ก แต่หมอเถากลัวมาก พยายามกลั้นหัวเราะไว้และกลืนลงคอจนลูกกระเดือกวิ่งขึ้นลงหลายรอบ หลวงตาพยายามทำสีหน้าเคร่ง แต่ใจจริงนั้นเมตตาศิษย์ที่ยังอ่อนหัดจึงอธิบายต่อ
“อันพฤหัสเป็นเจ้าเรือนลาภะนั้นจริงอยู่ แต่ในดวงเดิมมันแสดงผลอริ ขัดขวางอยู่ก่อนแล้ว และที่สำคัญที่สุดก็คือ ดูที่พฤหัสเดิมนี่ ดาวมฤตยูจรเข้าภพอริเป็นเรือนศุกร์เท่ากับเรือนลัคน์เหมือนลัคนาสถานหนึ่ง อีกสถานหนึ่งเข้าทับพฤหัสเดิมเอาไว้เท่ากับครอบงำพฤหัสเต็มที่ ฉะนั้นพฤหัสที่โคจรไปก็เท่ากับติดความหมายของมฤตยูที่ครอบงำนั้นไปด้วย กรณีนี้เขาเรียก “ดาวแฝงแสง” ถึงกันกับพฤหัสจร”
หมอเถาฟังเข้าใจดีทุกถ้อยคำของอาจารย์และถามเบาๆ เกรงๆ ว่า
“พอจะรักษาได้ไม๊คะรับ”
“คงจะยาก...”
หลวงตานิ่งตรึกตรอง
“อาการป่วยอาการโรคมันจะเป็นโรคที่ลึกลับหาสาเหตุยาก หรือโรคที่ยังลึกลับต่อทางรักษาทางที่ดีหมอเถาควรให้เขาไปโรงพยาบาลจะดีกว่า ถ่วงไข้เขาไว้ทดลองยาเพราะจะเกิดอันตรายแก่ชีวิตของเขา”
หมอเถาเอะใจ
“หรือจะเป็นมะเร็งก็ไม่รู้ทีท่ามันมีอยู่เหมือนกันคะรับ”
นกเขาชวาที่แขวนอยู่ชายคาขันเปิดปลายดังโปง-โปง ติดเป็นตับ หมอเถานิ่งงัน หูจับเสียงนก และคนอื่นๆก็พลอยสงบฟังนกเขาขันกันไปทุกคนแม้แต่หลวงตาชิ้น