Welcome to
ห้องโหรแว่นทิพย์
ศาสตร์แห่งปัญญาเพื่อชีวิตที่ดีกว่า

ถนนท่าพระจันทร์ที่วางตัวอยู่บริเวณมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ถนสายเล็กนี้ถือได้ว่าเป็นถนนที่เก่าแก่ผ่านร้อนผ่านหนาวมามากทั้งเหตุการณ์ร้ายและดี มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์สังคมไทยมากมาย และนักศึกษาธรรมศาสตร์ทุกคน ย่อมมีความผูกพันกับถนนสายนี้เรียกว่าเป็นลมหายใจของนักศึกษาที่อยู่คู่ลูกแม่โดมตั้งแต่อดีต มาจนถึงปัจจุบัน
สัญลักษณ์ที่สำคัญอย่างหนึ่งของท่าพระจันทร์ นอกเหนือจากแผงพระแล้ว ก็ยังมีบรรดา หมอดู ที่เป็นอีกอาชีพที่อยู่คู่กับถนนสายนี้
คอยทำหน้าที่บอกกล่าวเล่าเรื่องในอนาคตที่ยังไม่เกิด
คอยให้คำปรึกษาในเรื่องที่ไม่สบายใจ เรื่องที่หาทางออกไม่ได้ราวกับนักจิตวิทยา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องงาน เงิน ความรักให้คนได้รับรู้ เพื่อหาทางแก้ไข
เราเรียกคนเหล่านั้นว่า หมอดูท่าพระจันทร์
จุดเริ่มต้นของถนนแห่งโชคชะตา
ต้นกำเนิดของถนนสายแห่งโชคชะตาแห่งนี้ ทำไมหมอดูทั้งหลายต้องมารวมกันที่นี่เพื่อมา
ทำนายดวงชะตา บอกเล่าให้คำปรึกษากับคนที่นั้น อ.ประภาส ณ ท่าพระจันทร์ หมอดูในยุคบุกเบิกรุ่นแรกเล่าให้ฟังว่า
ที่ตรงนี้เป็นที่ที่ดีมาก พวกหมอทั้งหลายก็เลยรวมใจกันมาดูที่นี่ เนื่องจากการแยกตัวออกมาจากสมาคมหมอดู ที่นี่เริ่มเป็นสังคมการดูหมอ และเป็นแหล่งรวมหมอดูตั้งแต่ ปีพ.ศ. 2525 จากวันนั้นถึงวันนี้เป็นเวลากว่า 22 ปี โดยเริ่มมีที่มาดูกันจริงแค่ 5 คน และผมก็เป็นหนึ่งในนั้น และมันก็มากขึ้นเรื่อยๆ ปากต่อปากเพราะที่นี่ค่อนข้างแม่น บวกกับเป็นที่ที่ดี หาเงินคล่อง จนเป็นประโยคที่มีการพูดติดปากว่า ถ้าดูหมอต้องไปท่าพระจันทร์ จะซื้อผ้าต้องไปพาหุรัด จะซื้อเพชรพลอยต้องไปบ้านหม้อ
อ.ประภาสเล่าถึงความหลังครั้งเก่าว่า เมื่อสมัยก่อน ตอนที่ผมมาแรกๆ มหาวิทยาลัยยังเป็นรั้วไม้อยู่เลย ที่ตรงท่าเรือท่าพระจันทร์ยังเป็นที่เปิดโล่ง ไม่มีหลังคาคลุมเหมือนเดี๋ยวนี้ เวลาดูแดดก็ร้อน เวลาฝนตกทีวิ่งเก็บของกันแทบไม่ทัน จนตอนนี้มีหลังคาและจัดระเบียบเป็นสัดส่วน เราก็พยายามทำไปเรื่อยมาพออยู่ได้ ไม่ได้ร่ำรวยอะไร แต่ด้วยความแม่นของหมอดูสร้างชื่อให้ที่นี่จนตอนนี้มีหมอมากขึ้น มีคนมาดูมากขึ้น จนเป็นสังคมหมอดูทุกวันนี้
ตั้งแต่ปี 2525 ที่มีหมอดูแค่ห้าคน จนในปัจจุบันนี้อาชีพดังกล่าวเป็นอาชีพที่ทำเงินสร้างรายได้คล่องบวกกับคนดูและคนสนใจในศาสตร์นี้เพิ่มขึ้นอย่างมาก จาก 5 รายในระยะแรกเริ่ม ณ เวลานี้มีหมอดูเพิ่มเป็นจำนวนกว่า 20 ราย และศาสตร์วิธีดูก็เพิ่มขึ้นมากมายหลายแขนง ไม่ว่าจะเป็นการดูวันเดือนปีเกิดแบบไทย และแบบจีน ไพ่ป๊อก ระบบเลขเจ็ดตัวแบบพม่า โหงวเฮ้ง ตำราไทย จีน ฝรั่ง ไปจนกระทั่งถึงฮวงจุ้ย ผูกดวงเนื้อคู่ การงาน เต็มบริเวณท่าน้ำ ทั้งสามซอยคลาคล่ำไปด้วยล็อกเล็กๆ หลายล็อก แต่ละรายก็จะมีคำโฆษณาถึงความแม่นยำ บางเจ้าก็ประดับรูปคนดัง รูปดาราที่เคยมาดู เพื่อสร้างความเชื่อถือให้แก่คนดู
อ. จอย หรือ วิลาศินี โตวิจิตร หมอดูไพ่ยิปซีชื่อดังแห่งซอยกลางท่าพระจันทร์กล่าวว่า หมอดูคือนักจิตวิทยา และเป็นที่ปรึกษาของคน ตามความคิดนักจิตวิทยาหมอดูใกล้เคียงกันเลยทราบว่าพื้นฐานของคนที่มีปัญหาต่างๆเราก็เหมือนเป็นที่ปรึกษา และเป็นนักจิตวิทยาที่ดีเหมือนกัน การดูดวงเป็นการหาคำตอบ เขาอาจจะมีคำตอบอยู่แล้วแต่ที่มาก็เพื่อหาความมั่นใจ ทั้งเด็กที่มาปรึกษาเอนทรานซ์พี่ให้ความสำคัญกับเด็กกลุ่มนี้มาก พี่ก็ไม่ได้คิดเงินแพง เราก็เปิดรับฟังให้ความมั่นใจ เด็กก็มีจุดยืน อีกกุล่มผู้ใหญ่ก็หาจุดยืนในแต่ละช่วงเศรษฐกิจ เราก็บอกเขาเพื่อทางออกที่ดีกล่าวถึงกรณีดังกล่าวว่า ในปัจจุบันคนดูเพิ่มมากขึ้น ด้วยปากต่อปากก็เลยเพิ่มมาก มิใช่สังคมอ่อนแอ เพราะถ้าเรามองว่าสังคมอ่อนแอหรือไม่ คนไร้ที่พึ่งหรือไม่ พี่คิดว่าไม่นะ ต้องมาดูที่สภาพแวดล้อมที่เกิดขึ้นปัจจุบันมากกว่า ดูที่กลุ่มเด็กก่อนระบบการศึกษาเริ่มเปลี่ยนแปลง มีการแข่งขันเพิ่มขึ้น เปลี่ยนรูปแบบการเอนท์แบบใหม่ เด็กก็จะเกิดความสับสนว่าเดินทางไหนดี อีกส่วนหนึ่งก็คือเรื่องเศรษฐกิจ เมื่อมันตกต่ำ พนักงานโดนปรับออก ทุกคนย่ำแย่ต้องออกจากงานออกจากราชการเพื่อหาจุดยืนของตัวเอง เขาก็ใช้ตรงนี้เป็นที่ปรึกษาในการเดินต่อไป
รายได้ของหมอ กับเรื่องยอดฮิตของคนดู
ในกลุ่มคนดูเองก็เพิ่มมากโดยจะเป็นผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย ในกรณีนี้ อ.ประภาสเล่าว่า กลุ่มคนที่มาดูจะเป็นผู้หญิงมากกว่า เพราะด้วยมาจากการคิดมาก ปัญหาเยอะ เรื่องที่มาดูส่วนใหญ่เป็นเรื่องความรัก การเงิน ผู้ชายก็จะมาดูเรื่องการงาน เรื่องครอบครัว
ส่วนกลุ่มนักศึกษาปัญหาส่วนใหญ่ก็จะเป็นเรื่องการเรียน ความรัก การเลือกคู่ครอง เป็นต้น ธัญญลักษณ์ พลวรรณ หรือ นิกส์ บัณฑิตสาวที่เพิ่งจบจากมหาวิทยาลัยกรุงเทพ กล่าวว่า ปัญหาส่วนใหญ่ที่จะสนใจก็จะเป็นปัญหาทางด้านความงามและความรัก ซึ่งก็ไม่ต่างจาก แหม่ม อันติมา ชุมกุล เล่าให้เราฟังว่า เรื่องที่มาดูบ่อยก็เป็นเรื่องอนาคต เริ่องเงินทอง นอกจากนี้ก็เป็นเรื่องความรัก ซึ่งเรื่องดังกล่าวนี้เป็นเรื่องที่ถูกถามมากที่สุดจากปากคำของหมอดูทุกท่าน
อาชีพหมอดูหลายคนที่ไม่เข้าใจอาจจะคิดว่าเป็นอาชีพที่สบาย ไม่ต้องใช้แรงกำลังอะไรมากมาย แต่ในความเป็นจริงแล้วศาสตร์ที่ว่านั้นเป็นสิ่งที่ลึกซึ้งที่ต้องใช้ระยะเวลาในการศึกษา และใช้ความอดทน ลองผิดลองถูกกันมากมายหลายชั่วอายุคน
แล้วรายได้ของพวกเขาที่ได้นั้นจะพอกินพออยู่หรือไม่เป็นคำถามที่น่าสนใจ เท่าที่สอบถามหมอดูทั้งหลายทั้งในย่านท่าพระจันทร์และย่านอื่นๆ พวกเขามีรายได้เฉลี่ยวันละ 500 บาท ซึ่งก็ไม่แน่นอน พวกเขาเล่าให้ฟังว่าในบางที 3-4 วันก็ยังไม่ค่อยมีลูกค้า แต่ถ้าบางวันก็ได้เยอะเป็นพันซึ่งก็ไม่แน่นอน
อ.เพชรมงคล สิทธิมโน รายได้ก็พอเลี้ยงตัวได้เท่านั้น ไม่ได้ร่ำรวยอะไร ขึ้นอยู่กับคนดู
ด้าน อ.ประภาส กล่าวว่า รายได้พอเลี้ยงตัวได้ หมอดูที่ไหนรวย มาบอกผมที ประมาณเฉลี่ยวันละ 500 บาทไม่แน่นอน
แม่นไม่แม่นขึ้นอยู่กับอะไร
จากประสบการณ์คนที่เคยดูหมอนั้นเจอทั้งหมอดูแม่นและไม่แม่น หลายคนอาจสงสัยว่าทำอย่างไรถึงจะแม่น หลายคนอาจสงสัยว่าทำอย่างไรถึงจะแม่น และไม่แม่นเกิดจากอะไร พศภาศ ทองคำ หมอดูไพ่ยิปซี และยังเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยหอการค้าไทยกล่าวว่า ความคิดเกี่ยวกับศาสตร์การดูหมอ มันเป็นจิตวิทยาส่วนหนึ่ง แต่ก็เป็นการบำบัดทางด้านจิตใจด้วยส่วนหนึ่ง ถ้าถามว่าแม่นไหม ผมคิดว่าราว 60 % ที่มีโอกาสที่จะเกิดผมเชื่อว่าคนเราทุกคนมันได้รับการกำหนดอยู่แล้ว ส่วนอีก 40 % ที่หายไป ผมคิดว่าขึ้นอยู่กับจิต และสมาธิของคนที่มาดู ตำราที่เรียนมา และก็จิตใจของเจ้าชะตามาที่มา
กลุ่มที่มีความสำคัญที่ทำให้หมอดูอยู่ได้นั้นคือกลุ่มลูกค้าที่จะสามารถทำให้หมอดูทั้งหลายใช้ชีวิตอยู่ได้ กับคำกล่าวที่ว่าหมอดูคู่หมอเดานั้น คนดูเองเป็นผู้ให้ตำตอบได้ดีที่สุด ลองมาฟังความคิดเห็นของเขาเหล่านั้นกับการดูหมอในแต่ละครั้ง
ธัญญลักษณ์ พลวรรณ กล่าว่า ความรู้สึกที่เคยไปดูมา หมอเขาพยายามจะปรับให้มาตรงกับเรา เหมือนเขาจะดูบุคลิกเรา นิสัยเรา ว่าน่าจะมาดูครั้งแรก ต้องเป็นคนที่มีปัญหา ส่วนใหญ่คนในวัยนี้ก็จะมีปัญหาเรื่องความรัก และเรื่องการงาน การที่เขาทายออกมา เขาไม่ชี้จุดไปเลย คลุมเครือ เขาก็จะดูว่าเราคล้อยตามหรือไม่ถ้าใช่เขาก็จะย้ำ เป็นการใช้จิตวิทยามากกว่า แต่บางคนที่ศึกษามาจริงๆ ก็จะมีความแม่นอยู่บ้าง ถ้าจะถามว่าเชื่อหรือไม่ก็ต้องตอบว่าไม่ 100%
วรรณศิดา อนิกมาศิฝนิ นักศึกษาคณะบัญชีปีที่1 จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า โดยส่วนตัวแล้วก็ไม่ได้เชื่อทีเดียวที่ดูไว้เป็นส่วนหนึ่งในแนวทางการดำเนินชีวิตมากกว่า
นฤมล หรือ อิงค์ นักศึกษาคณะศิลปกรรมศาสตร์ เป็นอีกคนหนึ่งที่เป็นลูกค้าที่นี่เผยว่า มาดูที่นี่ทุกปี โดยเราพิจารณาจากสิ่งที่เขาบอกภูมิหลังเรามาก่อน ถ้าใช่อุปนิสัยเราในอนาคตก็ค่อนข้างตรง โดยส่วนตัวก็เชื่อบ้าง แต่เอาคำว่าการดูดวงเพื่อเป็นการป้องกันมากกว่าที่จะเอามาดำเนินชีวิต การที่หมอดูมีเยอะอาจจะทำให้คนดูงมงาย เพราะว่าหมอบางคนก็มีจุดประสงค์มาหลอกลวงเอาเงิน ถ้าเขาเกิดเป็นคนที่ศึกษาจริงก็น่าจะสนับสนุน เพราะวิชาเหล่านี้กำลังจะหายไปในเรื่องโหราศาสตร์
ที่มาจากเว็บ นสพ. ผู้จัดการ