วีระ กิจรัตน์ : เรื่อง / ภาพ
น้ำตกตาดฟ้า
|
"นี่ถือเป็นทริปโหดอีกทริปหนึ่งสำหรับผม ป่าบนอุทยานแห่งชาติภูเวียง นั้นเข้าถึงค่อนข้างจะลำบาก ทางออฟโรดกว่า 12 กิโลเมตร ไม่ไกลหรอก ถ้าได้นั่งบนเบาะนุ่มๆ สบายๆ แต่ครั้งนี้ต้องอาศัยเกาะท้ายกระบะรถเจ้าหน้าที่อุทยานขึ้นไป รวมกับผู้นำหมู่บ้านและนักข่าวท้องถิ่น จุดหมายของพวกเราคือ น้ำตกตาดฟ้า ผมไม่ได้นับจำนวนคนบนท้ายกระบะ ตอนนั้นแค่หาที่ยึดตัวเองให้มั่นบนขอบกระบะหมิ่นเหม่ได้ก็เวิร์คแล้ว รถนั้นโยกตัวไปมาตามจังหวะของพื้น ที่มีทั้งหลุมดินและโขดหินใหญ่บ้างเล็กบ้าง ดูเหมือนเจ้ารถโตโยต้า 4wd ปุโรทั่งคันนี้มันจะออกอาการพยศซะเหลือเกิน กิ่งไม้สองข้างก็ดูเหมือนมีชีวิต เมื่อไหร่เราเผลอมันจะฟาดเข้ามาแถวๆใบหน้าทันที ผมต้องนั่งระแวงอยู่ตลอดเหมือนเด็กซนที่อยู่ข้างๆแม่ดุ แต่ก่อนที่จะเล่าถึงเรื่องสนุกๆในทริปนี้ขอกล่าวถึงจังหวัดขอนแก่นสักนิดก่อนนะเจ้าคะ" |
* ขอนแก่น เป็นจังหวัดที่มีบันทึกทางประวัติศาสตร์อันยาวนาน เป็นอาณาบริเวณที่เป็นแหล่งกำเนิดอารยธรรมอันสูงส่งมาแต่ดึกดำบรรพ์ มีความเจริญรุ่งเรืองมาก่อนสมัยพุทธกาลหลายพันปี จากหลักฐานบริเวณโนนนกทา อำเภอภูเวียง ได้ขุดพบเครื่องสำริดและเหล็ก เครื่องมือที่ทำด้วยหิน หัวขวานทองแดง พบเมืองโบราณสมัยก่อนประวัติศาสตร์ สมัยทวาราวดีสมัยขอม มีโบราณสถาน โบราณวัตถุ วัด และสถานที่สำคัญทางพุทธศาสนามากมาย
* ข้อมูลจาก http://travel.sanook.com/northeast/khonkhen/index.php
โฮงมูนมัง เมืองขอนแก่น
|
ถ้าใครสนใจเรื่องราวที่เป็นของชาวขอนแก่นโดยเฉพาะ สามารถไปชมได้ที่ โฮงมูนมัง เมืองขอนแก่น แปลว่า ที่เก็บสมบัติ(ของชาวขอนแก่น) สมบัติในที่นี้ไม่ได้เป็นสิ่งของเพียงอย่างเดียว แต่หมายรวมถึงมรดกทางวัฒนธรรมทุกๆอย่างที่หลอมรวมมาเป็นชาวขอนแก่นปัจจุบัน นายธนาวุฒิ ก้อนใจจิตร หัวหน้าฝ่ายส่งเสริมศาสนาและวัฒนธรรม ผู้ที่รับผิดชอบโฮงมูนมังเมืองขอนแก่น เล่าให้ฟังคราวๆว่า เป็นความตั้งใจที่จะรวบรวมสิ่งที่แสดงความเป็นมาของชาวขอนแก่น สำหรับนักท่องเที่ยวที่มีเวลาน้อย หรือเป็นข้อมูลสำหรับผู้ที่สนใจจะไปดูอย่างละเอียดในสถานที่จริง ซึ่งขณะนี้ข้อมูลนั้นมีมากพอสมควรในเรื่องของความเป็นมา สืบค้นจากทุกแหล่งในประเทศไทย แต่ยังไม่ได้ศึกษาลึกถึงฝั่งเวียงจันทร์ ซึ่งถ้ามีหลักฐานที่สอดคล้องกันก็จะทำให้ข้อมูลนั้นน่าเชื่อถือมากขึ้น โฮงมูนมัง นั้นสร้างโดยเทศบาลนครขอนแก่น อยู่ติดกับสวนสาธารณะจังหวัดขอนแก่น |
ภูเวียงเมืองเก่า ไดโนเสาร์ล้านปี มากมีป่าไม้ กราบไหว้เจ้าจอม พรั่งพร้อมธรรมชาติ งามพิลาศอุทยาน นี่คือคำขวัญของจังหวัดขอนแก่น พอจะทราบข้างต้นแล้วว่า ภูเวียงนั้นเคยเป็นเมืองเก่าที่บรรพบุรุษนั้นอพยพมาจากเวียงจันทร์ ชาวขอนแก่นเชื่อเรื่อง ตูบปูตา (ภาษาอีสาน) หรือ ศาลปูตา มีลักษณะเหมือนศาลพระภูมิ ตูบปู่ตานี้จะช่วยปกปักรักษาลูกหลานชาวขอนแก่นให้อยู่เย็นเป็นสุข เป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจของชาวบ้าน
ภูเวียงทางเข้ามีด้านเดียว ล้อมรอบด้วยภูเขารูปกระเพาะหมู ผู้เขียนยังไม่เคยเห็นกระเพาะหมูมาก่อน เดาว่าคงจะมีลักษณะเป็นแอ่งที่มีทางเข้าทางเดียวอย่างที่เป็นอยู่ ถนนนั้นตัดผ่านช่องระหว่างภูเขาที่ขนาบทั้งสองด้าน ซ้ายมือเป็นเนินดินสูง เป็นที่ตั้งของศาลเจ้าจอม เราแวะสักการะกันก่อนที่ผ่านเข้าไป จากจุดนี้ไปถึง อุทยานแห่งชาติภูเวียง ระยะทาง 12 กิโลเมตร
ฟอสซิงไดโนเสาร์ หลุมที่ 9
|
ก่อนจะถึง อุทยานแห่งชาติภูเวียงนั้นสามารถศึกษาเรื่องราวของฟอสซิลไดโนเสาร์ได้ที่ พิพิธภัณฑ์ไดโนเสาร์ภูเวียง เราจะได้ศึกษาเกี่ยวกับเรื่องราวของชั้นหิน การกำเนิดตัวของผิวโลกเมื่อหลายล้านปีก่อน รวมทั้งการมีอยู่ และการจากไปของเจ้าไดโนเสาร์ด้วย ที่นี่จัดแสดงซากฟอสซิล ในลักษณะของหลุมขุดค้น และโครงเหล็กเท่าขนาดจริงของ Siamtyrannus Isanensis สยามไทรัน ต้นตระกูลของ เจ้า ทีเร็กซ์ ในเรื่องจูราสสิก ปาร์คด้วย |
พิพิธภัณฑ์ไดโนเสาร์ ภูเวียง
|
และยังมีหลุมฟอสซิลที่ทำการขุดค้นไปแล้วอีกหลายแห่งบนอุทยานให้ได้ขึ้นไปชมกัน แต่ละหลุมนั้นไกลกันมากจะเที่ยวชมวันเดียวทั้งหมดคงไม่ไหว ผมได้ไปที่หลุม 9 ซึ่งเจ้าหน้าที่บอกว่าเป็นหลุมที่เข้าไปง่ายกว่าหลุมอื่นๆ รถสามารถไปจอดที่ตีนเขาได้แต่ก็ต้องเดินขึ้นไปอีกกว่า 400 เมตร หืดขึ้นคอทีเดียวครับ วันนั้นแดดร้อนมากด้วย หาต้นไม้หลบแดดก็ยาก บริเวณหลุมฟอสซิลนั้นสร้างเป็นอาคารครอบไว้ เราได้แต่มองผ่านกระจกเข้าไป เป็นโครงกระดูกส่วนหนึ่งของ สยามไทรัน อยู่ในชั้นหิน ฟอสซิลนี้มีอายุอยู่ราวยุคครีเทเซียส ตอนต้น |
หลังจากเที่ยวชมพิพิธภัณฑ์ไดโนเสาร์ และหลุมฟอสซิลแล้ว คืนนั้นเรานอนกันที่บ้านพักของอุทยาน ตอนกลางคืนนั้นเงียบสนิท บริเวณบ้านพักนั้นอยู่ห่างออกมาจากที่ทำการ ทำให้รู้สึกวังเวงเอาการ ฟังจากเจ้าหน้าที่ว่าพรุ่งนี้เราจะไปดูรอยเท้าไดโนเสาร์ และน้ำตกตาดฟ้า รวมกับพวกผู้นำหมู่บ้านที่จะขึ้นไปด้วยกัน ได้ยินชื่อน้ำตกแล้วผมสนใจขึ้นมาทันทีเพราะว่าไม่เคยได้ยินมาก่อน พรุ่งนี้จะได้ไปเห็นกัน
มันออกอาการลำเค็ญตั้งแต่แรกเริ่ม เมื่อรถ 4wd ของอุทยานนั้นมีเพียง 2 คัน แต่ดูผู้โดยสารร่วม 30 คน ไปกันได้ยังไง? ผมหาที่แทรกตัวเข้าไปได้ตรงขอบกระบะด้านขวา มีลุงคนหนึ่งซึ่งเป็นพวกผู้นำหมู่บ้านเรียกให้ขึ้นไป ตอนแรกก็นั่งกันไม่ค่อยถนัดนัก พวกที่นั่งอยู่ตรงกลางต้องเช็คกันเป็นพัลวัน ว่าขาใครเป็นขาใคร หาที่ว่างกันไม่ลงตัว แต่สักพัก หลังจากคนขับรกจอดรถแล้วลงมาล๊อกล้อหน้า ซึ่งก็หมายความว่าเราเข้าเส้นทางที่เป็นออฟโรดแล้ว เท่านั้นแหละแรงเขย่าจากช่วงล่างรถก็จัดสรรพื้นที่ในการนั่งให้ลงตัวได้อย่างน่าอัศจรรย์
ช่วงที่รถปีนขึ้นเนินสูงนั้นผมต้องคอยเกาะเอวลุงคนข้างหน้าไว้ เกาะได้เลยไอ้หนู ลุงบอก ผมกลัวว่าเราจะร่วงลงไปทั้งคู่มากกว่า เพราะนอกจากรถมันจะเทพวกเราลงแล้วยังสะบัดให้เราหลุดจากกระบะให้ได้อีก ผมจับได้แต่ขอบกระบะสองข้างเท่านั้น ด้วยอาการที่นั่งแบบหมิ่นเหม่ ไม่นานอาการเหน็บชาก็ตามมาจะหาทางเหยียดขาก็ทำได้ยาก ต้องทนไปอย่างนั้น สักชั่วโมงกว่าเห็นจะได้ ไหนว่าจะให้มาสัมมนา ไม่เห็นบอกว่าจะมีอย่างงี้?มีเสียงบ่นจากใครสักคน ฟังดูแล้วนึกขำๆอยู่เหมือนกัน เพราะทุกคนที่มานี้ส่วนน้อยที่รู้ตัวก่อน เรียกว่าโดนหลอกให้มาแทบทั้งนั้น ผมก็เพิ่งมารู้บนรถนี่เองว่าต้องไปอย่างนี้อีก 12 กิโลเมตร เรามาได้ 800 เมตรแล้วครับ เสียงเจ้าหน้าที่อุทยานคนที่นั่งคุมท้ายรถบอกมา
..ฮ้า !!!
.. นี่ยังไม่ถึงกิโลเลยเหรอพี่? ผมถาม คงได้แต่ทำใจแล้วหล่ะครับเพราะตอนนี้จะกลับก็ไม่ได้เสียแล้ว ในความรู้สึกตอนนี้การได้ลงเดินไปเรื่อยๆมันยังจะดีซะกว่าเลย
และด้วยมติของทุกคนบนรถ คนขับก็ค่อยๆจอดรถบนเนินดินเนินหนึ่งใต้ร่มไม้ เราต้องเปลี่ยนอิริยาบทกันบ้างแล้วครับ ลงมานั่งพักบ้าง ดื่มน้ำบ้าง เป็นโอกาสอันดีที่เราจะได้ไปยังสถานที่ที่ไปได้ยาก น้อยคนนักที่มีโอกาสได้ไป แม้จะลำบากสักหน่อยแต่เมื่อถึงแล้วเราก็จะภูมิใจกับมัน ผมปลอบใจตัวเองไว้ก่อน วันนี้เรามีเสบียงมาแค่น้ำคนละขวดและส้มอีกคนละหนึ่งลูก หลายคนจัดการกับมันหมดไปแล้ว รวมทั้งผมด้วย ไม่นานเจ้าหน้าที่ก็เรียกให้ขึ้นรถและออกเดินทางต่อ หนทางข้างหน้ายังอีกไกล
เส้นทางออฟโรด
|
สองข้างทางนั้นเป็นป่าไม้หนาทึบ มีเพียงร่องรอยรถเท่านั้นที่เป็นสิ่งแปลกปลอม ได้ยินเสียงบ่นของเจ้าหน้าที่อุทยานเรื่องของการลักลอบล่าสัตว์ เขาบ่นถึงปืนผูก ( ปืนที่นายพรานทำไว้ดักสัตว์ ) ว่าเมื่อวันก่อนมีเจ้าหน้าที่อีกคนขับรถไปเหยียบเข้า ดีที่อยู่ในรถ ถ้าไม่อย่างนั้นคงจะพิการหรือตายไปแล้ว สมัยก่อนนั้นมีนายพรานมาตายบนนี้มาก เจ้าหน้าที่เล่าให้พวกเราฟัง อาจเป็นเพราะปืนผูกนั้นมีมากจนทำให้พรานล่าสัตว์นั้นมักจะหลงลืม แล้วมาเหยียบปืนผูกที่ตัวเองวางเอาไว้ ฟังเรื่องเล่าต่างๆไปก็ต้องทรงตัวไปด้วย สนุกดีเหมือนกัน ผมจะคอยฟังเสียงลุงที่นั่งอยู่ข้างหน้าบอกว่า ซ้ายหมอบ! ขวาหมอบ! มีอยู่หนหนึ่งลุงแกคงจะบอกจนสับสน เลยบอกผิดข้าง ผมก้มลงทัน ไม่ทันดูว่าพี่อีกคนที่อยู่ข้างหลังคุยเพลิน โดนกิ่งไม้ฟาดเอาอย่างจัง บ่นอุบอิบไปนานทีเดียว ลุงก็เลยขอโทษขอโพยเป็นการใหญ่ เล่นเอาขำกันทั้งรถ |
เรามากันได้ประมาณ 8 กิโลเมตร ตรงนี้มีลำธารเล็กๆขวางอยู่ ยังดีที่ฝนไม่ตก พื้นดินไม่แฉะมากนัก พวกเราทั้งหมดต้องลงเดินไปก่อน แล้วให้รถนั้นค่อยๆตะกุยผ่านลำธารมาได้อย่างไม่น่าจะเป็นไปได้ มีอีกช่วงหนึ่งที่รถนั้นไปติดอยู่ในร่องดินต้องลงมาช่วยกันเข็นขึ้น กลิ่นคลัชไหม้เหม็นคลุ้งไปทั่ว ตอนที่รถพยายามดึงตัวเองขึ้น บางครั้งเครื่องดับ ตอนนี้แหละที่ใจหายที่สุด เพราะถ้าเครื่องเสียละก็ สนุกแน่ครับ แต่โชคดีที่พ่อเจ้าประคุณยังติดได้อีกครั้ง แล้วก็ไม่ได้ทรยศเราเลยตลอดเส้นทาง
รอยเท้าไดโนเสาร์
|
เจ้าหน้าที่จอดรถพาพวกเราเดินเข้าไปดูรอยเท้าไดโนเสาร์ ผมได้แต่แปลกใจว่า ใครหนอมันช่างเสาะหามาเจอรอยเท้าไดโนเสาร์เอากลางป่าลึกขนาดนี้ ถามเจ้าหน้าที่ก็บอกว่าทีมสำรวจเขาขึ้นมาสำรวจกัน คงจะสำรวจกันทุกตารางเมตรเลย รอยเท้าที่เห็นนั้นเป็นไดโนเสาร์พันธ์เล็ก มีรอยเท้าเป็นทางลักษณะการเดินประทับอยู่บนหิน ซึ่งตอนนั้นคงจะเป็นโคลน ประมาณ 7-8 รอยเห็นจะได้ รอยเท้าตอนนั้นมองเห็นไม่ชัดนักเพราะแดดนั้นแรงจนหินนั้นแห้งผาก |
รอยเท้าไดโนเสาร์
|
ต้องเอาน้ำรดจึงจะมองเห็นได้ชัดขึ้น ส่วนอีกรอยข้างเจ้าหน้าที่บอกว่าเป็นรอยเล็บของไดโนเสาร์กินเนื้อ ผมต้องพยายามมองให้เป็นรอยเล็บให้ได้ เพราะรอยนั้นมันไม่ได้ประทับลงตรงๆ หากเป็นลักษณะของการตวัดไปด้วยอาการวิ่งมากกว่า จึงทำให้รอยข่วนนั้นบิดไปเป็นเส้นโค้ง มีเพียงรอยเดียวเท่านั้น
การได้เดินลงจากรถถือเป็นโอกาสในการพักขาไปด้วยในตัว กว่าจะเดินกลับรถกันครบก็กินเวลาพอดู บางคนที่ตุนเสบียงมาก็เริ่มแกะกินกันแล้ว ผมก็เลยถือโอกาสเข้าไปแจมบ้างเพราะตอนนี้อาหารในสำไส้ย่อยไปหมดแล้ว
|
อีกไม่นานนักเราก็มาถึงจุดหมายคือ น้ำตกตาดฟ้า ต้องเดินเข้าไปอีกประมาณ 200 เมตร ผ่านช่องที่ขนาบสองข้างด้วยลูกไม้เล็ก ใต้ต้นแม่สูงใหญ่ของมัน เสียงน้ำตก ความชื้น ละอองน้ำเย็นๆ สัมผัสได้ตั้งแต่แรกเข้ามาเยือน
"พ้นแนวไม้บังตา บัดนี้แนวหินโล่งๆนั้นเปิดเผยตัวออกมา แสงสว่างผ่านเข้ามาระหว่างช่องว่างแห่งป่าที่เปิดเว้นไว้แต ่ลานหินนี้เท่านั้นที่ต้นไม้สูงไม่อาจยืนอยู่ได้ น้ำไหลผ่านลานหินลักษณะเป็นร่องลำธาร ความสูงระดับเดียวกับทางที่เราเดินมานั่นเอง แต่น้ำที่ตกลงไปนั่นซิ ดูซิ นั่นหน้าผาหรือไง ที่น้ำตกนั้นไหลลงไปนั่น" |
|
ชะง่อนหินที่ยื่นออกไปเป็นจุดที่นักท่องเที่ยวใช้ยืนถ่ายภาพกัน เสียงน้ำที่ตกลงไปนั้นถาโถมรุนแรง ดังกังวานไปทั่ว จุดที่เรายืนอยู่นี้เป็นจุดที่สูง มองเห็นน้ำที่ตกลงไปนั้นแทบจะไม่ได้พักตรงไหนเลย มันพุ่งกระโจนลงไปยังผืนทรายเบื้องล่าง ตอนนี้ผมลืมความเมื่อยล้าไว้ชั่วคราว มองเห็นคนอื่นเดินผ่านธารน้ำไปยังอีกฝั่ง ซึ่งมีทางเดินตัดลงไปข้างล่างหามุมถ่ายภาพกัน ทางลงนั้นค่อนข้างทุลักทุเล เนื่องจากชันและลื่น ต้องค่อยๆเกาะเถาวัลย์บ้างก้อนหินบ้างลงไป อยู่ในโถงด้านล่างยิ่งสดับเสียงน้ำได้ถนัดชัดเจนนัก ผมนึกถึงตอนที่โทรทัศน์ปิดสถานี แต่นี่เป็นเสียงธรรมชาติ ทั้งยังมีบรรยากาศและสิ่งเร้ารอบข้าง ที่บันดาลให้เกิดความรู้สึกไปได้ต่างๆนานา ผืนทรายผืนนี้ยังบริสุทธิ์อยู่ ร่มใบบังนั้นบอกให้รู้ว่าสภาพเดิมของธรรมชาติยังคงอยู่มาก
|
น้ำที่หน้าน้ำตกนั้นลึกประมาณเมตรกว่าๆ ทางซ้ายมีมีหินก้อนใหญ่ ที่ยังไม่ล้มราบกับพื้นเพราะยันอยู่กับกินอีกก้อน ผมเดินลอดเข้าไปทางนี้ เพื่อเข้าไปให้ใกล้สายน้ำเข้าไปอีก มีหินลาดลื่นๆ ยื่นออกจากตรงนั้น ผมกระชับรองเท้าให้แน่น แล้วค่อยๆเขยิบไปให้ใกล้ แรงลมและละอองน้ำนั้นสะบัดชายเสื้อบางๆ ปลิวเหมือนกับธงหน้ารถ บัดนี้ละอองน้ำรวมตัวอยู่ในกางเกงยีนส์ขาดๆของผมจนชุ่มไปหมดแล้ว กล้องที่ถือไปถ่ายภาพนั้น ก็ต้องคอยเช็ดเลนส์เป็นระยะ
"ผมอยู่ใกล้จนได้ยินเสียงของสายน้ำ หิน และป่า มันมาจากที่ที่สูงกว่าและบอกเล่าเรื่องราวที่หลายคนเคยอธิบายแต่ไม่เคยมีใครรับฟัง วันนี้พวกผู้นำชุมชนที่มาด้วยกัน (โดนหลอก) เขาเข้ามาเพื่อจะกลับไปสัมมนาว่า จะจัดการอย่างไรกับ น้ำตกแห่งนี้ ที่ที่ชุมชนของพวกเขาจะต้องรับผิดชอบไม่ว่าต่อไป จะเกิดผลดีหรือผลเสียกับธรรมชาติก็ตาม..." |