Welcome to
ห้องโหรแว่นทิพย์
ศาสตร์แห่งปัญญาเพื่อชีวิตที่ดีกว่า
โดย : นายแพทย์บวร งามศิริอุดม ผู้อำนวยการสำนักส่งเสริมสุขภาพ กรมอนามัย
เชื่อว่าคุณแม่คุณพ่อแทบทุกคนในปัจจุบัน ต้องรู้จักนักวิทยาศาสตร์ชื่อก้องโลกที่ชื่อว่า ไอน์ส-ไตน์ ไอน์สไตน์ มีความฉลาดทางปัญญา (IQ) ประมาณ 180 ขณะที่คนทั่วไปมีไอคิวประมาณ 90-110 เท่านั้น เขาได้ให้ข้อคิดที่สำคัญไว้ว่า ถ้าอยากจะให้ลูกฉลาด คุณแม่คุณพ่อควรจะเล่านิทานให้ลูกฟังเป็นประจำ และถ้าจะให้ลูกฉลาดมากยิ่งขึ้น ทำอย่างไรรู้ไหมครับ ไอน์สไตน์บอกว่า ต้องเล่านิทานให้ลูกฟังหลายๆ เรื่อง คิดว่าคนที่ฉลาดเช่นนี้ พูดไว้แบบนี้ เราคงต้องเชื่อว่าน่าจะเป็นอย่างนั้นจริงๆ จึงขอขยายความว่าความจริงแล้วนิทานช่วยสร้างสรรค์ให้เด็กฉลาดแบบเบ็ดเสร็จได้อย่างไร
สิ่งแรกสุด เมื่อคุณพ่อคุณแม่เล่านิทานให้ฟัง ลูกต้องได้อยู่ใกล้ชิดคุณแม่คุณพ่อซึ่งเป็นผู้เล่า ทำอย่างนี้ทุกวันความใกล้ชิดในครอบครัวย่อมเกิดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เด็กจะรู้สึกอบอุ่น รู้สึกว่าตนเป็นที่รักของคุณพ่อคุณแม่ คุณพ่อคุณแม่จึงเล่านิทานให้ฟัง ขณะเล่านิทานบรรยากาศที่เกิดขึ้นเป็นบรรยากาศแห่งความสุขของทุกคน คุณพ่อคุณแม่และลูกซึ่งนั่งหรือนอนฟังอยู่อย่างใกล้ชิด เป็นภาพแห่งความอบอุ่นตามธรรมชาติของครอบครัวที่มิรู้ลืม
สิ่งที่เกิดขึ้นอย่างไม่รู้ตัว บางครั้งหรือบ่อยครั้งคุณพ่อคุณแม่อาจจะทำเสียงเลียนแบบตัวละครตามเนื้อเรื่อง ซึ่งจะสร้างความสุขให้กับเด็กอย่างยิ่ง เป็นความสนุกสนานที่ยากจะลืมเลือน สร้างความผูกพัน มั่นใจ เชื่อมั่นในตนเอง ซึ่งจะเสริมปัญญาเด็กได้อย่างดี
ประการที่ 2 ขณะเล่านิทานให้ลูกฟัง ลูกอาจจะไม่เข้าใจข้อความบางตอนหรือศัพท์บางคำ ลูกก็อาจจะขอให้เล่าซ้ำ หรือถามคำถามว่าหมายถึงอะไร ตรงนี้แหละจะสร้างให้เด็กเป็นคนกล้าถาม คนกล้าถามแสดงว่ามีใจอยากรู้อยากเห็น และช่วงเวลาอย่างนี้คุณพ่อคุณแม่ก็มักจะมีอารมณ์ในการตอบอย่างสนุกสนานด้วย หากถามมากแล้วได้รู้คำตอบทุกครั้ง ก็ยิ่งสร้างให้เด็กเข้าใจสิ่งต่างๆ รอบตัวสะสมมากขึ้นไปเรื่อย เป็นเด็กที่ฉลาดมากขึ้น มีความมั่นใจมากขึ้น บางครั้งหากคุณแม่เล่าเรื่องเดิม แต่คุณแม่เล่าผิดเพี้ยนไปจากเดิมบ้าง แต่ลูกจำได้ลูกก็จะแสดงความคิดเห็นออกมา ทำให้เด็กกล้าแสดงความคิดเห็น การแสดงความคิดเห็นถูกจังหวะอย่างนี้เรียกว่ามีความฉลาดทั้งปัญญา (IQ) และฉลาดทางอารมณ์ (EQ) ด้วย
ประการที่ 3 การเล่านิทานเปรียบเหมือนเป็นการสอนภาษาไทยไปในตัว เด็กจะได้ยินได้ฟังถึงรูปประโยค การใช้ภาษาไปในตัวอย่างสนุกสนาน โดยไม่ต้องยัดเยียดแบบการเรียนไวยากรณ์ไทยในสมัยก่อน ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเบื่อ ยิ่งถ้านิทานบางเรื่องเป็นโคลงหรือกลอนหรือฉันทลักษณ์อื่นๆ มีคำสัมผัสต่างๆ เด็กยิ่งจะชอบ ฟังบ่อยๆ พลอยจะเป็นคนเจ้าบทเจ้ากลอนในอนาคตได้ เป็นการซึมซับแบบไม่รู้ตัว เด็กคงจะมีทัศนคติที่ดีในการเรียนภาษาไทยต่อไป
การเล่านิทานเรื่องซ้ำให้เด็กฟัง ความจริงใจไม่ใช่เรื่องน่าเบื่อสำหรับเด็ก เด็กจำนวนมากยังอยากจะให้คุณพ่อคุณแม่เล่าซ้ำเรื่องเดิมหลายๆ ครั้งโดยไม่รู้เบื่อ ผลจะเกิดอะไรขึ้น รอบแรกๆ ลูกอาจจะเข้าใจในแต่ละช่วงๆ แต่ละตอน แต่อาจจะปะติดปะต่อไม่ได้ ฟังหลายๆ ครั้งก็จะจำได้ทั้งเรื่อง เด็กจะมองภาพรวมของเรื่องทั้งหมดออก ทำให้เด็กรู้จักจับประเด็น เป็นคนจับประเด็นเก่ง ย่อความเก่งต่อไป รู้จักมองสรรพสิ่งเป็นระบบ มีความคิดรวบยอดสูง คนเก่ง คนฉลาด ล้วนแล้วแต่เป็นคนที่จับเรื่องจับประเด็นได้เร็ว มองอะไรทะลุปรุโปร่ง คิดอะไรมองอะไรเป็นระบบ ตีบทแตก ตีประเด็นแตก เข้าใจเรื่องเร็ว นี้คือความฉลาดประการที่ 4
ช่วงของการเล่านิทาน เด็กมักจะฟังอย่างใจจดใจจ่อ ตั้งอกตั้งใจ ยิ่งคุณแม่คุณพ่อเล่านิทานที่เหมาะสมกับอายุเด็ก เด็กจะเข้าใจและอยากรู้ต่อไปว่าจะเกิดอะไรขึ้น ช่วงนี้แหละเป็นการสร้างสมาธิให้กับเด็ก พบว่าเด็กฉลาดหรือคนเก่งมักจะเป็นคนที่มีสมาธิสูง สมาธิจึงเป็นองค์ประกอบของความฉลาดทางปัญญา (IQ) จากการเล่านิทานประการที่ 5
คุณแม่คุณพ่ออาจจะคิดไปว่า สิ่งที่คุณแม่คุณพ่อเล่าให้ลูกฟัง ลูกได้ยินแต่เสียงอย่างเดียว ความจริงไม่ใช่เพียงเสียงที่ได้ยินเท่านั้น เสียงที่เล่าออกมาจะไปกระตุ้นให้เด็กสร้างจินตนาการเป็นภาพทุกขั้นตอนที่คุณแม่เล่า เช่น คุณแม่เล่าว่า หมาตัวหนึ่งคาบก้อนเนื้อกำลังเดินข้ามลำน้ำแห่งหนึ่ง ขณะที่มันกำลังเดินอยู่บนสะพานนั้น มันได้ชำเลืองลงไปในน้ำเบื้องล่าง มันได้เห็นหมาอีกตัวหนึ่ง ซึ่งเป็นเงาของตัวมันเอง กำลังคาบก้อนเนื้ออีกก้อนหนึ่ง มันเกิดความโลภขึ้นจนทนไม่ไหว จึงได้กระโจนลงไปในน้ำ เพื่อที่จะแย่งก้อนเนื้ออีกก้อนหนึ่งจากเงาของมันเอง
..
ภาพที่เกิดขึ้นในสมองเกิดจากจินตนาการของเด็กโดยอิงกับประสบการณ์เดิมบวกกับจินตนาการใหม่ เสริมเติมเป็นภาพที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง เคลื่อนไหวไปตามเนื้อเรื่องที่คุณแม่คุณพ่อเล่า คุณแม่คุณพ่อรู้หรือไม่ว่าจินตนาการยิ่งใหญ่กว่าความรู้ จินตนาการสร้างสรรค์สิ่งต่างๆ ใหม่ๆ เกิดขึ้นในโลกเรา เครื่องบิน โทรทัศน์ ฯลฯ เกิดจากจินตนาการมาก่อนทั้งสิ้น ความรู้ทำให้ฉลาดขึ้นระดับหนึ่ง คนที่มีจินตนาการเก่ง ทำความเจริญได้ไม่มีขีดจำกัด นวตกรรมต่างๆ จำนวนมากหรือความคิดสร้างสรรค์เกิดจากจินตนาการ โดยอาจจะอิงบนฐานความรู้หรือไม่อิงก็ได้ การเล่านิทานบ่อยๆ มากๆ เรื่อง เป็นการสร้างจินตนาการพร้อมๆ ไปกับการรับรู้ถึงความรู้ใหม่ที่ลูกยังไม่เคยรู้มาก่อนเพิ่มเติมขึ้นเรื่อยๆ จินตนาการจึงเป็นความฉลาดที่ยิ่งใหญ่ ถือเป็นความฉลาดประการที่ 6 ที่คุณแม่คุณพ่อคงอยากให้เกิดขึ้นกับลูกมาก
คุณพ่อคุณแม่คงจะเห็นด้วย นิทานจำนวนมากแต่งขึ้นเพื่อสอดแทรกคุณธรรม ทักษะชีวิตหรือข้อคิดต่างๆ เป็นอุทาหรณ์ให้ผู้รับฟังได้ตระหนักรู้ไว้ เช่น เรื่อง ราชสีห์กับหนู ที่ราชสีห์เคยไว้ชีวิตหนู ต่อมาหนูได้ช่วยราชสีห์ให้หลุดพ้นจากบ่วงนายพราน สอนถึงการรู้จักช่วยเหลือทดแทนบุญคุณ เรื่อง กระต่ายกับเต่าที่วิ่งแข่งขันกัน ทำให้เห็นว่าความประมาทนำมาซึ่งผลเสียให้กับตนเองได้ คุณธรรมทั้งหลายที่ลูกได้รับฟังตั้งแต่ปฐมวัย จะจำฝังแน่นอยู่ในตัวเด็กนำไปใช้ในวัยรุ่นและวัยผู้ใหญ่ได้อย่างมิรู้ลืม หากคุณพ่อคุณแม่อยากจะสอนคุณธรรมความดีเรื่องใดๆ ให้ลูกยึดถือ เครื่องมือที่ดีที่สุด ได้แก่ นิทาน ยกตัวอย่าง เช่น เราต้องการสอนให้ลูกไม่ให้พูดโกหก เพราะการพูดโกหกจะทำให้คนไม่เชื่อเรา ถ้าพูดเพียงเท่านี้เด็กจะไม่ตระหนักถึงความสำคัญและไม่เห็นเป็นจริงเป็นจัง เมื่อไม่เห็นเป็นจริงเป็นจังก็จะไม่ถือปฏิบัติ หากคุณพ่อคุณแม่เล่าเรื่องเด็กเลี้ยงแกะ (เด็กเลี้ยงแกะคนหนึ่ง ขณะพาแกะไปเลี้ยง ชอบหลอกลวงชาวบ้านหลายครั้ง โดยตะโกนว่า หมาป่า หมาป่าจะมากินแกะทั้งๆ ที่ไม่มีหมาป่ามาสักครั้ง จนกระทั่งวันหนึ่งหมาป่ามาจริงๆ และกินฝูงแกะของเด็ก แม้เด็กจะตะโกนขอความช่วยเหลือจากชาวบ้านว่า หมาป่า หมาป่ามากินแกะ แต่เนื่องจากชาวบ้านถูกหลอกมาก่อนหลายครั้ง ครั้งนี้จึงคิดว่าเด็กโกหกอีก จึงไม่มาช่วยเหลือ ฝูงแกะทั้งฝูงจึงถูกหมาป่ากินหมด
..) ให้ลูกฟัง ลูกจะเข้าใจ
นิทานจึงเป็นการขยายสิ่งที่เป็นนามธรรมให้เป็นรูปธรรมที่เด็กจะมองเห็น คิดออกและเห็นคล้อยได้อย่างง่ายดาย ข้อนี้ถ้าคุณแม่นำไปใช้ปฏิบัติ ก็ถือเป็นความฉลาดของคุณพ่อคุณแม่ได้อย่างหนึ่ง ขณะเดียวกันก็จะสร้างความฉลาดให้ลูกได้เป็นประการที่ 7 คือฉลาดทางอารมณ์ (EQ) อยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุข และพร้อมกันนี้จะเกิดความฉลาดพร้อมกันเป็นประการที่ 8 ตรงที่ว่าต่อไปลูกจะสามารถทำเรื่องยาก เรื่องที่เป็นนามธรรม ให้เป็นเรื่องง่าย เป็นรูปธรรม เป็นเด็กหรือผู้ใหญ่ที่จะพูดคุยให้คนอื่นเข้าใจสิ่งที่ตนเองต้องการสื่อ คือทำให้ผู้อื่นเข้าใจได้ง่าย
ที่พูดมาทั้งหมดข้างต้นทุกข้อ หากมองอีกมิติหนึ่งก็คงสรุปได้ว่าการเล่านิทานเป็นการสร้างการเรียนรู้ให้กับลูกไปในตัว เป็นการเรียนรู้ที่มีความสนุกสนานสอดแทรกอยู่ การเล่านิทานหรืออ่านนิทานให้ลูกฟังบ่อยๆ จึงเป็นการปลูกฝังนิสัยรักการเรียนรู้ของเด็กทุกมิติ เด็กจะเป็นคนรักการอ่านหนังสือ อ่านหนังสือไว มีสมาธิ สนุกกับการเรียนรู้ เกิดพลังของความใฝ่รู้ เป็นนักคิด นักถาม นักค้นคว้า เข้าใจเรื่องได้ไว ฯลฯ ทั้งหมดนี้คือองค์ประกอบที่จะทำให้เด็กฉลาดทางปัญญาทั้งนั้น เมื่อเด็กเข้าสู่ประถมศึกษา การเรียนจะเป็นสิ่งที่เด็กรัก เด็กจะเรียนได้ดี ตรงนี้คงจะสรุปได้ว่า เป็นความฉลาดประการที่ 9
ที่สำคัญเมื่อเด็กเรียนในชั้นอนุบาลหรือชั้นประถม หากคุณครูชอบเล่านิทานให้เด็กฟัง ก็เป็นการต่อยอดความฉลาดให้เด็ก ขณะเดียวกันถ้าจะถามว่าครูที่เล่านิทานให้เด็กฟังบ่อยๆ นักเรียนชอบไหม นักเรียนรักไหม คิดว่าคุณพ่อคุณแม่ซึ่งเคยเป็นเด็กมาก่อน ตอบได้เลยว่าคุณครูคนนั้นจะเป็นที่รักของนักเรียน พูดได้ว่าเป็น คุณครูที่รัก เมื่อคุณครูเป็นครูที่นักเรียนรัก นักเรียนอยากอยู่ใกล้ชิด วิชาใดที่คุณครู คนนั้นสอน นักเรียนก็อยากเรียน ทำคะแนนได้ดี มีข้อค้นพบว่า ครูที่นักเรียนไม่ชอบ นักเรียนคนนั้นจะทำคะแนนในวิชานั้นไม่ดี หากครูทุกคนในโรงเรียนเป็นครูที่ได้ชื่อว่า คุณครูที่รัก นักเรียนจะชอบเรียนทุกวิชา ของยากจะเป็นของง่าย เด็กทั้งโรงเรียนจะเป็นเด็กเรียนเก่ง เป็นเด็กดี ประเทศชาติได้อานิสงส์ไปด้วย
คงพอสรุปได้ว่าหากเด็กเล็กได้อยู่กับคุณพ่อคุณแม่ที่รักลูกผูกพันลูกดีด้วยการเล่านิทาน มาได้ครูอนุบาล ครูประถมที่เป็น คุณครูที่รัก เด็กจะได้ความฉลาดทั้งทางปัญญา (IQ) และความฉลาดทางอารมณ์ (EQ) เท่านี้โลกทั้งโลกก็มีแต่ความสุข เด็กเป็นเด็ก เก่ง ดี มีความสุข
คงต้องเชื่อตามที่ไอน์สไตน์พูดว่าเล่านิทานให้ลูกฟังบ่อยๆ หลายๆ เรื่องลูกจะฉลาด แต่ตอนนั้นไอน์สไตน์อาจจะยังไม่รู้จักคำว่าฉลาดทางอารมณ์ (EQ) และอาจคิดน้อยไปในเรื่องการมีความสุข (Happiness) สมัยนี้เรารู้แล้วว่านิทานมีดีถึง 3 อย่าง คือทำให้ลูกเก่ง ดี มีความสุข วันนี้เมื่อคุณแม่คุณพ่ออ่านจบคงได้สูตรหรือเคล็ดลับในการสร้างลูกให้ได้มากกว่าความฉลาดทางปัญญาแล้วนะครับ
สิ่งนั้นคือ นิทาน ของธรรมดาๆ ที่ทุกคนลืมคิดไป เริ่มต้นเล่าหรืออ่านนิทานให้ลูกฟังวันนี้เถิดครับ ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินแก้ เพื่อไม่ต้องมีข่าวออกมาอีกว่าเด็กไทย IQ ตกต่ำ