
บรรยากาศเมืองกลางป่า"ระนอง"
รู้สึกตัวว่าเข้าเขตจังหวัดระนอง จริงๆก็ตอนที่เม็ดฝนนั้นเริ่ม หยดลงมาเกาะกระจกรถทัวร์ ที่ผมนั่งมองเหม่อผ่านออกไปดูทิวเขาอันสลับซับซ้อน เห็นเม็ดฝนที่เกาะอีกด้านของกระจกนั้นวิ่งเป็นสายด้วยแรงลมพัด ถนนที่พาดผ่านภูเขาคดโค้งมัน จับเราเหวี่ยงไปเหวี่ยงมา จนเวียนหัวไปหมด จะเป็นอีกแล้วหรือ? ผมนึกในใจ ถึงตอนที่ขึ้นรถไปแถว อ.สังขละบุรี ที่ภูมิประเทศใกล้เคียงกันนี้ ตอนนั้นผมก็แทบจะทนไม่ไหวเหมือนกัน ทางมันมีทั้งขึ้นทั้งลง เลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวาพัลวัน กว่าจะไปถึงที่ก็ปวดหัวไปครึ่งซีก

รถเมลล์ไม้สีสดใสที่ยังวิ่งให้บริการอยู่
มีคำกล่าวว่าระนองเป็นเมืองในป่า ซึ่งเป็นป่าดิบชื้นที่ยังคงความสมบูรณ์อยู่มาก ประกอบกับมีพื้นที่ติดต่อกับทะเลระยะทาง 151 กิโลเมตร จึงทำให้จังหวัดระนองกลายเป็นเมืองแห่งฝน ไปโดยปริยาย

หาดแหลมสน
ที่บอกว่า เมืองที่ไม่มีเค้าฝน ก็เพราะเวลานึกจะตกก็ตก ไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย ตามคำที่เขาบอกว่า ฝนแปดแดดสี่ คือฝน 8 เดือน แดด 4 เดือน และในระหว่างวันของช่วงหน้าฝน ฝนก็จะตกทั้งวัน เป็นช่วงๆ ช่วงละประมาณ 15 นาที และหยุดเป็นระยะ เป็นอยู่อย่างนี้ตลอดทั้งวัน

น้ำตกหงาว มองเห็นได้แต่ไกล ด้วยตกลงมาจากภูเขาสูง
เป็นครั้งแรกที่ผมได้มีโอกาสไปเที่ยวจังหวัด ระนอง ด้วยความนิยมส่วนตัวอยู่ก่อนหน้า ว่าจังหวัดระนองนั้นมีประชากรน้อย จึงเป็นเมืองที่สงบเงียบ น่าอยู่มาก เหตุผลอีกอย่างก็คือการจะเข้าไปถึงระนองนั้นค่อนข้างจะยาก จึงทำให้นักท่องเที่ยวชาวไทยนั้นมักจะมองเลยผ่าน จ.ระนองไป ไม่เหมือนกับชาวต่างชาติ ที่รู้จักชื่อเสียงของจังหวัดระนองเป็นอย่างดี ในด้านของแหลงท่องเที่ยวทางทะเลที่สวยงาม มีหมู่เกาะต่างๆมากมาย เช่น เกาะพยาม เกาะช้าง ฯลฯ

สาวๆหามุมถ่ายภาพที่น้ำตก "ปุญญบาล"
ก่อนถึงตัวเมืองระนอง เราแวะพักกันที่น้ำตกปุญญบาล ซึ่งเป็นน้ำตกที่สวยงาม มีต้นกำเนิดมาจาก เขาเมืองสูง เช่นเดียวกันน้ำตกโตนไม้ปัก ซึ่งอยู่อีกด้านหนึ่งของภูเขาลูกนี้ ดูสาวๆที่มากันในคณะของเราจะร่าเริงขึ้นทันทีที่เห็นน้ำตกสวย ตรงที่เนินหินเห็นเป็นลานกว้างประมาณห้าเมตรนั่นสาวๆถ่ายรูปกันเป็นกลุ่ม เนื่องจากเป็นจุดที่มองเห็นฉากหลังน้ำตกที่สวยที่สุด ผมเลือกมุมที่กว้างกว่านั้นด้วยการถอดรองเท้าเดิน ลุยน้ำที่ล้นผ่านสันคอนกรีตท้ายน้ำตกลงไป เพื่อเก็บบรรยากาศแห่งความสนุกนั้นไว้ ยอมเปียกครับงานนี้ มาครานี้เรามีเวลากันไม่มากพอที่จะเดินขึ้นไปชม เส้นทางศึกษาธรรมชาติกัน แค่สามร้อยเมตรเองครับ เสียงเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติลำน้ำกระบุรีบอกกับผม น้ำตกปุญญบาลนั้นมีด้วยกัน 3 ชั้น อีกสองชั้นด้านบน คือโตนไม้ไผ่ และ โตนต้นเฟิร์น ขณะที่ผมกำลังคุยกับเจ้าหน้าที่อยู่นี้ เขากำลังขนไม้ไผ่ป่าแห้งๆที่ตัดออกจากทางเดิน ซึ่งน่าจะเป็นบริเวณที่เรียกว่าโตนไม้ไผ่ นั่นเอง
เราออกจากน้ำตกปุญญบาลไม่นานก็เข้าถึงตัวเมือง ดูเงียบสงบน่าอยู่มากๆ รายได้หลักของจังหวัดระนองนั้น หลังจากเลือกทำเหมืองแร่ไปเมื่อปี 2528 ทางจังหวัดได้ส่งเสริมให้คนปลูก มะม่วงหิมพานต์ เนื่องจากเป็นพืชที่สามารถเจริญเติบโตได้ดีแม้ในดินที่มีสภาพความสมบูรณ์น้อย ซึ่งเราจะเห็นได้จากร้านขายยองฝากใน จ.ระนองนั้นจะมี

ศูนย์วิจัยป่าชายเลน
ผลิตภัณฑ์จากเมล็ดมะม่วงหิมพานต์อยู่แทบทุกร้าน เป็นของขึ้นชื่อของที่นี่ นอกจากนี้ก็เป็นสวนผลไม้นานาชนิด ทั้งลองกอง ลางสาด ฯลฯ และอาชีพหลักอีกอย่างก็คือการประมง โดยจังหวัดระนองนั้นเหมาะสมกับการประมงทะเลมากกว่าประมงน้ำจืด เนื่องจากเป็นจังหวัดที่มีที่ตั้งอยู่ริมทะเล ซึ่งมีชายฝั่งยาว 151 กิโลเมตร
วันนี้พวกเราเข้าพักที่โรงแรมรอยัลปริ้นซ์ ตอนเย็นเดินเที่ยวในตลาดสด ยังมีรถเมลล์ไม้สีสันสดใสวิ่งให้เห็นอยู่ เห็นเขียนป้ายบอกว่าไปสะพานปลา เป็นเหมือนสัญลักษณ์อีกอันหนึ่งของระนอง คล้ายๆเวลาเราไปอยุธยาแล้วนึกถึงรถ ตุ๊กตุ๊ก นั่นแหละ ก็เหมือนกับวิถีทั่วไปของภาคใต้ ที่นี่มีนกเขา และกรงนกเขาสวยงาม วางขายอยู่ด้วย ในย่านตลาดนั้นบางส่วนเป็นตึกคอนกรีตตามสมัย บางส่วนยังคงรูปลักษณ์เดิมเป็นอาคารไม้อยู่อย่างนั้น สี่แยกใจกลางเมืองนั้นคนไม่ค่อยพลุกพล่าน รถก็ไม่เยอะมากนัก เดินแวะไปที่วัดอุปนันทาราม อยู่ตรงถนนสะพานปลาใกล้ๆกับสี่แยก พระเณรยังช่วยกันเก็บกวาดใบไม่อยู่ วัดนั้นตั้งอยู่บนเนินสูงเราจึงขออนุญาตพระ ขึ้นไปชมวิวบนหอระฆังกัน พอดีที่พระอาทิตย์ใกล้จะตกแล้วด้วย วิวมุมนี้น่าจะสวยดี

สุสานเจ้าเมืองระนอง
เยือนสุสานเจ้าเมืองระนอง
เนินเขาริมถนน ระนอง ปากน้ำ ที่เห็นเป็นที่ตั้งของสุสานเจ้าเมืองระนอง คอ ซู เจียง ซึ่งต้นตระกูล ณ.ระนอง ในปัจจุบัน ท่านเป็นชาวจีนที่อพยพมาจากแผ่นดินใหญ่ เมื่อครั้งที่ถูกพวกแมนจูรุกราน และได้มาอาศัยอยู่ในประเทศไทย ด้วยความมานะอุสาหะ ขยันขันแข็ง ทำการค้าขายจนร่ำรวย เป็นผู้ก่อตั้งห้างโกหงวนในปีนัง ต่อมารับราชการเป็นนายอากร จนถึงได้รับการแต่งตั้งให้เป็นเจ้าเมือง ชีวประวัติของท่านนั้นน่าสนใจ และน่าถือเป็นเยี่ยงอย่าง โดยเฉพาะเรื่องความขยัน และความซื่อสัตย์ ที่หน้าสุสานนั้นมีหินแกะสลักเป็นรูปต่างๆ รูปขุนนาง ทั้งบู้และบุ๋น หมายถึงบ้านเมืองจะเจริญได้ ต้องมีทั้งกำลังทหาร และกำลังสติปัญญา เสาศิลา จารึกข้อความสรรเสริญความงามของแผ่นดิน เสือ หมายถึงพลังอำนาจ แพะ หมายถึง การบริจาค ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ความมีมิตรไมตรีจะนำความมั่งคั่งมาให้ เราถ่ายรูปกันจนพอใจแล้ว ก็ขึ้นรถกลับ ก่อนด้วยฝนทำท่าจะตกอีกรอบแล้ว ในโปรแกรมพรุ่งนี้เราจะไปดูบ่อน้ำพุร้อน อันเป็นอีกหนึ่งของดีเมืองระนองกัน.....
ติดตามตอนต่อไป