ขอขอบคุณ คุณนริศรา ที่เอื้อเฟื้อหนังสือ
จับโจร
อ.อรุณ ลำเพ็ญ - หมอเถา(วัลย์)
ดวงตะวัน เพิ่งจะพ้นขอบฟ้า แม้จะเป็นเดือน 11 ฤดูฝน แต่เช้าวันนี้ท้องฟ้าปลอดโปร่งแจ่มใส ลมเช้าพัดระรื่นเย็นสบาย หลวงตาชื้นกลับจากบิณฑบาตร เดินกลับวัดตามทางนอกตลาดซึ่งมีหมู่บ้านเรียงรายตลอดสองข้างทาง แต่สงบเงียบไม่จอแจพลุกพล่าน ท่านเดินไปคิดไปตามประสาผู้ล่วงวัยเข้าสู่ปลายทางชีวิต
|
|
ผู
ผ่านบ้านที่เคยวิ่งเล่นมาแต่เด็ก เคยเป็นทุ่งกว้างหนองน้ำและเนินดินร่มรื่นด้วยสุมทุมพุ่มไม้ บัดนี้เปลี่ยนแปรไปเป็นตึกรามบ้านเรือนไปหมด ท่านก็คิดปลงอนิจจังถึงความไม่เที่ยงแท้ แม้แผ่นดินซึ่งไม่มีชีวิตก็ยังรู้เกิดรู้ดับเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา ประสาอะไรกับมนุษย์ ซึ่งเป็นสัตว์มีชีวิตมีใจครองจะไม่เปลี่ยนแปรจากดีเป็นชั่ว จากชั่วเป็นดี ไม่คงทนถาวร ผืนแผ่นดินตรงนี้เคยเป็นบ้านคหบดีผู้หนึ่งที่ยึดมั่นในศีลในธรรมเคร่งครัดมาตลอดชีวิต เมื่อถึงกาลชีวิตไปแล้วบุตรผู้สืบสกุลก็กลายเป็นโจรปล้นเขากินจนถูกจับลงโทษไปเมื่อเร็วๆนี้ เออ…หนอหนทางชีวิตมนุษย์มันช่างคดเคี้ยวยอกย้อนวกวนไม่รู้แห่งหน ไม่เหมือนถนนหนทางที่เขาสร้างไว้มันตรงคงเส้นคงวา จะแยกจะเลี้ยวที่ใดก็มีที่สังเกตรู้ได้ ดังนั้นท่านจึงใช้วิธีโหราศาสตร์เกื้อกูลเพื่อนมนุษย์เพื่อเป็นเครื่องเตือนเครื่องบอกทางชีวิตแก่เขา ให้รู้หนทางแยกหนทางเลี้ยวไปสู่ความดีความชั่ว เป็นการสร้างกุศล แม้บางครั้งบางคราว จะถูกเพื่อนบรรพชิตด้วยกันเหยียดหยามลบหลู่ว่า เป็นพระหมอดูเลี้ยงชีพด้วยลาภสักการะ ถึงทางสี่แยกเป็นทางเลี้ยวไปสู่วัด และเป็นทางผ่านบ้านคุณนายทรัพย์ผู้ใจบุญที่ตักบาตรทุกวัน และหลวงตาเคยรับบาตรเป็นประจำตอนขากลับ เมื่อนึกถึงคุณนายทรัพย์ผู้ใจบุญ หลวงตาก็นึกคิดไปอีกหลายเรื่องโดยเฉพาะลูกเขยคุณนายที่ชื่อทิดจวง เป็นคนที่หลวงตาบวชให้ตั้งแต่เป็นเณรจนกระทั่งเป็นพระบวชอยู่หลายปี เกิดร้อนผ้าเหลืองแหกพรรษามาตบแต่งอยู่กินกับบุตรสาวคุณนายเมื่อต้นพรรษาที่แล้ว จะเหนี่ยวรั้งทัดทานอย่างไรก็ไม่ฟังเพราะผ้าเหลืองนี้น่ะหอหุ้มไว้แต่เพียงผิวกายมิได้ห่อหุ้มถึงหัวใจภิกษุจวง พอเดินใกล้บ้านคุณนายทรัพย์เข้ามา หลวงตาก็ยิ่งแปลกใจ แทนที่จะเห็นโต๊ะตั้งขันข้าวและปัจจัยใจใส่บาตรอย่างเคย กลับเห็นแต่ผู้คนมากหลายมุงล้อมอยู่หน้าบ้านดังมีเหตุร้าย ท่านเดินเร่งฝีเท้าใกล้เข้าไปจนถึง ท่านได้ยินสียงโต้เถียงกัน ส่วนใหญ่ก็เป็นเสียงคุณนายทรัพย์ลำเลิกเบิกประจานทิดจวงลูกเขย บางคำเป็นคำหยาบคายชาวบ้านที่มุงดูก็หัวเราะเฮฮาผสมโรง
หลวงตาพิจารณาเห็นว่ามิใช่กิจของสงฆ์จะพึงรับรู้และเกี่ยวข้องด้วยก็ถอยหลีกออกมาเพื่อจะเดินไปเสียให้พ้น แต่ชายจีวรกลับถูกดึงไว้แน่น เมื่อเหลียวดูเจ้าของมือก็พบหมดเถาศิษย์เอก
“นิมนต์หลวงตาหยุดก่อนเถอะครับ” หมอเถายกมือไว้ท่วมหัว “ทิดจวงเห็นจะแย่แน่ละคะรับ”
“มันไม่ใช่กิจของพระจะยุ่งด้วยนะหมอเถา เขาแม่ยายลูกเขยกันครอบครัวเดียวกันก็ย่อมมีปากมีเสียงกระทบกระทั่งกันเป็นธรรมดา”
“มันไม่ธรรมดาซิคะรับ หลวงตา” สีหน้าหมอเถาดูเป็นทุกข์เป็นร้อนจริงจัง “คุณนายทรัพย์แกไล่ทิดจวงออกจากบ้าน หอบผ้าหอบผ่อนทิดจวงโยนออกมาเกลื่อนถนนไปหมด ถ้าหลวงตาไม่ช่วยทิดจวงต้องกลับไปกินข้าววัดของหลวงตาอีก
“ว๊ะ…มันเรื่องอะไรกันร้ายแรงหนักหนาถึงเพียงนั้นเชียวหรือ“ หลวงตาชักสนใจ
หมอเถาอธิบาย “ผมก็ไม่ทราบเรื่อง ฟังเป็นนัยว่าขุนไม่เชื่องอะไรทำนองนั้น”
ครูก้อนโผล่จากไหนก็ไม่รู้เข้ายึดจีวรหลวงตาไว้อีก “หลวงตาต้องห้ามทัพไว้ก่อนเถอะขอรับ ผมห่วงทิดจวงจริงๆ”
หลวงตาลังเลใจ ชะเง้อข้ามไหล่ผู้คนที่มุงดูเข้าไปในบ้านตา ”อยากรู้ว่ามันมีสาเหตุอะไรกัน จะได้ตัดสินใจว่าควรจะเกี่ยวข้องด้วยหรือไม่”
ครูก้อนว่า “ผมได้ยินคุณนายทรัพย์ตะโกนแต่ว่าทิดจวงกินบนเรือนแล้วถ่ายรดหลังคา”
หมอเถาร้องเอ๊ะ! “ทิดจวงถ้าจะทำพิเรน คิดเป็นพ่อตาตัวเองกระมัง”
“อย่าเดาง่ายๆ หมอเถาเดี๋ยวหลวงตาเข้าใจผิด” ครูก้อนดุหมอเถา แล้วก็อ้อนวอนหลวงตา “ทิดจวงก็เหมือนลูกศิษย์ของหลวงตาคนหนึ่งไฟกำลังไหม้ทิดจวง หลวงตาจะยืนเฉยอยู่ได้หรือขอรับ”
หลวงตาหยุดยั้งลังเลใจ หมอเถาและครูก้อนเข้ายึดแขนท่านไว้คนละข้าง พยุงกึ่งลากหลวงตาฝ่าคนที่มุงเข้าประตูบ้านคุณนายทรัพย์ล่วงเข้าไปจนถึงห้องกลาง คู่กรณีพิพาทอยู่กันพร้อมหน้า คุณนายทรัพย์ยืนเท้าสะเอวหน้าเขียวด้วยฤทธิ์โทสะแต่ทิดจวงนั้นหน้าขาวซีดเหมือนกระดาษ ข้างแม่ศรีลูกสาวคุณนายเอาแต่ก้มหน้าร้องไห้ร้องห่มท่าเดียว
คุณนายทรัพย์พอเหลียวเห็นหลวงตาก็ทรุดตัวลงไหว้เคารพ ทิดจวงพอเห็นหลวงตาเหมือนเห็นพระมาลัยมาโปรดสัตว์ ปราดเข้าเกาะชายจีวรไว้ทันที แววตาเหมือนเด็กถูกเฆี่ยนกำลังขอร้องวิงวอน
“หลวงตาช่วยผมที ผมตายแน่” ทิดจวงพูดเสียงเครือเหมือนคนกำลังจะร้องไห้
หลวงตายังไม่ทันเอ่ยว่ากะไร คุณนายทรัพย์ก็แหวขึ้นอีก จึงโบกมือห้าม “เบาๆเถอะคุณนายมันเรื่องร้ายแรงอะไรก็ค่อยพูดค่อยจากันก่อน อย่างให้รู้หูชาวบ้านอายเขาเปล่าๆ มันเรื่องภายในครอบครัว พูดบอกให้อาตมารู้บ้าง อาตมาเป็นสงฆ์ไม่ลำเอียงเข้าข้างใครหรอก”
คุณนายได้สติและเกรงใจหลวงตาแต่เดิม จึงค่อยสงบเลี่ยงมาปูเสื่อนิมนต์หลวงตานั่งบนยกพื้นริมห้อง ส่วนตัวเองทรุดนั่งลงกับพื้น ทิดจวงหัดไปจูงมือเมียมานั่งอยู่ข้างหนึ่ง หมอเถานึกอายชาวบ้านแทนทิดจวงจึงแอบไปงับประตูบ้านเสีย
“คุณนายลองเล่าเนื้อหาเรื่องราวมันยังไงกัน” หลวงตาถามช้าๆอย่างตั้งใจ
คุณนายทรัพย์เหลือบค้อนทิดจวงลูกเขยก่อนเล่า “ของมีค่าของอิฉันหาย แล้วก็ไม่มีใครนอกจากทิดจวงคนเดียวเท่านั้น”
ทิดจวงสอดทันควันไม่ลดละ “ไม่จริงครับหลวงตาผมบวชแล้วเรียนแล้ว คุกเข่ารับศีลมาจนหัวเข้าด้านไม่ประพฤติอทินนาแก่ทรัพย์ของใครแน่”
หลวงตาเบาใจลงเป็นกองที่มิใช่คดีกาเมสุมิจฉาเหมือนที่ระแวงคิดอยู่ จึงโบกมือห้าม เพราะคุณนายทรัพย์กำลังจะแผดเสียงออกมาอีก
“เดี่ยว ทิดจวงให้คุณนายเขาเล่าก่อน เรื่องมันมีมูลมาอย่างไร”
“ของมีค่าของอิฉันให้นังหนูเอาไว้ เขาเก็บไว้ในห้องนอนแล้วอยู่ๆ ก็หายไปเขาอยู่กันสองคนผัวเมียเท่านั้นจะมีใครเจ้าค๊ะหลวงตา”
หลวงตาหันมาซักแม่ศรีที่นั่งก้มหน้าอยู่ข้างสามี “ของอยู่ที่แม่หนูตามที่แม่เขาบอกจริงหรือ”
“เจ้าค่ะ” เธอเงยหน้าเปียกน้ำตาตอบ “อันที่จริงของสิ่งนี้คุณแม่ยกให้เป็นสมบัติของหนูแล้ว เมื่อมามีอันเป็นต้องหายไปหนูก็ไม่ติดใจถือเสียว่าเป็นคราวเคราะห์”
คุณนายทรัพย์แหวลูกสาวทันควัน “ช๊ะ…นังหนู เป็นเมียทิดสึกจากพระหน่อยทำเป็นใจพระไม่เอาเรื่อง ของมีค่าเป็นเรือนพันเรือนหมื่น”
หลวงตาว่า “อ้อ เป็นเรื่องของหาย ฉันพอสงเคราะห์มูลเหตุได้บ้าง”
ทิดจวงพูดเหมือนปรับทุกข์กับตัวเอง “เมื่อตอนสึก หลวงตาก็ให้ฤกษ์ผานาทีมาดีแล้ว ไม่น่าเกิดเรื่องเช่นนี้เลย”
“เอ็งจะโทษฤกษ์ของข้าละซีทิดจวง” หลวงตาจ้องหน้าเขม็ง “ฤกษ์เขาใช้ทำความดีมีสิริมงคล แต่ถ้าคนมันทำชั่วก็ต้องได้รับผลชั่ว เหมือนฤกษ์โจรปล้น พาคนติดถูกมาเสียนัก”
ทิดจวงรีบพนมมือไหว้ “อภัยเถอะครับหลวงตา ผมมิได้ลบหลู่หลวงตาหรอก มันกลุ้มใจน้อยใจในวาสนาตัวเอง”
หลวงตาหันไปทางคุณนายทรัพย์ “ธรรมดาของหายมันต้องคิดอ่านหาของให้ได้ ไม่ใช่คิดหาตัวคนขโมยก่อนไม่ถูกต้อง"
คุณนายทรัพย์พอสงบสติได้บ้างก็ได้คิด “เจ้าค่ะ อิฉันอยากจะให้หลวงตาจับยามดูว่าของมันหายไปได้อย่างไร อยู่ที่ไหน จะติดตามยังไง”
“อ๋อ ได้ซี” หลวงตารับคำเต็มใจ “ของมันอยู่ที่แม่หนูเขาเป็นสิทธิของเขา มันต้องเอาดวงแม่หนูเขามาดู”
“ดวงแม่ศรี ที่หลวงตาผูกไว้ให้ก็ยังอยู่” ทิดจวงลุกขึ้นเข้าห้องไปหยิบมาส่งให้หลวงตาชื้น พร้อมทั้งแป้งผัดหน้าอีกกำมือเพราะรู้ใจอาจารย์
หลวงตารับแป้งมาขีดดวงเขียนดาวตัวโตลงบนพื้นกระดานที่นั่งตามดวงเดิม ข้างหมอเถากะครูก้อนแอบกระแซะเข้าไปใกล้ๆ เพื่อจะได้ดูถนัดๆ
หลวงตาชื้นนับนิ้วพึมพำไล่อายุแล้วพิจารณาดูดวงดาวนิ่งอยู่นาน จนหมอเถาอดสงสัยมิได้ต้องเอ่ยปากถาม
“เป็นยังไรคะรับหลวงตา” หลวงตาครางอือในคอ “มันยากเว้ยหมอเถา”
“ดวงมันยาก ดูยากอย่างนั้นหรือคะรับ” หมอเถาถามไม่ค่อยแน่ใจ เพราะไม่เคยได้ยินหลวงตาชื้นพูดคำนี้มาก่อน
“มันยากปากที่จะพูดบอก” “มันยากใจยากปากที่จะพูดบอก” หลวงตาถอนหายใจยาว แล้วหันมาทางคุณนายทรัพย์ “ขอถามอะไรแน่ใจก่อน “
“เชิญเถอะเจ้าค่ะ”
“ของที่หายเป็นแหวนเพชรใช่ไม๊” หลวงตาทั้งถามทั้งทายพร้อมๆกัน “เป็นของเก่าแก่นมนานมาแล้ว”
คุณนายทรัพย์ตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง เพราะนึกไม่ถึงว่าหลวงตาจะทายเหมือนเห็น “ใช่เจ้าค่ะ เป็นแหวนเพชรน้ำงามจริงๆ ตกทอดมาตั้งแต่คุณแม่อิฉัน ราคาร่วม 100 ชั่ง”
ทั้งหมอเถาและครูก้อน ตกใจในอภินิหารของหลวงตาชื้นผู้เป็นอาจารย์ จนพูดอะไรไม่ออกได้แต่มองสบนัยน์ตากันและกัน “ถ้าเช่นนั้นมันก็เข้าเค้าละ” หลวงตาพูดลอยๆ “ถ้าจะเอาของเห็นทีจะสูญเสียมากกกว่า เพราะของมันเดินทางเปลี่ยนแปลงไปเสียแล้ว แต่ถ้าจะเอาคนก็พอจะได้ตัวแน่”
ดวงตาคุณนายลุกวาวบอกความแค้นใจเต็มที่ “ถ้าไม่ได้ของก็ต้องเอาคนละเจ้าค่ะ ต้องขอเอาเข้าคุกให้หายเจ็บใจให้ได้”
ทิดจวงมองหน้าหลวงตาไม่เข้าใจคำอรรถคำแปล ภายในหัวใจเต้นอ่อนลงแทบจะหยุด ทั้งหมอเถาครูก้อนพลอยใจหายวับๆหวำๆแทบนั่งไม่ติด
หลวงตาหันทางลูกสาว “แม่หนูเธออยากให้ผัวถูกจับเข้าคุกหรือไม่ล่ะ”
“ไม่เจ้าค่ะ” แม่ศรีรีบตอบปนเสียงร้องไห้ คนทั้งหมดมองหน้าทิดจวงเป็นตาเดียวกัน นึกเสร็จแน่ๆ ตัวทิดจวงเหงื่อไหลเหมือนอาบน้ำ
หลวงตากวักมือเรียกแม่ศรีเข้าไปใกล้ ๆ กระซิบกระซาบไม่มีใครได้ยินอยู่พักใหญ่ เห็นแต่แม่ศรีพยักหน้ารับคำน้ำตาไหลนองแก้ม ลงท้ายที่สุดหลวงตาก็พูดดังพอได้ยินกันทั่วๆไป “ถ้าแม่หนูไม่อยากให้ผัวเธอเข้าคุก ก็ต้องพูดกับแม่เอง อย่าให้อาตมาต้องเป็นคนบอกเลย จูงแม่เข้าไปพูดกันสองต่อสองในห้องในหับ เพราะคงจะต้องพูดกันนาน”
แม่ศรีลุกขึ้นจูงมือแม่ คุณนายเองก็งงๆไม่เข้าใจถ้อยคำของหลวงตาจึงตามลูกสาวเข้าไปในห้อง
ทิดจวงคลานเข้ามากราบตักหลวงตาถาม “หลวงตากระซิบบอกอะไรกะแม่ศรีเขาครับ หรือในดวงมันบ่งว่าผมขโมยเขา”
หลวงตาลูบหัวทิดจวงอย่างเมตตา “สบายใจเถอะว๊ะทิดจวงเอ็งไม่ติดคุกแน่ ข้าช่วยเอ็งแล้ว แม่ลูกเขาพูดจากันเอง ทำใจให้สบายเถอะหมดเคราะห์แล้ว ฤกษ์สึกของข้ามันยังขลังอยู่ว่ะ”
หมอเถาคุกเข่าชะโงกดูดวงให้ถนัดตา และอยากออกความเห็นว่า “อายุย่างเข้า 26 ปีนี้ อาทิตย์เป็นกาลกิณีเรือนกฎุมภะพอดี มิหนำซ้ำอาทิตย์กาลกิณีจรถึงอังคารกาลกิณีเดิมอีก มันถึงเสียทรัพย์จนได้”
“เออหมอเถามันมักง่าย มองแต่กาลกิณีท่าเดียวเอาแต่สะดวก ๆ” หลวงตาตำหนิเอาซึ่งๆหน้า “ไหนลองบอกต่อไปอีกซิว่า ทำไมมันถึงหายใครเป็นคนเอาไป”
หมอเถาจับตาดูดวงอึกอักเพราะไม่นึกว่าจะถูกซักละเอียดละออเช่นนั้น “ไม่รู้ครับ รู้แต่ทรัพย์มันเสียเท่านั้นเอง” หลวงตากวาดนิ้วชี้ดูดวงดาวในกระดานพื้น “มันต้องดูเสียก่อนว่าอาทิตย์จรที่มาครองอยู่เรือนทรัพย์เขานั้น อาทิตย์จรนั้นเป็นใครมาจากไหน”
หมอเถาอ่านดวงตอบ “อาทิตย์เดิมอยู่วินาสน์ลัคนา และอาทิตย์จรนั้นคือเจ้าเรือนลัคนาคือตนุลัคน์นั่นเอง”
“เออ…ล่ะ” หลวงตาหันมาไล่เบี้ยหมอเถาต่อไปอีก “เรือนวินาสน์แปลว่าคิดไม่ถึง ซ่อนเร้นปิดบังสูญเสีย ลองเอาความหมายมาปะติดปะต่อกับคำว่าตนุลัคน์ ที่หมายถึงตัวเองดูซิมันหมายความว่ากะไรกับเรือนทรัพย์”
หมอเถานิ่งนึกตาจับดูดวง “ทรัพย์สินสูญเสียเพราะตนเองหรือตัวเองทำให้ทรัพย์เสียโดยนึกไม่ถึงหรือตัวเองแอบปิดบังทำให้เสียหาย”
"มันก็ความหมายเดียวกันนั่นเอง” ครูก้อนเอยขึ้นบ้าง “ถ้าเช่นนั้นตัวเองก็เป็นคนเอาไปหรือทำหายน่ะซีขอรับ”
“ยังไม่หมดต้องอ่านต่อไปอีก แค่นั้นยังไม่พอ” หลวงตาชี้กระดาน “พุธเจ้าเรือนกฎุมภะจร ที่เสียหายนั้นจรไปอยู่ที่ใด และพุธเดิมเป็นอะไร”
“พุธจรอยู่เรือนสหัชชะ เพื่อนฝูงคะรับ” หมอเถาพอถูกจูงชักตอบคล่อง “หมายถึงว่าทรัพย์นี้ไปตกอยู่กับเพื่อน พุธเดิมก็วินาสน์ลัคนาอยู่และพุธคือคำพูด ก็หมายถึงถูกหลอกลวงด้วยคำพูดถูกอุบายเช่นนั้นกระมังคะรับ”
“เออ…ใช่แล้ว” หลวงตายิ้มถูกใจ “เรือนสหัชชะ มันแปลว่าเดินทางหรือเปลี่ยนแปลงก็หมายถึงว่าทรัพย์นั้นมันเปลี่ยนแปลงและเดินทางไปเสียเล้วนั่นเอง เมื่อดูแล้วเจ้าเรือนสหัชชะคือศุกร์เป็นเกษตรร่วมพุธจรตัวทรัพย์อยู่ เพื่อนนั้นมันก็รวยเป็นเศรษฐีเพราะทรัพย์นั่นไปเลย”
“แล้วหลวงตากระซิบบอกกับแม่ศรีเขาอย่างไรคะรับ”
หลวงตาหัวเราะชอบใจ “ข้าบอกแม่ศรีเขาว่า ทรัพย์นี้เธอเป็นคนเอาไปให้เพื่อนเขาเอง และถูกหลอกไปเสียแล้วไม่ได้คืนแน่ เธอก็รับว่าเพื่อนสาวยืมไปแต่งตัวจะไปงานออกหน้าออกตา แต่กลับหนีออกจากบ้านไปกับคู่รักเข้ากรุงเทพฯ ถ้าจะว่ากันไปเธอเองเป็นตัวการควรรับผิดกับแม่เขาเสีย มิฉะนั้นเสียทรัพย์แล้วจะเสียผัวอีกด้วย เธอก็รับว่าจะพูดกับแม่เอง เพราะถึงอย่างไรก็คงฆ่ากันไม่ตายขายไม่ขาด”
ทิดจวงนั่งฟังสีหน้ามีเลือดมีฝาดจนเห็นชัด ยกมือท่วมหัว “เจ้าประคุณ ผมรอดตัวเพราะหลวงตาแท้ ๆ ม่ายเช่นนั้นตายแน่”
หมอเถาก็ก้มลงกราบบ้าง แล้วถาม “ที่หลวงตาทายเขาว่าแหวนเพชรนั้น เพราะอะไรคะรับ ผมมองดูเท่าไหร่ก็มองไม่เห็น”
“เดา ๆ เอาตามดาวมันว่ะ” หลวงตาหัวร่อชอบใจ “ลองทายดูเค้าเรือนกดุมภะดูก่อนถ้าถูกต้องเรื่องอื่นที่มันต่อเนื่องกันอยู่ก็ควรจะถูกต้องด้วย”
“ดาวมันบอกว่าเป็นแหวนเพชรเช่นนั้นหรือขอรับ” ครูก้อนยังติดใจสงสัย
"ดาวมันสิบดวง จะให้มันบอกตรง ๆ ถึงสิ่งของเป็นแสนเป็นล้านสิ่งได้อย่างไร มันต้องอ่านประกอบเอาแนวเข้ากับเรื่อง คือว่า อาทิตย์ หมายถึง มีแสงมีค่ามีเกียรติ มฤตยูหมายถึงวงกลมๆ หรือเก่าดับสูบ เมื่อวงกลมๆมีค่ามีแสง มีเกียรติมันก็พอเดาได้สองสิ่งคือแหวนเพชรกับกำไลเพชรของเก่าแก่นานมาแล้ว ที่ไม่ทายกำไลเพชรก็เพราะคนโบราณเขาไม่ทำกำไลเพชรใส่ข้อมือ มีแต่กำไลข้อเท้า และคนสมัยนี้มันก็ไม่ใส่กำไลเท้ามันก็เดาได้ว่าต้องเป็นแหวนเพชร”
ทั้งหมอเถาและครูก้อนได้แต่นั่งอ้าปาก ฟังคำอธิบายนิ่งคิดในใจแต่เพียงว่า อีกนานกว่าตนจะรอบรู้ความหมายของดาวได้ละเอียดชัดเจนเท่าอาจารย์
หลวงตาชื้นคว้าบาตรลุกขึ้นยืน “ไปกันเถอะวะข้าชักหิวแล้ว ประเดี๋ยวจะเลยเวลาฉันเช้า เรื่องของเขาแม่ลูกยังอีกมาก ไม่ต้องรอบอกลาเจ้าของบ้านหรอก ช่วยเอาทิดจวงรอดตัวมาได้ก็พอใจแล้ว"
ทิดจวงก้มลงกราบลงบนเท้าหลวงตาอย่างระลึกถึงพระคุณไม่รู้ลืม และมองตามจนหลวงตาล่วงพ้นประตูลับหลังไป พร้อมด้วยหมอเถาและครูก้อน